GGS:บทที่ 1073 การโจมตียามค่ำคืน

 

เวลาสามทุ่มในเย็นวันเดียวกัน ณ ร้านเสื้อผ้าหลงเต็ง ฉือชิงได้ลงมาจากตึกโดยใช้ลิฟท์เพื่อลงไปยังชั้นล่าง

แต่เธอนั้นไม่ได้สังเกตเลยสักนิดว่าหลังจากที่เธอเดินออกจากลิฟท์แล้ว ไฟของลิฟท์ก็ได้ถูกตัด

มีใครบางคนได้วางป้ายไว้ที่หน้าลิฟท์ชั้นอื่นเอาไว้แล้วว่าอยู่ระหว่างการซ่อมบำรุง แม้แต่ตรงทางลงชั้นใต้ดินนี้ก็ยังมีป้ายวางเอาไว้ และมีชายหนุ่มคนหนึ่งคอยยืนป้องกันไม่ให้ใครใช้บันได

ฉือชิงได้ตรงไปยังรถของตัวเอง ก่อนหน้านี้เธอเองก็ใช้รถออดี้ แต่ต้อนนี้เธอได้เปลี่ยนเป็นรถยนต์กาลเวลา001ที่อยู่ในมาดรถสปอร์ตสีแดงที่โดดเด่นที่สุดในรถรุ่นนี้

“ยัยนั่นแหล่ะ” รอบรถยนต์ในตอนนี้เต็มไปด้วยชายที่มีท่าทีทรงพลังล้อมรอบรถเอาไว้ พวกมันมองไปยังฉือชิงด้วยสายตาที่จับจ้องเป็นหนึ่งเดียวกันราวกับฝูงเสือชีตาห์ที่มองเห็นเหยื่อ

“ก็แค่ผู้หญิงอ่อนแอคนหนึ่ง จะขนมาทำไมกันเยอะแยะเนี่ย”

“นั่นสิ แค่คนทั่วไปสองคนก็เพียงพอที่จะจับเธอแล้วนา… ทำไมต้องขนพวกเรามาตั้งสามสิบคนกัน”

 

“ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่ในเมื่อนายน้อยสั่งมาแบบนั้นแสดงว่าเขาก็คงจะมีเหตุผลของเขา เราแค่อย่าทำพลาดก็พอแล้ว”

“เปิดวิดีโอแล้วเริ่มอัดได้เลย” ชายหนุ่มคนหนึ่งได้หยิบสมาร์ทโฟนของตัวเองออกมาแล้วทำการเริ่มถ่ายวิดีโอในทันที

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจเหมือนกันว่าให้ทำเรื่องเลวๆแล้วจะให้สตรีมฉากนี้ไว้ทำไม แต่ก็อีกนั่นแหล่ะ ในเมื่อลูกพี่ของพวกเขาสั่ง พวกเขาก็ทำได้เพียงเดินตามเท่านั้น

“นายน้อยครับ เห็นรึเปล่าครับ” ชายหนุ่มคนนั้นถามเข้าไปในวิดีโอ

“เห็นอยู่” หยวนหยินหนิงตอบออกมา เขาพูดออกมาในขณะที่กำลังนั่งดูฉากอาชญกรรมผ่านช่องสตรีมพร้อมๆไปกับฮัวหยุนชูและฟูหงซิ่ว

ความจริงหยวนหยินหนิงก็อยากจะตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่ารอบตัวฉือชิงนั้นซูจิ้งวางการป้องกันไว้มากแค่ไหนก่อนที่จะลงมือ

แต่เมื่อคิดแบบนั้นแล้วเขาเลยให้ลูกน้องของเขาถ่ายกระบวนการต่างๆให้ดูกับตาตัวเลยดีกว่า

“ยัยนั่นอยู่ในจุดลงมือแล้ว เริ่ม”

 

ในตอนนี้มีผู้ชายจำนวนหนึ่งยืนรายล้อมอยู่รอบรถยนต์ของฉือชิง และเตรียมที่จะเริ่มลักพาตัว ยังมีรถอีกสองคันที่จอดแอบซ่อนเอาไว้ ข้างในนั้นมีชายหนุ่มที่ทรงพลังซุกซ่อนอยู่อีกเป็นโหล

พวกมันได้เปิดประตูแล้วกรูออกมาจากรถก่อนที่จะพุ่งไปยังรถของฉือชิง ทุกๆคนล้วนแล้วแต่ถือผ้าที่อาบย้อมไปด้วยยาบางอย่างอยู่ในมือ

พวกมันไม่ได้เร่งรีบสักเท่าไหร่ เพียงแต่ค่อยๆก้าวไปที่รถของฉือชิงอย่างเงียบเฉียบแต่รวดเร็ว หากเป็นคนทั่วไปแล้วบอกได้เลยว่ายากที่จะตรวจจับได้ว่าคนพวกนี้เข้าไปใกล้

แต่ตอนนี้ฉือชิงหาใช่คนธรรมดาแต่อย่างใด ตัวเธอนั้นกินอาหารแบบเดียวกับซูจิ้งในทุกๆวันที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์วิเศษ ปลาเขี้ยวหยก ข้าวสีน้ำเงินเกรดคัดพิเศษ และอาหารที่เต็มไปด้วยคุณค่าอย่างอื่น

อีกทั้งเธอยังฝึกเพลงหมัดวัวคลั่งครบทั้งสามกระบวนท่าและฝึกฝนในทุกๆวันจนทำให้เธอเองก็มีพลังภายในอยู่ในร่างกายเรียบร้อยไปแล้ว

 

ด้วยเหตุนี้เธอจึงมีประสาทสัมผัสทั้งห้าและร่างกายที่เนื้อล้ำกว่าคนทั่วไปไม่รู้กี่เท่าเข้าไปแล้ว ด้วยเหตุนี้ทำให้เธอสัมผัสได้ทันทีว่ามีบางสิ่งเคลื่อนไหวรอบตัวเธอและค่อยๆกระชั้นเข้ามา

แม้ว่าเหล่าคนที่หมายจะลักพาตัวเห็นแล้วว่าฉือชิงรู้ตัวแล้วแต่พวกเขาก็ยังไม่แสดงตัวออกมาทั้งหมด มีเพียงชายสั่คนเท่านั้นที่แสดงตัวออกมา โดยทั้งสี่ได้พุ่งเข้าหาอย่างรวดเร็วโดยไร้ท่าทีลังเลแต่อย่างใด

เพียงแค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าคนพวกนี้คือเหล่าผู้ที่ผ่านการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มาแล้ว แน่นอนว่าทุกคนในที่นี้ได้ฝึกฝนเพลงหมดวัวคลั่งจนกระทั่งเข้าขั้นกระบวนท่าที่สามไปแล้ว

ถึงแม้ความแข็งแกร่งและทรงพลังจะยังไม่เทียบเท่าจินเชาหวู่ แต่บอกได้เลยว่าไม่ได้ด้อยกว่าสักเท่าไหร่นัก แม้แต่จินเชาหวู่เองเมื่อต้องมาเจอสี่คนนี้พร้อมกันก็ยังไม่สามารถสู้ได้อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ฉือชิงเองก็ได้ตอบสนองตัวเองได้ในทันที มือของเธอพริ้วไหวราวกับงูก็ไม่ปาน มือทั้งสองข้างได้โจมตีไปยังข้อศอกของชายสองคนที่อยู่ตรงหน้าจนทำให้สองคนนั้นร้องออกมาอย่างเจ็บปวดพร้อมแขนที่มีสภาพไร้เรียวแรงในทันที

 

ขณะเดียวกันเธอก็ได้ยกขาตัวเองและเตะออกไปอย่างหนักหน่วงไปที่ชายอีกสองคนที่ตอบสนองไม่ทัน และเตะไปยังชายอีกสองคนก่อนหน้านี้ทำให้คนทั้งสี่ลอยขึ้นไปบนอากาศและกระเด็นห่างออกไปไกลในทันที

สิ่งที่เกิดขึ้นนี้รวดเร็วมากจนทำให้ชายกว่าสามสิบคนนี้จับจ้องไปที่ฉือชิงด้วยสายตาที่โง่งม

พวกเขาไม่คิดเลยว่าหญิงสาวที่ดูมีท่าทีอ้อนแอ้นคนหนึ่งจะแข็งแกร่งและทรงพลังได้ถึงขนาดนี้ พวกเขาคิดขึ้นมาในทันทีว่าแม้แต่จินเชาหวู่มาที่นี่ด้วยตัวเองก็ยังไม่สามารถเทียบเธอได้แม้แต่ปลายก้อย ทุกคนจึงรู้เหตุผลแล้วว่าทำไมลูกพี่หยวนถึงต้องเรียกให้พวกเขากว่าสามสิบคนมาเพียงเพื่อจับหญิงสาวคนหนึ่งเพียงคนเดียวเท่านั้น

หยวนหยินหนิง ฮัวหยุนชู ฟูฮงซิ่ว และผู้ติดตามที่เห็นฉากนี้ต่างก็หนังตากระตุกไม่หยุดหย่อน

พวกเขานั้นคิดเพียงว่าฉือชิงได้เรียนเพลงหมัดวัวคลั่งมาบ้างเท่านั้นและร่างกายของเธอแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปแค่ไม่กี่เท่าตัวเท่านั้นเอง แต่จากฉากที่เห็นนี่พวกเขาบอกได้เลยว่าเธอนั้นทรงพลังพอตัวเลยทีเดียว

 

หลังจากฉือชิงจัดการผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ทั้งสี่คนไปแล้ว เธอได้นิ่งไปเพียงชั่วเสี้ยววินาทีก่อนที่จะรีบวิ่งหนีไปยังทางออก

อย่างไรก็ตาม รถที่จอดเอาไว้ตรงทางเธอกำลังวิ่งไปนั้นก็ได้มีชายกว่าโหลหนึ่งรีบลงมาจากรถ พวกมันปิดกั้นทางออกของเธอเอาไว้และได้ล้อมรอบเธอในทันที

ในตอนนี้เอง ฉือชิงได้หยิบเอาลูกอะไรบางอย่างที่มีสีเขียวเอาไว้ในมือพร้อมทั้งท่าทีที่หวาดกลัว เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าลูกสีเขียวนี้คืออะไร แต่ซูจิ้งได้บอกเธอเอาไว้ว่าเมื่อถึงยามคับขันให้ใช้มัน จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เธอจะหยิบมันออกมาใขสถานการณ์แบบนี้

ฉือชิงที่เห็นว่าคนพวกนี้เริ่มขยับเข้ามาประชิดเธอมากขึ้นจึงได้เขวี้ยงสิ่งนี้ไปยังคนๆหนึ่งที่เข้ามาใกล้กว่าใคร ทุกคนที่เห็นลูกๆนี้ใกล้เข้ามาก็ได้หลบออกไปอย่างง่ายดาย พวกเขาได้ก้มไปดูเจ้าลูกนี้ที่กระดอนไปมาบนพื้นเล็กน้อยและแน่นิ่งไปต่างก็หัวเราะออกมาและเยาะเย้ยว่าของแบบนี้เนี่ยนะที่จะเอามาหยุดพวกเขา

แต่ทันใดนั้นเอง เจ้าลูกสีเขียวนี้ก็ได้แตกตัวออก และทันใดนั้นก็มีอะไรบางอย่างที่สีเขียวๆพุ่งกระจายออกมาในทุกทิศทางราวกับงูเขียวตัวใหญ่โต พวกมันรัดพันผู้คนจนตกตายไปหลายคนในทีเดียว

กับคนที่ถูกพวกมันรัดพันแต่ยังไม่ตาย เมื่อเห็นฉากความตายของเพื่อนร่วมงานก็อดที่จะดิ้นรนอย่างสุดชีวิตไม่ได้

แต่ไม่ว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งจนดิ้นหลุดได้หลายครั้งหลายหน แต่จนในที่สุดก็ยังหลุดออกมาจากพันธนาการได้อย่างสมบูรณ์จากสิ่งที่พบเจอออกไปได้ จนในที่สุดก็สิ้นสภาพไป

“ปล่อยพวกนั้นไป จับตัวยัยนี่ให้ได้” ชายคนหนึ่งพูดออกมาอย่างขุ่นเคือง ด้วยเสียงนี้เรียกคนอื่นให้ตื่นจากอาการตกใจ และในตอนนี้ทุกคนได้ตีวงล้อมรอบฉือชิงอีกครั้งด้วยท่าทีที่ระแวดระวังและไม่มีใครคิดว่าเธอเป็นหญิงสาวอ่อนแออีกต่อไป

เหล่าคนลักพาตัวในตอนนี้เหลืออยู่อีกยี่สิบกว่าคน และได้พุ่งเข้าหาฉือชิงพร้อมๆกัน ต่อให้มีบางคนโดนดักเอาไว้ด้วยเถาวัลย์แต่ก็ไม่มีใครสนใจคนที่ติดเถาวัลย์อีกต่อไป ทุกคนล้วนแล้วแต่มุ่งตรงไปยังฉือชิง

พวกเขาเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของตัวเองว่าแข็งแกร่งกว่าผู้หญิงคนนี้อย่างแน่นอน

แต่ในตอนนั้นเอง ก็มีผึ้งกลุ่มหนึ่งที่ตัวใหญ่ขนาดที่ว่าเห็นได้ตั้งแต่ไกล พวกมันบินลงมาอย่างพร้อมเพรียงและพุ่งเข้าหากลุ่มคนเหล่านี้อย่างรวดเร็ว

ผึ้งหนึ่งตัวมุ่งไปจัดการคนหนึ่งคน พวกมันเล็งต่อยเหล็กไนที่ลำคอและหัวของกลุ่มคนลักพาตัวอย่างรวดเร็ว ใครที่โดนพวกมันต่อยออกไปล้วนร้องตะโกนออกมาด้วยความเจ็บปวดจนดังลั่น

หากเป็นคนทั่วไปล่ะก็ต้องหมดสติในทันทีไปแล้ว แต่กับคนเหล่านี้ พวกมันเพียงแค่ลงไปชักดิ้นชักงออย่างเจ็บปวดเท่านั้น

 

หลังจากคนกลุ่มนี้สิ้นฤทธิ์ลงไป ฉือชิงที่คิดว่าเรื่องทุกอย่างจบลงแล้ว ทันใดนั้นก็ได้มีชายอีกกลุ่มหนึ่งตรงเข้ามา พวกมันได้นำเสื้อคลุมของตัวเองออกมาและป่ายปัดไปทั่วกลางอากาศราวกับกำลังร่ายรำ แต่จุดประสงค์จริงๆก็คือป้องกันผึ้งเหล่านั้นไม่ให้ต่อยพวกเขา

ในระหว่างนั้นเองก็ได้มีพวกลักพาตัวหกถึงเจ็ดคนตีฝ่าฝูงผึ้งเข้ามาได้ ในมือของพวกมันนั้นทุกคนถือกระบองไฟฟ้าเอาไว้ในมือและเล็งไปที่ฉือชิงกันทุกคน

ชายกว่าสามสิบคนเข้ามารุมผู้หญิงคนเดียวและใช้กระทั่งกระบองไฟฟ้าแบบนี้ช่างเป็นการกระทำที่เกินกว่าเรียกว่ามนุษยธรรมอีกต่อไป แต่ถึงจะพูดแบบนั้นไปตอนนี้คนเหล่านี้ก็คงจะไม่สำนึกแต่อย่างใด

ในตอนนั้นเอง ดอกไม้ที่อยู่บนหัวของฉือชิงก็เริ่มเคลื่อนไหวในที่สุด ดอกไม้ดอกนี้ก็คือฮัวเหยานั่นเอง เธอได้ปล่อยหอกเถาวัลย์ออกมา ด้วยความแข็งที่ราวกับแท่งเหล็กกล้านี้กับผู้คนบนโลกนั้นไม่มีใครต้านทานได้เลย

“เอื้อออออออออออ…..”

เหล่าผู้คนที่รุมล้อมเข้ามาในตอนนี้ต่างก็ถูกเถาวัลย์ทิ่มแทงไม่ก็โดนจับกุมเอาไว้อย่างไปไหนไม่รอด เรียกได้ว่าร่างกายของพวกมันในตอนนี้ราวกับจะขาดสะบั้นในทันทีที่เข้าหาฉือชิง