GGS:บทที่ 1074 ทางออกที่น่าสะพรึงกลัว

แทบจะในทันทีที่ปีศาจดอกไม้อย่างฮัวเหยาออกมาก็เรียกได้ว่าเหตุการณ์ทุกอย่างนี้ได้คลี่คลายลงแล้ว
เหล่าสุดยอดนักสู้ของหยวนหยินหนิงผู้ซึ่งกินข้าวสีน้ำเงินที่ราคาสูงเสียดฟ้าในทุกๆแม้ เรียนรู้แม้กระทั่งเพลงหมัดวัวคลั่งครบทั้งสามกระบวนท่า แต่ต่อให้ทำถึงขนาดนั้นก็ยังเปรียบได้เพียงแค่เด็กน้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าปีศาจดอกไม้ตนนี้

คำพูดนี้ก็ไม่ได้แปลกอะไรเลยแม้แต่น้อย เพราะขนาดซูจิ้งเองก็ยังต้องใช้ทั้งเวลาและทริคต่างๆถึงจะยอมสยบเธอลงได้ นั่นก็เพราะถ้าสู้กันตรงๆแล้วซูจิ้งเองก็ยังถือว่าห่างชั้นนัก
เหล่าผู้คนทั้งหลายที่มาลักพาตัวฉือชิงในตอนนี้ทุกๆคนต่างก็ลงไปกองกับพื้นอยู่เฉยๆ ไม่ก็สลบสไลไม่ได้สติสัมปชัญญะอีกต่อไป
หากโลกได้รับรู้ว่าบนโลกมีเถาวัลย์ที่สามารถเคลื่อนไหวได้เองแบบนี้ แม้แต่ดอกไม้เอง ในตอนนี้ก็ยังกลับกลายสู่รูปร่างของมนุษย์ และทำได้แม้กระทั่งใช้กิ่งก้านใบราวกับแขนขาของตัวเองในการทำสิ่งต่างๆ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้ไปแล้วกันแน่

ขณะเดียวกันทั้งหยวนหยินหนิง ฮัวหยุนชู และฟูหงซิ่ว ที่กำลังอยู่ในห้องพักสุดหรูที่ไกลออกไปนับพันกิโลเมตร ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ตกยู่ในสภาพที่โง่งมและอึ้งจนพูดอะไรไออก
คนที่ทำหน้าที่ในการถ่ายวิดีโอนี้ในที่สุดก็ถูกทำให้หมดสติและภาพก็ได้ตัดหายไป แต่ยังไงซะ พวกเขาที่ได้จับจ้องในกระบวนการลักพาตัวนี้จนเกิดเรื่องมากมายก็ยังไม่เชื่อสายตาในสิ่งที่ได้เห็นมา
เถาวัลย์ที่เคลื่อนไหวได้เอง ดอกไม้ที่กลายร่างเป็นมนุษย์ นี่พวกเขาตาฝาดหรือโลกนี้ติดบั๊คกันแน่
อย่าว่าแต่สามคนนั้นเลย แม้แต่ซือฉิงก็ยังต้องถลึงตาจ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้น ลูกไม้สีเขียวออกมาเป็นเถาวัลย์กินคนแบบนั้นได้เธอยังไม่ค่อยตกใจเท่าไหร่เพราะเคยเห็นเต็งเต็งมาแล้ว
แต่การที่ดอกไม้ที่อยู่บนหัวเธอตลอดเวลากลายร่างอยู่ในรูปของมนุษย์นี่สิที่ทำให้เธอรู้สึกมหัศจรรย์ใจอย่างแท้จริงๆ
แน่นอนว่าเธอจำได้เป็นอย่างดีว่าดอกไม้ดอกนี้เป็นดอกไม้ที่ซูจิ้งมอบให้เธอ ด้วยการที่ดอกไม้นี้ไม่เพียงจะสวยงามเท่านั้น มันยังให้รู้สึกสดชื่นอยู่ตลอดเวลาที่เธอติดไว้ที่หัวทำให้เธอคอยนำมันมาประดับไว้ที่หัวตัวเองอยู่บ่อยครั้งจนเธอลืมไปแล้วว่าเธอไปไหนมาไหนโดยมีดอกไม้นี้ประดับไว้ที่หัวของตัวเอง
และการที่ดอกไม้ที่ประดับอยู่ที่หัวเธอนี้ได้กลายมาเป็นตัวเป็นตนในรูปร่างของมนุษย์แบบนี้ เธอพอจะปะติดปะต่อเรื่องได้ในทันทีว่าเธอคนนี้คงจะเป็นบอดี้การ์ดของเธออย่างแน่นอน
“เธอ….อืมมม…เธอเป็นใครกัน” ฉือชิงได้มองไปที่ปีศาจดอกไม้และถามออกมาอย่างสงสัยใคร่รู้
“ดิฉันได้รับมอบหมายจากท่านซูจิ้งให้คอยปกป้องคุณค่ะ” เมื่อการพูดออกมาด้วยความนอบน้อมจบลง ฮัวเหยาก็ได้กับคู่สู่ร่างดอกไม้และลอยกลับไปประดับที่หัวของฉือชิงดังเดิม
ถึงแม้ฉือชิงจะเกิดคำถามมากมายอยู่ในหัว แต่เธอก็รู้ดีว่านี่ยังไม่ใช่เวลาที่จะมาสงสัย ดอกไม้ดอกนี้เป็นซูจิ้งที่มอบให้เธอย่อมหมายความว่าเธอผู้นี้ย่อมมีความสามารถในการปกป้องเธอได้อย่างแน่นอน ถึงแม้จะยากที่จะเชื่อก็ตาม

ฉือชิงในตอนนี้ได้รีบขึ้นไปบนรถแล้วจับรถออกจากโรงจอดรถของตึกในทันนี และทำการโทรหาซูจิ้งในตอนที่ขับรถอยู่
“อาจิ้ง มีคนพยายามจะลักพาตัวฉัน” เมื่อคิดถึงฉากเหตุการณ์ที่พึ่งจะเกิดขึ้นไปนั้นทำให้เธอแทบจะกดข่มความรู้สึกกลัวของตัวเองไม่ได้จนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
“ว่าไงนะ แล้วเธอเป็นอะไรรึเปล่า” ซูจิ้งในตอนนี้หน้าเปลี่ยนสีในทันที
“ไม่เป็นไร ดอกไม้ที่นายมอบให้ฉันได้ออกมาปกป้องฉันไว้น่ะ” ฉือชิงพูดออกมา
“เรื่องนั้นเดี๋ยวฉันอธิบายทีหลังนะ แล้วตอนนี้เธออยู่ไหนน่ะ” ซูจิ้งรีบถามออกมา
“เรื่องมันเกิดที่ลานจอดรถของตึกหลงเต็ง ฉันพึ่งจะขับรถออกมาจากที่นั่นนี่ล่ะ ฉันว่าจะรีบตรงกลับบ้านเลย คนพวกนั้นโดนดอกไม้นี่เล่นงานจนเจ็บหนักไปหมดแล้ว บางคนก็โดนผึ้งต่อยจนร่วงลงไปกองกับพื้น หากพวกนั้นตายคงไม่มีใครมากล่าวหาฉันว่าเป็นฆาตกรใช่รึเปล่า” ฉือชิงพูดออกมาด้วยความหวาดกลัว
“ไม่มีทางเป็นแบบนั้นหรอกน่า นี่เป็นการป้องกันตัว นอกจากนั้นเรื่องนี้ไปไม่ถึงเธอหรอก ฉันจะส่งคนไปจัดการเรื่องนี้เอง เธอก็ขับรถกลับบ้านดีๆล่ะ” ซูจิ้งรีบพูดออกมาปลอบประโลมฉือชิงในทันที
หลังจากวางสาย ซูจิ้งได้โทรหาหลัวฉือหลินให้วางมือจากการสืบสวนและตรงไปจัดการเรื่องที่ตึกหลงเต็งในทันที
หลังจากวางสายไป เขาก็ได้รีบโทรไปยังสายหนึ่งในทันที

ณ บนยอดตึกหนึ่งในโรงเรียนมัธยมต้นที่หนึ่งเมืองจองหยุน ชายหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ในชุดนักเรียนได้ยืนอยู่ที่ดาดฟ้าของตึก สายตาของเขาจับจ้องไปที่หญิงสาวกลุ่มหนึ่งนั่นคือ ซูเจินเยว่ เอี้ยฉิน และซูหยาที่อยู่ตึกข้างๆอย่างไม่วางสายตา
ตอนนั้นเองโทรศัพท์ของเขาก็ได้ดังขึ้น มันเป็นเสียงที่เขาตั้งไว้เฉพาะเพื่อจะให้จดจำได้ง่าย และเขาได้รีบรับสายอย่างไม่รีรอและพูดอออกมาว่า “ครับ เจ้านาย”
ชายคนนี้ก็คือไป๋ฮิตู เขาได้รับมอบหมายมาจากซูจิ้งในการเฝ้าระวังภัยและคอยปกป้องพ่อแม่และน้องสาวของซูจิ้งในช่วงนี้
ด้วยเรื่องของเว่ยเสี่ยวหยวนที่พึ่งเกิดขึ้นมาทำให้เขานั้นตระหนักในบางอย่าง เขาเชื่อว่าคนรอบตัวเขากำลังมีภัยอันตราย กับฉือชิงนั้น เขาได้มอบหมายให้ฮัวเหยาปกป้องเธอไปแล้ว เขาจึงให้ไป๋ฮิตูมาคอยปกป้องพ่อแม่และน้องสาวของเขาแทน
“เป็นยังไงบ้าง” ซูจิ้งถามออกมา
“ทุกอย่างปกติดีครับ พ่อแม่ของนายทั่นยังคงสอนปกติดี และน้องสาวของนายท่านก็ยังนั่งเรียนอยู่ในห้องอยู่โดยมีกระรอกและผึ้งพิฆาตคอยเฝ้าดูอยู่ไม่ไกลนัก และผมเองก็คอยสังเกตการณ์อยู่ไม่ให้พ้นระยะสายตา” ไป๋ฮิตูพูดออกมา
“ก่อนที่คาบสอนจะจบลง นายรีบไปตรวจตราโดยรอบเดี๋ยวนี้” ซูจิ้งสั่งออกมาในทันที
“ได้ครับ” ไป๋ฮิตูทำตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว
ไป๋ฮิตูได้กระโดดลงจากดาดฟ้าในทันทีโดยมีสแตนด์ของเขาลอบออกมาจากด้านหลัง ร่างกายของเขาในตอนนี้ประหนึ่งดั่งเหรียญที่ถูกดีดขึ้นฟ้าแล้วล่วงหล่นลงมาจนจับตามองไม่ทัน
สำหรับเขาแล้วนั้นกับการที่โดดลงมาจากตึกที่สูงเพียงห้าหากชั้นแบบนี้ไม่ได้ต่างไปจากการกระโดดหนังยางเล่น และเพียงเมื่อร่างกายของเขาตกลงสู่พื้น สแตนด์ของเขาก็เปล่งแสงจ้าและตัวเขาเองก็ได้อันตรธานหายไปในทันที

เส้นทางจากบ้านของทั้งซูเชินเย่ว เย่ฉิน และซูยาที่อยู่ใกล้ๆกับธนาคารต้าเชิงมาจนถึงโรงเรียนนั้นมีระยะทางประมาณหนึ่งกิโลเมตร
ในทุกๆวันพ่อแม่องซูจิ้งจะเดินกลับบ้านทุกวันหลังเลิกสอนแล้ว เส้นทางสายนี้มีผู้คนจำนวนน้อยมากที่จะเดินผ่าน และน้อยคนอีกเช่นกันที่ทั้งสองจะได้หยุดเพื่อพูดคุย
เส้นทางนี้ถือได้ว่าเป็นทางลัดและเป็นเส้นทางเข้าออกเพียงทางเดียวเลยก็ว่าได้หากเหยียบย่างเข้ามา โดยเฉพาะวันนี้ไม่รู้เป็นอะไรเหมือนกัน ไฟถนนดูเหมือนจะดับลงทั้งเส้นทำให้มันมืดมาก หากจะเดินกลับนั้นต้องอาศัยเพียงแสงจันทร์เท่านั้นถึงจะมองเห็นถนนได้
ที่ข้างถนนเส้นนี้ ในตอนนี้ได้มีรถตู้จำนวนหนึ่งจอดเอาไว้ที่ข้างทางอยู่หลายคัน แต่นี่ก็ไม่ได้ดูแปลกตาแต่อย่างใด เพราะคนแถวนี้ก็จอดรถกันแบบนี้ไปทั่ว

อย่างไรก็ตาม ในรถตู้คันหนึ่งได้มีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องไปยังทางถนนที่อยู่ตรงหน้าอย่างตั้งใจ
ในตอนนี้เองก้ได้มีร่างๆหนึ่งปรากฎอยู่หลังต้นไม้ที่อยู่ใกล้ๆ คนๆนี้ก็คือไป๋ฮิตู เขาหยุดอยู่กับที่และจับจ้องไปยังรถคันนี้อย่างไม่วางตา
หากเป็นคนทั่วไปล่ะก็แน่นอนว่าย่อมไม่มีทางเห็นได้เลยว่ารถคันนี้มีอะไรอยู่ข้างใน แต่ไป๋ฮิตูคนนี้หาใช่คนธรรมดาแต่อย่างใด เขานั้นมีความสามารถที่แม้แต่ซูจิ้งก็ยังต้องอิจฉาอย่างมาก
ด้วยร่างกายของไป๋ฮิตูนี้ได้รับการกระตุ้นจากสารกระตุ้นขององค์กรเกล็ดงูมาแล้วทำให้ร่างกายของเขาเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไปอย่างมาก แถมเขายังได้รับเนื้อปลาเขี้ยวหยกและข้าวสีน้ำเงินจากซูจิ้งอีกมากมาย
อีกทั้งได้รับการสั่งสอนเพลงหมดวัวคลั่งจากซูจิ้งโดยตรงเช่นเดียวกันจนทำให้ร่างกายของเขาเหนือกว่าคนทั่วไปชนิดที่เทียบไม่ติด

แน่นอนว่าสายตาของเขาเองก็เช่นเดียวกัน เขาเห็นได้ชัดเจนเลยว่าข้างในนั้นมีอะไรอยู่บ้าง ยิ่งไปกว่านั้น เขายังได้ยินเสียงกระซิบคุยกันด้วยซ้ำทั้งๆที่อยู่ในระยะไกล
“ทำไมพวกมันยังไม่มากันอีก นี่เราต้องรออีกนานแค่ไหนเนี่ย”
“อย่าเร่งไปเลยน่า ยังไงซะพวกเราก็ต้องรอจนกว่าคาบการสอนจะหมดลง หรือว่านายจะให้พวกเราบุกเข้าโรงเรียนไปไปจับตัวรึไงกัน ต่อให้เป็นลูกพี่หยวนก็ไม่มีทางจะจัดการเรื่องของภาครัฐไหวหรอกนะ รอๆไปเถอะน่า”
“แต่ทำไมเราต้องยกโขยงมาแบบนี้เพียงแค่จับตัวคนแก่ๆสองคนเนี่ย”
ในตอนนี้เองที่โทรศัพท์ของหัวหน้ากลุ่มคนพวกนี้ได้โทรเข้ามา เขารีบรับสายในทันทีที่เห็นว่าเป็นหยวนหยินหนิง
หยวนหยินหนิงพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเคลือออกมาว่า “สิบสองวิญญาณ สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว รีบถอย….”
ในขณะที่คนในรถกำลังรู้สึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น และในตอนที่หยวนหยินหนิงยังพูดไม่ทันจบดี ก็ได้เกิดเสียงระเบิดดังกระหึ่มในหูของเขา
ด้วยเสียงนี้ทำให้เหล่าผู้คนทั่วทั้งบริเวณและปลายสายต้องหูดับในทันทีที่เกิดเสียงนี้ ก่อนที่พวกเขาจะทำอะไรได้ โทรศัพท์ที่อยู่ในมือก็ถูกแย่งไปแล้ว

“แม่…เอ๊ย ใครวะ”
“แกหาที่ตายสินะที่กล้ามาทำแบบนี้”
ด้วยการที่คนในรถเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ได้กินข้าวสีน้ำเงินไปเป็นจำนวนมากและฝึกฝนตัวเองด้วยเพลงหมัดวัวคลั่ง ทำให้รูปร่างของพวกเขานั้นล้วนแล้วแต่แข็งแกร่ง และมีรูปลักษณ์ที่แตกต่างจากคนทั่วไป
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นแต่ก็ยังมีคนกล้าที่จะมาหาเรื่องพวกเขาแบบนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกโกรธขึ้นมาในทันทีพลางคิดไปว่า ไอ้หมอนี่ไปกินดีเสือดาวมารึไงกัน

ชายเจ็ดถึงแปดคนที่อยู่ในรถตอนนี้ได้ออกมาจากรถในทันที เมื่อพวกเขาเห็นชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าก็รู้ได้ในทันทีว่าคนๆนี้คือคนที่รนมาหาที่ตายนี่เอง
สองคนในกลุ่มได้พุ่งเข้าหาพร้อมทั้งโจมตีด้วยกระบวนท่าที่ทรงพลังท่าหนึ่งของเพลงหมัดวัวคลั่ง อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มตรงหน้าไม่ได้มีท่าแยแสกับสองคนนี้
และเพียงเมื่อรู้ตัว ทั้งคู่ก็ด้านหล่นลงไปกระแทกกับหลังคารถเรียบร้อยแล้ว ที่ร่างของขายทั้งสองนั้นบังเกิดรูใหญ่รูหนึ่งปรากฎบนร่างกาย และเลือดที่พวยพุ่งออกมาอย่างไม่ขาดสาย
“ห้ะ ไอ้นี่โจมตีด้วยอะไรกัน”
“มันน่าจะมีอาวุธ พวกเราเข้าไปพร้อมกัน”
พวกคนที่เหลือเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นคนยุคใหม่จึงไม่ได้มหัศจรรย์ในสิ่งที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด แถมยังกล้าที่จะเผชิญหน้าต่อโดยไม่สนใจแม้แต่น้อย
ถึงแม้ว่าฉากที่เกิดขึ้นตรงหน้ามันจะแปลกประหลาดขนาดไหน แต่พวกเขาก็ถือว่าตัวเองไม่ใช่มนุษย์ยุคหินที่จะมานั่งโง่งมในสิ่งที่มองไม่เห็นแบบนั้น
พวกมันได้พุ่งรุมล้อมชายคนนี้ในทุกทิศทางและขยับไปมาไม่หยุดนิ่งราวกับตัวต่อ คนที่อยู่ในรถคันอื่นที่เห็นเหตุการณ์เองก็ได้กรูออกมาในทันทีและทำเช่นเดียวกัน
ในตอนนี้รอบๆชายหนุ่มได้มียอดนักสู้ไม่ต่ำกว่าสามสิบคนและไม่น่าจะเกินสี่สิบคนรายรอบเรียบร้อยแล้ว ด้วยความร่วมมือของยอดนักสู้เหล่านี้ ต่อให้ต้องเจอกองทหารพิเศษกว่าพันคน ทหารพิเศษเหล่านั้นก็ต้องตกตายโดยพวกมัน

อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มไม่ได้แยแสกับจำนวนของคนเหล่านี้แต่อย่างใด เขาพุ่งตรงเข้าไปประชิดกลุ่มคนเหล่านี้ทีละคน ทีละคน และในทุกๆครั้งที่ผละจากไป ยอดนักสู้เหล่านั้นที่พอจะตอบสนองได้ก็มีเพียงการพ่นเลือดคำโตออกมาจากปากจนฟุ้งกระจายไปทั่วราวกับน้ำพุเลือด
เพียงชั่วพริบตาเดียว เหล่ายอดฝีมือมือฉกาจกว่าสี่สิบคนก็ร่วงหล่นลงไปกองกับพื้นอย่างรวดเร็ว
ยอดฝีมือทุกคนนั้นกว่าจะรู้ตัวนั้นก็พบว่าตัวเองนอนกองกับพื้นพร้อมกับอาการบาดเจ็บที่รุนแรงพร้อมตายได้ทุกเมื่อไปแล้ว
คนที่ยังมีสติอยู่ได้จับจ้องไปยังชายหนุ่มที่มีหน้าตาหล่อเหลาคนนี้ราวกับเห็นผีร้ายก็ไม่ปาน พวกเขานั้นล้วนแล้วแต่กินข้าวสีน้ำเงินไปมากมาย แม้แต่ได้รับการฝึกฝนเพลงหมัดวัวคลั่งครบทั้งสามกระบวนท่า
ทั้งที่มั่นใจในตัวเองว่าทรงพลังเหนือกว่าใคร และไม่เคยเกรงกลัวที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆด้วยมือและเท้าของตัวเองเลยสักครั้ง
แต่พวกเขากว่าสี่สิบคนกลับทำอะไรไม่ได้เลยเมื่อเจอคนๆเดียว โดยเฉพาะชายคนนี้ไม่ใช่ซูจิ้งอีกด้วย นอกจาซูจิ้งแล้วยังมีสัตว์ประหลาดระดับนี้อยู่ในโลกได้ยังไงกัน
ไป๋ฮิตูที่จัดการกวาดล้างคนกลุ่มนี้จนหมดก็ได้รีบโทรหาซูจิ้งในทันที “เจ้านายครับ ผมพบคนกลุ่มหนึ่งแอบซ่อนอยู่ในเงามืด แต่ผมจัดการคนพวกนี้ด้วยมือตัวเองไปแล้ว”
“เยี่ยม อย่าพึ่งฆ่าพวกมัน ฉันต้องการพวกมันเป็นๆ เดี๋ยวฉันจะส่งคนไปเก็บพวกมันมา นายก็กลับไปดูแลครอบครัวของฉันต่อได้” ซูจิ้งพูดออกมา