ตอนที่ 1431 เกิดมาเพื่อสงคราม โดย Ink Stone_Fantasy
“มา 1 2 3…”
“ยินดีด้วยที่อาการบาดเจ็บของเจ้าหายดี หมดแก้ว!”
งานเลี้ยงเล็กๆ งานหนึ่งได้ถูกจัดขึ้นภายในหอพักของมนต์แห่งสลีปปิ้ง เมื่อเห็นรอยยิ้มดีใจที่ดัสก์ยิ้มออกมาจากใจ โบแชงจึงยกแก้วเหล้าขึ้นมาอย่างจนปัญญา
ในฐานะที่เป็นเพื่อนร่วมงานที่ทำงานอยู่ที่เดียวกัน อีกฝ่ายจะมาหาเธอทุกครั้งที่มีเวลาว่างโดยไม่ได้สนใจสถานการณ์ของตัวเองในตอนนี้เลย หากเป็นเมื่อก่อนตอนที่อยู่บนเกาะสลีปปิ้ง เธอคงไม่มีทางสนใจแม่มดสายสนับสนุนคนนึงขนาดนี้แน่ ความรู้สึกผิดและความรู้สึกตื้นตันใจผสมผสานกันจนทำให้เธอรู้สึกเหมือนติดค้างดัสก์อย่างมาก
ถึงแม้โบแชงจะรู้ว่าดัสก์ไม่มีทางคิดแบบนี้ก็ตาม
แต่ในตอนที่สายตาเธอเลื่อนไปหาอีกคนหนึ่ง สีหน้าเธอพลันดูไม่สบอารมณ์ขึ้นมา
“เจ้ามาทำไมเนี่ย?”
ชาร์มดื่มเหล้าในแก้วจนหมด “นี่เป็นเหล้าองุ่นที่ข้าเอามา แล้วทำไมข้าถึงจะมาไม่ได้ล่ะ?”
“พูดเหมือนกับว่าถ้าไม่มีเจ้าพวกข้าจะไม่มีเหล้าให้ดื่มอย่างนั้นแหละ” โบแชงกรอกตาใส่ “ในเมืองเนเวอร์เนเวอร์วินเทอร์มีร้านเหล้าตั้งเยอะตั้งแยะ จะไปซื้อที่ไหนก็ได้”
“น่าเสียดาย ตอนนี้ฝ่าบาททรงประกาศให้ดินแดนตะวันตกเข้าสู่สภาวะสงครามฉุกเฉิน ตอนนี้เหล้ากลายเป็นสินค้าควบคุม ถ้าไม่ได้รับอนุญาต ต่อให้เจ้าอยากกินก็ไม่มีทางซื้อได้หรอก” ชาร์มยักไหล่ “ดังนั้นเจ้าควรขอบคุณข้าซะ เพราะนี่เป็นเหล้าที่ข้าแอบขโมยมาจากพ่อข้าเลยนะ”
สงครามงั้นเหรอ….
จู่ๆ โบแชงพลันรู้สึกไม่อยากต่อปากต่อคำ
ถึงแม้หลายวันมานี้เธอจะนอนรักษาตัวอยู่บนเตียง แต่เธอก็สามารถรับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่ตึงเครียดขึ้นทุกวันภายในเมืองเนเวอร์วินเทอร์
อย่างแรกคือข่าวเกี่ยวกับพื้นที่บุกเบิกบนหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ที่น้อยลงทุกวัน จากที่ตีพิมพ์สัปดาห์ละครั้ง กลายเป็น 2-3 สัปดาห์ครั้ง ในนั้นมีทั้งรายงานข่าวของแนวหน้า ในการรับสมัครงานฉุกเฉิน เมื่อดูจากเนื้อหาบนหนังสือพิมพ์แล้ว ถึงแม้กองกำลังรักษาอาการจะค่อยๆ ควบคุมสถานการณ์และผลักเอาไฟสงครามกลับไปนอกพื้นที่บุกเบิกใหม่ได้ แต่ค่าตอบแทนที่พวกเขาต้องจ่ายก็ไม่ใช่น้อยๆ เลย ทุ่งหญ้าการเกษตรที่สร้างขึ้นมาอย่างยากลำบาก 2-3 แห่งและที่อยู่อาศัยถูกทำลายจนราบเป็นหน้ากลอง คนงานที่หายไปเหล่านั้นก็ไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง
ในจุดนี้สามารถสะท้อนให้เห็นได้จากไข่และเนื้อต่างๆ ในอาหารแต่ละมื้อที่น้อยลง ขนมปังกลายเป็นอาหารหลักอีกครั้ง แต่แน่นอน เมื่อเทียบกับตอนที่ต้องหนีตายอยู่ในเมืองอื่นๆแล้ว สถานการณ์ในตอนนี้ก็ถือว่าดีกว่ามาก อย่างน้อยก็มีอาหารให้กินอิ่มท้อง
อันดับต่อมาก็คือภาพบนท้องถนน
ทุกวันเมื่อมองผ่านหน้าต่างออกไป เธอจะมองเห็นขบวนทหารใหม่ที่สวมชุดทหารจำนวนมากเดินผ่านถนนกลางเมือง ความตื่นเต้นและความตึงเครียดบนใบหน้าของทหารดูแตกต่างจากสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลและอาลัยอาวรณ์ของคนรอบข้างอย่างเห็นได้ชัด เมื่อดูจากจำนวนคนแล้ว จำนวนทหารที่ถูกส่งไปยังที่ราบลุ่มบริบูรณ์นั้นไม่ใช่จำนวนน้อยเลย ขนาดของกองทัพนี้เมื่อเทียบกับกองทัพอัศวินและกองทัพพิพากษาของศาสนจักรในอดีตแล้ว เรียกได้ว่าอยู่กันคนละระดับชั้นก็ว่าได้
นี่คือสงคราม
เพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์แล้ว คนจำนวนนับพันนับหมื่นได้เสียสละตัวเองเข้าสู่สงคราม ส่วนด้านหลังพวกเขาก็มีชาวเมืองอีกนับหมื่นนับแสนที่คอยให้การสนับสนุนพวกเขาอยู่
เมื่อเทียบกันแล้ว การต่อสู้ที่เธอเจอมาสมัยที่เป็นแม่มดสายต่อสู้นั้นไม่มีค่าให้พูดถึงเลย…
ก่อนหน้านี้ที่เธอเลือกมาทำงานที่ที่ราบลุ่มบริบูรณ์กับดัสก์ก็เพราะไม่อยากจะเจอกับคนรู้จัก ตอนนี้พื้นที่บุกเบิกถูกทำลายไปแล้ว เธอจึงต้องกลับไปเป็น ‘คนที่ไร้ประโยชน์’ อีกครั้ง
“เฮ้ ทำไมอยู่ๆ ก็เงียบไปล่ะ?” เมื่อเห็นโบแชงไม่ต่อปากต่อคำกลับมา ชาร์มจึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เขาเกาหัวพร้อมแอบเหลือบมองไปทางดัสก์ “ข้าพูดอะไรผิดหรือเปล่า?”
“ดัสก์ไม่รู้” ดัสก์แลบลิ้นออกมา “ดัสก์รู้แต่ว่าคนที่พูดผิดต้องดื่มอีก 3 แก้ว!”
“เอ่อ…นี่เจ้าเมาหรือเปล่าเนี่ย…”
“ไม่เมา นี่เพิ่งแก้วที่ 2 เอง ดัสก์ยังไหว!”
“ก๊อกๆๆๆ…” จู่ๆ ด้านนอกพลันมีเสียงเคาะประตูดังแทรกความคิดของโบแชงขึ้นมา
“มาแล้ว!” ดัสก์เดินกระโดดไปเปิดประตู “เอ๋…ท่านคามิล่า?”
คนที่ยืนอยู่ด้านหลังประตูคือหัวหน้าแม่บ้านของเกาะสลีปปิ้งคามิล่า แดริล เธอกวาดตามองภายในห้อง ก่อนจะเดินเข้ามาหาอีกสองคนที่อยู่ในห้อง
“ดูเหมือนเจ้าจะมาเยี่ยมเกินเวลานะ” โบแชงฝืนยิ้มขึ้นมา “เลดี้แดริลเกลียดคนที่ไม่รักษาเวลาที่สุด หลังจากนี้หากเจ้าคิดจะมาที่นี่อีกก็คงจะยากแล้ว”
“เป็นไปไม่ได้…ก็ข้าคอยดูเวลาอยู่นี่ นี่ยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเลย….” ชาร์มพูดงึมงำเสียงเบาๆ
ในขณะที่โบแชงกำลังจะพูดอะไรออกมา คามิล่ากลับเดินผ่านหน้าชาร์มไปยืนอยู่หน้าเธอ
“สโมสรแม่มดกำลังประกาศรับสมัครงานใหม่อยู่ โดยเปิดรับสมัครแม่มดทุกคนที่อยู่ในเกรย์คาสเซิล” หัวหน้าแม่บ้านพูดเปิดประเด็นตรงๆ “ตอนนี้จำนวนที่รับสมัครอยู่ที่ประมาณ 50 คน คนที่มีประสบการณ์ต่อสู้จะได้รับพิจารณาเป็นพิเศษ ข้าคิดว่ามันน่าจะเหมาะกับเจ้าก็เลยลองมาถามดู”
โบแชงตกตะลึง ผ่านไปครู่หนึ่งเธอถึงได้เข้าใจความหมายที่อยู่ในคำพูดของอีกฝ่าย รับสมัครงาน แถมถ้ามีประสบการณ์ต่อสู้จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ หรือว่างานนี้มันจะเกี่ยวกับสงคราม? แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ทำไมถึงไม่ระบุมาเลยว่าต้องการความสามารถประเภทไหน?
“เจ้าเดาถูกแล้ว” คามิล่าเหมือนจะมองเห็นถึงความสงสัยของเธอ “แม่มดกำลังจะตั้งทีมพิเศษขึ้นมาเพื่อช่วยสนับสนุนแนวหน้า ช่วยกองกำลังหลักในการทำสงครามที่ยากลำบาก เรื่องรายละเอียดข้าไม่อาจพูดอะไรมากได้ แต่ขอเพียงไปอยู่ในแนวหน้าก็จะต้องมีความเสี่ยงอย่างแน่นอน แต่แน่นอน…ถึงแม้มันจะไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับความสามารถ ทว่ามันก็ไม่ได้หมายความว่าสมัครแล้วจะได้รับคัดเลือก ผลสุดท้ายมันก็ยังต้องดู—“
“ข้าไป” โบแชงตอบทันที
มันไม่มีอะไรให้ลังเลอีกแล้วไม่ใช่หรือ!
พูดอีกอย่างก็คือเธอรอคอยวันนี้มานานแล้ว
“อย่างนั้น…ตามข้ามา” คามิล่าหมุนตัว
“เฮ้…เจ้าจะไปแนวหน้าจริงๆเหรอ?” ในตอนที่เดินผ่านชาร์ม น้ำเสียงของเขาเหมือนจะรู้สึกเป็นกังวล
“อะไรกัน ข้านึกว่าเจ้าจะดีใจซะอีก” โบแชงมุ่ยปาก “แบบนี้เวลาที่เจ้านัดดัสก์ ก็จะได้ไม่มีใครคอยกวนเจ้าไง”
“ข้า…” เขาอ้าปากเหมือนอยากจะพูดอะไร แต่เมื่อมองดูแผ่นหลังของโบแชงที่เดินจากไป สุดท้ายชาร์มก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
…….
หลังจากนั้นหนึ่งวัน โบแชงก็นั่งรถไฟมาถึงสถานีป่าเร้นลับ
คนที่รับผิดชอบเปลี่ยนจากคามิล่ากลายเป็นผู้หญิงที่เธอไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน เธอเรียกตัวเองว่าอิสซาเบลล่า หน้าที่หลักของเธอคือเป็นผู้คัดเลือกการรับสมัครในครั้งนี้และเป็นผู้ชี้แนะ ถึงแม้จะเพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรก แต่โบแชงกลับมีความรู้สึกคุ้นเคยเหมือนเคยเจออีกฝ่ายที่ไหนมาก่อน
ส่วนอีกเรื่องนึงที่ทำให้เธอรู้สึกแปลกใจก็คือจำนวนคนที่มาสมัครนั้นเยอะกว่าที่เธอคิดเอาไว้มาก แม้แต่ทางสโมสรแม่มดก็มีคนมาสมัครอยู่ไม่น้อย ระหว่างทางประมาณครึ่งชั่วโมง เธอก็ได้รู้จักแม่มดหลายคน อย่างเช่น วานิลลา เอมี่และฮีโร่ นอกจากนี้เธอยังเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยอีกสองสามคน อย่างเช่นอีฟฟี่และไนท์ฟอลที่เป็นอดีตสมาชิกของสมาคมบลัดแฟงค์
ดูเหมือนพวกเธอเองก็อยากจะพิสูจน์ตัวเองบนสนามรบเหมือนกัน
หลังลงจากรถ เหล่าแม่มดก็เดินเข้าไปในอาคารที่เหมือนกับโรงงานแห่งหนึ่งภายใต้การนำของอิสซาเบลล่า
เมื่อเดินเข้ามาภายในอาคาร ทุกคนก็ถูกสิ่งๆ หนึ่งที่สร้างขึ้นมาจากเหล็กกล้าซึ่งจอดอยู่ตรงกึ่งกลางพื้นที่โล่งในอาคารดึงดูดสายตาเอาไว้
มันดูแล้วเหมือนกับ ‘รถ’ คันหนึ่ง ล้อที่เรียงเป็นแถวอยู่ด้านล่างคือเครื่องยืนยัน แต่มันไม่เหมือนกับรถชนิดอื่นในเมืองเนเวอร์วินเทอร์ ล้อแค่ด้านหนึ่งของมันมีมากถึง 5 ล้อ แถมยังสร้างขึ้นมาจากโลหะทั้งหมดด้วย ด้านล่างถูกแผ่นเหล็กเป็นแผ่นๆเ ชื่อมต่อและห่อหุ้มเอาไว้ รูปร่างมันดูพิเศษเป็นอย่างมาก
แต่โบแชงมองออกว่าเจ้าสิ่งนี้นั้นมีความคล้ายคลึงกับเครื่องจักรที่ขุดดินอยู่ที่พื้นที่บุกเบิก…ใช่แล้ว มันคือเครื่องจักรถูกที่เรียกว่ารถแทรกเตอร์
เพียงแต่เมื่อเทียบกับรถแทรกเตอร์แล้ว รถที่อยู่ตรงหน้านั้นมีขนาดที่ใหญ่กว่ามาก โดยเฉพาะด้านบนที่ถูกแผ่นเหล็กห่อหุ้มเอาไว้อย่างแน่นหนา บนยอดด้านบนมีหอที่เป็นเหมือนป้อมปราการ ท่อเหล็กสั้นๆ ที่ยื่นออกมาจากตรงกลาง เห็นได้ชัดว่าคือปืนใหญ่
แค่ดูก็รู้ว่ามันคืออาวุธที่เกิดมาเพื่อสงคราม
…………………………………………………