“ใช่แล้ว!”
จู่ๆเย่ซิงเฉินก็ร้องตะโกนออกมาและดวงหน้างดงามไร้ที่ตินั้นก็จ้องมองมาทางหลิงหยุน พร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ข้าจะต้องรายงานเรื่องกระบี่โลหิตเทวะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วนี้ให้ท่านอาจารย์ฟังเป็นคนแรก!”
จากนั้นจึงหันไปมองกระบี่โลหิตเทวะในมือของหลิงหยุนพร้อมกับย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “หลิงหยุน ข้าจะโทรไปรายงานเรื่องนี้ให้อาจารย์ของข้ารู้ ห้ามเจ้าแอบฟังอย่างเด็ดขาด!”
หลิงหยุนกรอกตาไปมาพร้อมกับเตือนเย่ซิงเฉินไปว่า“นี่.. เจ้าลืมไปแล้วหรืออย่างไรว่า อาจารย์ของเจ้าก็คือท่านแม่ของข้า!”
“แต่ท่านอาจารย์ย้ำนักย้ำหนาว่าหากเจ้ายังไม่แข็งแกร่งพอ ห้ามไม่ให้เจ้าติดต่อกับนาง!” เย่ซิงเฉินเหลือบมองหลิงหยุน พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียง และสีหน้าที่เหนือกว่า
หลิงหยุนได้แต่ยิ้มและหาได้ขุ่นเคืองใจไม่ เพราะจากที่ได้ใช้เวลาอยู่กับเย่ซิงเฉินมานั้น ทำให้เขารู้ว่าหยินชิงเฉวียนรักใคร่เขามากเพียงใด มีหรือที่ไม่อยากจะพูดคุยและติดต่อกับเขา แต่เพราะพรรคมารนั้นยิ่งใหญ่และแข็งแกร่ง นางจึงเกรงว่าหากหลิงหยุนไม่แข็งแกร่งพออาจจะตกอยู่ในอันตรายได้!
หลิงหยุนพยักหน้ายิ้มๆพร้อมตอบกลับไปว่า“ได้ๆ เชิญเจ้าโทรไปบอกได้เลย ข้ารับปากจะไม่แอบฟังอย่างเด็ดขาด!”
เย่ซิงเฉินยิ้มออกมาพร้อมกับนำเครื่องมือสื่อสารออกมาติดต่อหาชิงหยวนทันที!
หลิงหยุนไม่แอบฟังตามที่รับปากไว้เพราะเขาเองก็เกรงว่าหากได้ยิน จิตใจของเขาก็อาจสั่นไหวจนทนไม่ได้ จึงได้แต่สำรวจดูกระบี่โลหิตเทวะอย่างละเอียดอีกครั้ง หลังจากดูจนพอใจแล้วเขาจึงเก็บเข้าไปในแหวนจักรวาลดังเดิม “พ่อหนุ่มแม่นางผู้นั้นกล่าวได้ถูกต้องแล้ว กระบี่เมื่อครู่คือกระบี่โลหิตเทวะในตำนานจริงๆ!”
จู่ๆเสียงพูดก็ดังขึ้นภายในห้วงจิตใจของหลิงหยุน มันคือเสียงดวงจิตของพู่จักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์นั่นเอง ครั้งนี้น้ำเสียงของเขาฟังดูเคร่งขรึมจริงจังยิ่งนัก!
“…”หลิงหยุนได้แน่อึ้งไปอีกครั้ง
“ในเมื่อผนึกของกระบี่โลหิตเทวะถูกเปิดออกเช่นนี้แล้วทุกอย่างคงต้องดำเนินไปตามกฏสวรรค์เหมือนที่ผ่านๆมา..”
พู่กันจักรพรรดิถอนหายใจก่อนจะเอ่ยต่อไปว่า“ในเมื่อเจ้าเป็นผู้ครอบครองกระบี่เล่มนี้ และดูเหมือนกระบี่จะได้กลับคืนสู่มือเจ้าของที่แท้จริงแล้ว ข้าเองก็ไม่อาจพูดอะไรได้มากไปกว่านี้ จากนี้ไปเจ้าก็ค้นหาคำตอบเอาเองเถิด..”
หลิงหยุนได้แต่ตกตะลึงเพราะคำบอกเล่าของพู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์นั้นฟังดูน่ากลัวยิ่งนัก เช่นนี้แล้วในวันข้างหน้าเขาต้องพบเจอกับสิ่งใดบ้าง
แต่จากคำพูดของพู่กันจักรพรรดิเมื่อครู่นั้นดูเหมือนว่าทั้งพู่กันจักรพรรดิ สมุดจักพรรดิ และกระบี่โหลิตเทวะ น่าจะต้องเคยพบกันมาแล้วเป็นแน่ และหากเป็นเช่นนั้นจริงย่อมหมายความว่า กระบี่โลหิตเทวะนี้จะไม่ใช่อาวุธศักดิ์สิทธิ์ในสมัยหยินชางแล้ว แต่น่าจะย้อนกลับไปไกลกว่านั้น คือยุคของสามราชาห้าจักรพรรดิด้วยซ้ำไป..
และนั่นทำให้หลิงหยุนก็กำลังนึกถึงเจ้าของกระบี่เล่มนี้คนแรกจึงได้แต่เอ่ยถามออกไปว่า “ไม่ทราบอาวุโสเคยพบเจอเจ้าของกระบี่เล่มนี้หรือไม่”
หลิงหยุนแสร้งทำเป็นโง่และถามออกไปเช่นนั้นเพื่อต้องการข้อมูลมายืนยันในสิ่งที่ตนเองคาดคิด
“นี่พ่อหนุ่ม!เจ้าอย่ามาแสร้งทำเป็นหลอกถามข้าเลย ขอบอกเจ้าตามตรง มันมากยิ่งกว่าพบเจอ เจ้าคิดว่าข้ากับตาเฒ่าในจุดตันเถียนนั่น ได้รับบาดเจ็บถึงเพียงนี้เพราะสาเหตุอันใดกัน”
หลิงหยุนได้ฟังคำตอบของพู่กันจักรพรรดิกลับยิ่งตกใจจนพูดไม่ออกมากขึ้นเพราะคำตอบนั้นเหนือความคาดหมายกว่าสิ่งที่หลิงหยุนคาดว่าจะได้ยินมากนัก!
กระบี่โลหิตเทวะสามารถทำร้ายพู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์และสมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพได้อย่างนั้นหรือ
ด้วยเหตุนี้หลิงหยุนจึงไม่ต้องการถามสิ่งใดเกี่ยวกับเจ้าของคนแรกของกระบี่เล่มนี้อีก เพราะเขาย่อมต้องเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่แน่!
“เอ่อ…”
หลิงหยุนยกมือขึ้นเกาศรีษะพร้อมกับถามออกไปว่า“หากอาวุโสทั้งสองไม่ชอบกระบี่เล่มนี้ ข้ายินดีโยนมันทิ้งไป..”
“เจ้าอย่าได้ยุ่งเรื่องของข้า!ข้าว่าเจ้ารีบๆไปนำโครงกระดูกมังกรขึ้นมาจะดีกว่า!” พู่กันจักรพรรดิร้องตะโกนบอกเสียงดังก่อนจะเงียบหายไปในที่สุด โครงกระดูกมังกร!
หลิงหยุนตกตะลึงอีกครั้งเพราะโครงกระดูกมังกรที่พู่กันจักรพรรดิพูดถึงนั้น ก็คือหินมังกรเขียวที่เขากำลังจะไปเอานั่นเอง!
ที่แท้หินมังกรเขียวนั่นก็คือโครงกระดูกมังกรงั้นรึ!
เมื่อคิดได้เช่นนั้นหลิงหยุนก็เรียกกระบี่ที่เขาฟันหักเป็นสองท่อนนั้นกลับเขาไปไว้ในแหวนจักรวาลและรีบติดต่อหาโม่วู๋เตาทันที
“นักพรตน้อยเวลานี้ข้าอยู่อันชิง และกำลังจะกลับไปจิงฉู เจ้านำแม่ชีทั้งหมดจากอารามจิ้งซินกลับไปที่จิงฉู แล้วพวกเราไปเจอกันที่นั่น!
ตั้งแต่โม่วู๋เตารับสายของหลิงหยุนเขาก็ไม่มีโอกาสได้พูดอะไรเลยสักคำ ท้ายที่สุดก็พูดกลับไปได้เพียงแค่ประโยคเดียว
“ไม่ต้องห่วงพวกเราจะรีบนั่งเครื่องกลับไปจิงฉูทันที!”
แต่ยังไม่ทันที่โม่วู๋เตาจะพูดจบดีด้วยซ้ำหลิงหยุนก็วางสายไปแล้ว…
หลังจากวางสายไปแล้วหลิงหยุนก็พยามทำสมาธิสงบสติอารมณ์ของตัวเอง เพราะหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาได้รับรู้มาตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ ทำให้เขาตื่นเต้นดีใจจนต้องยิ้มออกมา
หลิงหยุนเริ่มรู้สึกว่าตนเองนั้นเข้าใกล้กับประตูที่จะไขความลี้ลับอันยิ่งใหญ่ของโบราณกาลมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว!
“น่าสนใจยิ่งนัก!”
หลิงหยุนรำพึงรำพันออกมายิ้มๆในขณะที่จิตใจกำลังพลุ่งพล่านอย่างมาก
“นี่หลิงหยุนเจ้ากำลังคิดเรื่องอะไรอีกแล้วรึ”
ไม่รู้ว่าเย่ซิงเฉิยกลับมายืนอยู่ข้างๆหลิงหยุนเงียบๆตั้งแต่เมื่อใดฝ่ามือของนางโบกไปมาที่ด้านหน้าของหลิงหยุนพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
หลิงหยุนเหลือบมองและแสร้งทำสีหน้าไม่พอใจพร้อมตอบกลับไปว่า“ในเมื่อเจ้าไม่ให้ข้าแอบฟังเจ้า ข้ารู้สึกเบื่อ จะนั่งครุ่นคิดอะไรบ้างไม่ได้หรืออย่างไร”
เย่ซิงเฉินหัวเราะคิกคักพร้อมกับเอื้อมมือไปจับแขนหลิงหยุนพร้อมกับพูดเอาใจ“ได้ๆ! นี่หลิงหยุน เจ้าอย่าน้อยใจไปเลย ท่านอาจารย์เป็นห่วงความปลอดภัยของเจ้า เมื่อใดที่เจ้าแข็งแกร่งพอ ข้าจะพาเจ้าไปพรรคมารพบท่านอาจารย์ทันที!”
“เช่นนั้นก็บอกมาว่าข้าต้องเข้าสู่ขั้นใดเจ้าจึงจะพอใจ”
เย่ซิงเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับไปว่า“อย่างน้อยๆ ก็น่าจะต้องเข้าสู่ขั้นลิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-6) เสียก่อน!”
หลิงหยุนคาดว่าภายในสามเดือนเขาน่าจะเข้าสู่ขั้นลิ่วเฉิงชี่ได้ซึ่งนับว่าไม่ใช่เวลาที่นานมากนัก จึงพยักหน้าตกลงทันที!
“เอาล่ะพวกเรารีบกลับไปจิงฉูก่อนดีกว่า!” “แล้วพวกเราจะกลับไปอย่างไรดีล่ะ”
หลิงหยุนยิ้มออกมาเล็กน้อยและตอบกลับไปว่า“ข้าว่าพวกเราไปหาเส้นทางที่ไม่มีผู้คนสัญจรไปมา แล้วค่อยเหาะไปจะดีกว่า!
…..
หลิงหยุนกับเย่ซิงเฉินจึงได้เหาะกลับไปที่เมืองจิงฉู..
“ซิงเฉินข้ามอบให้เจ้า!”
ระหว่างเส้นทางที่เหาะกลับไปจิงฉูนั้นหลิงหยุนได้เรียกศิลากลั่นวิญญาณที่ประมูลมาจากตระกูลเย่ และใช้กระบี่โลหิตเทวะตัดออกเป็นชิ้นขนาดเท่าผลสัปปะรดยื่นให้กับเย่ซิงเฉิน
“นี่มันศิลาเกลาใจนี่เหตุใดเจ้าจึงนำของสิ่งนี้มามอบให้ข้า” เย่ซิงเฉินเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ชื่อที่แท้จริงของมันคือศิลากลั่นวิญญาณต่างหากเล่าแหวนจักรวาลในมือเจ้าก็ทำมาจากศิลาก่อนนี้!” ระหว่างที่เก็บกระบี่เข้าไปในแหวนพื้นที่นั้นหลิงหยุนก็ยังคงพูดต่อ “กลั่นสสารบ่มเพาะปราณ กลั่นปราณบ่มเพาะจิตวิญญาณ จิตวิญญาณที่ว่างเปล่ากลับคืนสู่เต๋า..”
“ซิงเฉินเวลานี้พวกเรายังอยู่ในขั้นกลั่นปราณบ่มเพาะจิตวิญญาณ ศิลากลั่นวิญญาณนี้มีผลต่อพลังแห่งจิตหยั่งรู้ ระหว่างที่ฝึกฝนเจ้าหมั่นถือศิลานี้ไว้ในมือ จะช่วยให้การฝึกฝนของเจ้าก้าวหน้าได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และที่สำคัญจิตมารจะมิอาจครอบครองเจ้าได้..”
เย่ซิงเฉินพยักหน้าแต่สายตาที่จ้องมองศิลากลั่นวิญญาณนั้นดูไม่พึงพอใจนัก จนหลิงหยุนต้องรีบอธิบาย่า
“นี่ไม่ใช่ศิลากลั่นวิญญาณที่ปู่ของหลินเมิ่งหานมอบให้ข้าวันเปิดคลินิกเจ้าอย่าได้คิดมากไป..”
เย่ซิงเฉินตอบโต้กลับมาทันที“ข้าไม่ได้ถาม เจ้าจะรีบร้อนตัวอธิบายทำไมกัน”
หลิงหยุนได้แต่นิ่งเงียบไม่กล้าพูดอะไรอีกเมื่อสัมผัสได้ถึงรังสีสังหารที่พวยพุ่งออกมาจากสีหน้าท่าทางของเย่ซิงเฉิน
“แม่นางหลินเมิ่งหานอะไรนั่น..”
เย่ซิงเฉินชื่อหลินเมิ่งหานออกมาแต่แล้วก็ลังเลเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อว่า “หน้าอกของนางใหญ่โตไม่เบาทีเดียว เจ้าคงคิดถึงนางสินะ”
หลิงหยุนได้ฟังคำพูดประโยคนี้ของเย่ซิงเฉินก็แทบหล่นลงจากกระบี่เหินตกลงไปข้างล่างทันที หลังจากทรงตัวได้ใหม่ก็รีบทำเสียงอ้อนวอน
“พี่สาว..ข้าผิดไปแล้ว ได้โปรดเปลี่ยนเรื่องพูดเถิดนะ!”
แต่จะตำหนิเย่ซิงเฉินที่หึงหวงก็ไม่ถูกนักเพราะความจริงแล้ว ตั้งแต่ที่หลินเมิ่งหานเดินทางไปแคนาดานั้น เขาก็คิดถึงนางมากจริงๆ แต่เพราะมีภารกิจที่ต้องสะสางติดต่อกันหลายเรื่อง ทำให้หลิงหยุนได้แต่เก็บซ่อนความคิดถึงนี้ไว้ภายในใจ
“คนสวย..เรื่องระหว่างพวกเจ้า พวกเจ้าไปสะสางกันเอง อย่าได้ดึงข้าเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย!”
หลิงหยุนได้แต่คร่ำครวญออกมาและแอบเรียกศิลากลั่นวิญญาณออกมากำไว้ในมือ จากนักจึงเริ่มเดินพลังลับหยิน–หยางบ่มเพาะเปลวไฟห้าธาตุหยิน–หยาง
หลังจากผ่านไปกว่าสิบสองวันนับตั้งแต่เขากลืนไฟหลากสีเข้าไปเวลานี้เปลวไฟห้าธาตุนั้นได้หลอมรวมกับพลังหยินและหยาง และกำลังจะเป็นเปลวไฟห้าธาตุหยิน–หยางแล้ว
หลิงหยุนไม่คิดที่จะอยู่จิงฉูนานนักเพราะเขายังต้องการเดินทางไปช่วยนางฉินจิวยื่อที่สำนักกระบี่เทียนซานอีก
นอกเหนือจากภารกิจเหล่านั้นหลิงหยุนยังต้องการพาไป๋เซียนเอ๋อกลับไปเขาหลงหู่ เพื่อสะสางบัญชีแค้น และต้องพานางไปเปิดจิตหยั่งรู้อีกด้วย..
หลิงหยุนรู้ว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจนั้น ไม่สามารถเปิดจิตหยั่งรู้ได้ปกติดังเช่นมนุษย์ แต่ต้องอาศัยเวลาและจังหวะที่เหมาะสมเท่านั้น อีกทั้งไป๋เซียนเอ๋อยังเป็นจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง สถานที่สำหรับทำการเปิดจิตหยั่งรู้ของนางนั้นก็จะแปลกประหลาดกว่าผู้อื่น เพราะจะต้องเป็นสถานที่ที่มีพลังชีวิตอุดมสมบูรณ์เท่านั้น หลิงหยุนจึงจำเป็นต้องจัดการพานางไปด้วยตัวเอง..
และหลิงหยุนก็ได้เลือกสถานที่ไว้แล้ว..
ในที่สุดทั้งคู่ก็เหาะมาถึงเขาหยกด้านใต้หลิงจึงร้องบอกว่า “พวกเราลงเดินกันดีกว่า เดี๋ยวจะมีคนมาเห็นเข้า!”
หลังจากนั้นทั้งสองคนก็เดินตรงผ่านป่าลัดเลาะมาตามเส้นทางจนกระทั่งถึงหุบเขาที่อยู่ระหว่างเขามังกรกับเขาหยกด้านใต้ ซึ่งเป็นตำแหน่งของหลุมยักษ์
“พี่หยุนนี่!”
จิตหยั่งรู้ของตี้เสี่ยวอู๋จับภาพของหลิงหยุนกับเย่ซิงเฉินได้จึงรีบร้องออกมาด้วยความดีใจ!