ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 85 การตัดสินใจของนายท่านอู่โหว

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

แม้ว่าจะโดนกล่าวหาเรื่องใหญ่ขนาดนี้ แต่ฮ่องเต้ได้ลดอารมณ์ลงมากแล้ว อู่โหวทั้งสองจะไม่รับก็ไม่ได้ เลยได้แต่พูดว่า “กระหม่อมมิกล้า” ในขณะที่นายน้อยอู่โหวกำลังจะลุกขึ้น ก็เหลือบไปเห็นนายท่านอู่โหวยังไม่ลุก เลยตกใจคุกเข่าลงไปอีกครั้ง 

 

 

นายท่านอู่โหวเงยหน้าขึ้น มองไปที่หวงฝู่ซวิ่น แล้วอ้อนวอนว่า “ฝ่าบาท ในเมื่อเรื่องนี้เอี่ยวโยงมาถึงจวนอู่โหว พวกเรามิอาจนิ่งดูดายได้ กระหม่อมขอร้องให้ฝ่าบาทมีรับสั่ง ให้นายน้อยอู่โหวไปเจียงหนาน จับตระกูลฮั่ว มาล้างมลทินให้กับจวนอู่โหวด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

นายท่านอู่โหวพูดจบ หวงฝู่ซวิ่นก็หรี่ตามองเขาด้วยความสงสัย  

 

 

ส่วนนายน้อยอู่โหวลำบากใจเหลือเกิน ตระกูลฮั่วเป็นบ้านแม่ยายของตน ถ้าหากมีรับสั่งให้ตนไปเจียงหนานจริง เพื่อตรวจสอบพวกเขาล่ะก็ แล้วจะมองหน้าฮูหยินของเขาติดได้อย่างไร แล้วเงินที่ได้มาปีละหนึ่งล้านตำลึงจะเอามาจากไหนอีก 

 

 

แต่นายท่านอู่โหวเป็นเจ้าบ้าน ต้องคิดหนักกว่าคนอื่นอยู่แล้ว ตระกูลฮั่วโดนฮ่องเต้จับตาแล้ว คาดว่าต้องพบจุดจบไม่สวยแน่ หากไม่อาศัยโอกาสนี้ทำผลงาน ต่อไป ฮ่องเต้คงไม่ไว้ใจจวนอู่โหวอีก ตำแหน่งนี้ก็คงดำรงได้อีกไม่นาน ดังนั้น จึงตัดสินใจกัดฟันพูดอ้อนวอนออกมาเช่นนั้น  

 

 

ห้องทรงพระอักษรเงียบสงัด หวงฝู่ซวิ่นไม่ได้พูดว่าดี หรือไม่ดี ได้แต่มองจ้องไปที่พวกเขา  

 

 

นายท่านอู่โหวใจเต้นรัว ฮ่องเต้จะไว้ใจจวนอู่โหวหรือไม่ก็ดูกันที่ครานี้ หากฮ่องเต้ตอบรับ ก็แสดงว่าเชื่อใจ เขาจะได้วางใจได้ แต่หากไม่ปฏิเสธ ก็แสดงว่าสงสัยในจวนอู่โหว ต่อไปจวนอู่โหวก็คงไม่เป็นเหมือนเคย คงต้องอยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัวเสียหน่อยแล้วล่ะ  

 

 

แต่นายน้อยอู่โหวไม่ได้คิดเช่นนั้น ฮ่องเต้ไม่ตอบรับ เขาก็ไม่ต้องไปเจียงหนาน แล้วก็ไม่ต้องมารับกรรมว่าเป็นคนแล้งน้ำใจอีกด้วย  

 

 

ไม่นาน หวงฝู่ซวิ่นก็เอ่ยปาก พูดด้วยน้ำเสียงปกติว่า “ที่นายท่านอู่โหวขอ มาจากใจจริงงั้นรึ” 

 

 

“กราบทูลฝ่าบาท เพื่อความผาสุขของบ้านเมือง กระหม่อมจะทำสุดความสามารถพ่ะย่ะค่ะ” นายท่านอู่โหวตอบอย่างไม่ลังเล 

 

 

หวงฝู่ซวิ่นมองไปที่นายน้อยอู่โหว แล้วถามว่า “แล้วเจ้าล่ะ” 

 

 

“กระหม่อม… …” นายน้อยอู่โหวชะงักไป แต่พอนายท่านอู่โหวมองเขาด้วยสายตาพิฆาต เลยรีบพูดว่า “ความคิดของท่านพ่อก็เหมือนความคิดของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าอนุญาต ออกคำสั่งให้นายน้อยอู่โหวเดินทางไปเจียงหนาน ตรวจสอบตระกูลฮั่ว หาหลักฐานมาเอาผิดพวกเขาให้ได้” 

 

 

“เป็นพระมหากรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะ” นายท่านอู่โหวแทบจะข่มความดีใจไว้ไม่อยู่  

 

 

“กระหม่อมน้อมรับคำสั่ง!” นำเสียงของนายน้อยอู่โหวมีความหดหู่อย่างบอกไม่ถูก  

 

 

หลังจากรับคำสั่ง และขอบพระคุณเสร็จ ก็กลับจวนมาเก็บของเตรียมไปเจียงหนาน พอสองพ่อลูกเดินออกมาจากวัง นายท่านอู่โหวเช็ดเหงื่อที่หน้าผากของตน ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ดีที่รักษาตำแหน่งอู่โหวเอาไว้ได้ เขาก็นอนตายตาหลับแล้ว 

 

 

แต่ใจของนายน้อยอู่โหวไม่ยินดีเลยสักนิด พอขึ้นรถม้า ก็กล่าวโทษออกมาด้วยความไม่พอใจ “ท่านพ่อ ทำไมท่านถึง… …” 

 

 

“หุบปาก! มีอะไรกลับจวนไปค่อยพูด” นายท่านอู่โหวตะคอกใส่  

 

 

นายน้อยอู่โหวหุบปาก แล้วมีท่าทีไม่พอใจจนกลับมาถึงจวน พอกำลังจะไปเก็บของที่เรือนของตน นายท่านอู่โหวก็พูดว่า “ตามข้าไปที่ห้องหนังสือ” พูดจบ ก็สั่งบ่าวรับใช้ที่คอยติดตามว่า “เจ้าไปเรียกฮูหยินมาด้วยไป” 

 

 

ห้องหนังสือเป็นสถานที่สำคัญ ฮูหยินอู่โหวไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปมาหลายปีแล้ว พอได้รับรายงานจากบ่าวรับใช้ จึงนึกสงสัย แล้วเดินมาที่ห้องหนังสือด้วยความกังวลใจ  

 

 

เห็นนายน้อยอู่โหวอยู่ด้วย ความกังวลก็ยิ่งทวีคูณขึ้น เลยย่อเข่าคารวะ แล้วถามว่า “ท่านพ่อ ท่านเรียกข้ามาด้วยเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ” 

 

 

“ระหว่างบ้านแม่เจ้ากับจวนอู่โหว เจ้าเลือกสักที่เถิด” นายท่านอู่โหวพูดตรงๆ ไม่อ้อมค้อม  

 

 

ฮูหยินอู่โหวก็ตกใจ รีบหันไปมองนายน้อยอู่โหว  

 

 

นายน้อยอู่โหวได้แต่อ้าปาก แต่ก็พูดอะไรไม่ออก 

 

 

ฮูหยินอู่โหวรู้สึกได้ว่าจะต้องเกิดเรื่องขึ้นอย่างแน่นอน เลยคุกเข่าลงถามว่า “ท่านพ่อ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่เจ้าคะ เหตุใดท่านถึงต้องพูดเช่นนี้”  

 

 

นายท่านอู่โหวมองไปที่นายน้อยอู่โหว “เจ้าบอกนางไปเถิด” 

 

 

นายน้อยอู่โหวเห็นฮูหยินผู้งดงามของเขาต้องคุกเข่าลงอย่างร้อนใจ ก็เจ็บปวดใจนัก อยากจะเข้าไปพยุงนางขึ้นมา  

 

 

แล้วฮูหยินอู่โหวก็จับมือของเขา ถามด้วยความร้อนใจว่า “ท่านพี่ เกิดเรื่องอันใดขึ้นงั้นหรือ บอกข้ามาสิ” 

 

 

“เจ้าลุกขึ้นก่อนเถิด ข้าจะบอกเจ้าให้” 

 

 

ฮูหยินอู่โหวไม่ลุก บอกว่า “ท่านพี่ ท่านบอกข้ามาก่อน ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่” 

 

 

นายน้อยอู่โหวไม่รู้จะทำอย่างไร เลยบอกเรื่องทุกอย่างกับนางไป 

 

 

สีหน้าของฮูหยินอู่โหวแสดงถึงความไม่เชื่อ แล้วพูดพึมพำว่า “เป็นไปได้อย่างไร เป็นไปได้อย่างไรกัน” 

 

 

“ฮ่องเต้ได้รับรายงานด่วนจากท่านอ๋องฉีมา มีอะไรเป็นไปไม่ได้อีกเล่า วันนี้ข้าได้ขอราชโองการให้เขาเดินทางไปเจียงหนานเพื่อตรวจสอบต้นสายปลายเหตุต่างๆ หากว่าเป็นอย่างที่ท่านอ๋องพูดจริงๆ ว่าตระกูลฮั่วของเจ้าสถาปนาตนเป็นฮ่องเต้แห่งเจียงหนานแล้วล่ะก็ ไม่ว่าใครหน้าไหนคงช่วยเขาไม่ได้ ตอนนี้ข้ามีตัวเลือกให้เจ้าสองทาง ข้อแรกอยู่ที่จวนอู่โหวแห่งนี้ คิดเสียว่าไม่มีบ้านของเจ้าแล้ว ต่อไปห้ามพูดเรื่องนี้อีก อย่างที่สองข้าจะให้ใบหย่ากับเจ้า แล้วเจ้ากลับไปเจียงหนาน ไปร่วมชะตากรรมกับครอบครัวของเจ้า” 

 

 

ฮูหยินอู่โหวส่ายหน้า น้ำตาไหลริน “ท่านพ่อ ตอนข้ามีชีวิต ก็เป็นคนของจวนอู่โหว ตายก็เป็นผีของจวนอู่โหว จะกลับบ้านไปได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ” 

 

 

“ดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็กลับเรือนของเจ้าไปเสีย ถ้าไม่มีคำสั่งจากข้า ห้ามออกมาเด็ดขาด” 

 

 

“ท่านพ่อ!” นายน้อยอู่โหวพูดออกมาด้วยความไม่พอใจ แต่พอจะต่อต้าน ก็โดนนายท่านอู่โหวตะคอกใส่ “หุบปาก!”  

 

 

ปากที่อ้าอยู่ของนายน้อยอู่โหวก็ปิดลง ไม่กล้าพูดออกมา  

 

 

ฮูหยินอู่โหวลุกขึ้น ปาดน้ำตาแล้วเดินสะอื้นออกไป 

 

 

นายน้อยอู่โหวอยากตามออกไป แต่โดนนายท่านอู่โหวห้ามเอาไว้ “หยุดเดี๋ยวนี้!”  

 

 

นายน้อยอู่โหวหันกลับมาบอกว่า “ท่านพ่อ ลูกจะกลับไปเก็บของ”  

 

 

“ไม่ต้อง ข้าสั่งให้คนเตรียมไว้ให้เจ้าแล้ว ตอนนี้เจ้าก็เริ่มออกเดินทางได้แล้ว” 

 

 

พูดจบ ก็สั่งพ่อบ้าน ให้ไปที่ห้องบัญชีเอาเงินมา สั่งให้คนไปที่เรือนของเขา ให้สาวใช้ช่วยเก็บเสื้อผ้าที่เขาใส่เป็นประจำ แล้วส่งเขาออกจากจวนไปด้วยตนเอง ขึ้นบนหลังม้า หวดแซ่แล้วออกเดินทาง เขาถึงได้ถอนหายใจออกมา เงยหน้า แล้วมองประตูจวนอู่โหว ที่ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงประทานเกียรติยศและบรรดาศักดิ์ให้กับเขาด้วยตนเอง ในใจก็รู้สึกกระวนกระวายบอกไม่ถูก  

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งชิงขี่ม้าเร็ว นำองครักษ์ลับออกจากเมืองหลวงมา ทำให้เกิดความตระหนกกันไปทั้งเมือง ทุกคนต่างคาดเดากันไปต่างๆ นาๆ ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ 

 

 

ขบวนผู้แทนพระองค์ก็ตามหลังมาติดๆ ออกจากเมืองมาอย่างอลม่าน เช่นนี้จึงยิ่งทำให้คนมั่นใจได้ว่าจะต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่ๆ 

 

 

เมิ่งชิงไม่มีเวลากลับจวนเลย ได้แต่เขียนจดหมายไปหนึ่งฉบับ บอกกับทางครอบครัวอย่างรีบร้อน ว่าเขาติดตามเมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนไปเจียงหนาน ส่วนเรื่องอะไรนั้น ไม่กล้าบอก คนที่จวนจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง แล้วเอาจดหมายส่งให้หวงฝู่อี้ ให้เขาเอาไปส่งให้ที่เรือนนอกเมือง 

 

 

หวงฝู่อวี้ก็ได้ยินความเคลื่อนไหวเช่นเดียวกัน จึงรีบกลับจวนมาทันที เจียงจิ่นเอาคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยวบอกกับเขา แล้วหวงฝู่อวี้ก็นั่งลง พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ไปกันหมดแล้ว แสดงว่าเกิดเรื่องขึ้นกับพวกเสด็จพ่อจริงๆ น่ะสิ อีกทั้งยังเป็นเรื่องใหญ่เสียด้วย แต่ว่า ให้ตายยังไงเขาก็คิดไม่ถึงว่าเรื่องนี้ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องใหญ่เท่านั้น แถมเป็นเรื่องความเป็นความตายอีกด้วย พวกเขาเกือบจะไม่มีชีวิตรอดอยู่แล้ว 

 

 

  

 

 

ณ เจียงหนาน  

 

 

หลังจากจูจือหมิงตัดสินใจได้แล้ว มั่นใจแล้ว ก็กินข้าวปกติ ใส่ชุดราชการ ไปที่ที่ว่าการเจ้าเมืองก่อน พอเห็นว่าไม่มีเรื่องรีบร้อนอะไรที่จะต้องจัดการ จึงนั่งเกี้ยวของตนไปที่จวนฮั่ว 

 

 

วันที่สี่แล้ว ฮั่วเจี่ยคิดไว้แล้วว่าจูจือหมิงต้องมา เขานั่งรอที่ห้องรับแขกตั้งแต่เช้าแล้ว  

 

 

พ่อบ้านเข้ามารายงานว่าท่านเจ้าเมืองมา ฮั่วเจี่ยจึงยิ้มออกมาอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม แล้วสั่งให้พาเขาเข้ามา  

 

 

พอจูจือหมิงเข้าห้องรับแขกมา ฮั่วเจี่ยก็ยืนขึ้นต้อนรับทันที “ท่านเจ้าเมือง” 

 

 

“นายท่านฮั่ว” จูจือหมิงยิ้มรับทักทาย 

 

 

“ดูเหมือนว่าท่านเจ้าเมืองจะตัดสินใจได้แล้วสินะ” ฮั่วเจี่ยไม่รอช้า ถามไปตรงๆ  

 

 

จูจือหมิงพยักหน้า “นายท่านฮั่ว เพียงแค่ท่านทำในส่วนของท่าน ข้าจะไม่ก้าวก่าย แต่ว่า ข้าจะไม่ส่งคนไปช่วยท่านเด็ดขาด” 

 

 

ฮั่วเจี่ยหัวเราะออกมา “พวกเราตกลงกันไว้แล้วนี่ ท่านเจ้าเมืองวางใจเถิด” 

 

 

“ถ้าเช่นนี้ ข้าขอตัวก่อน ที่ว่าการเจ้าเมืองมีเรื่องให้ต้องจัดการน่ะ” 

 

 

“รอเดี๋ยวก่อน” ฮั่วเจี่ยหยิบตั๋วเงินออกมาทั้งหมดหนึ่งแสนตำลึง มอบให้กับเขา “เงินพวกนี้ ท่านเจ้าเมืองรับไว้เถิด” 

 

 

จูจือหมิงไม่ได้บ่ายเบี่ยง รับไว้ แล้วเดินออกจากห้องรับแขกไป 

 

 

ฮั่วเจี่ยเห็นเขาเดินออกไป ก็แสยะยิ้มออกมา  

 

 

สามวันมาแล้ว คดีความยังไม่มีความคืบหน้า ท่านอ๋องฉีเลยเรียกจูจือหมิงเข้ามาถาม  

 

 

จูจือหมิงเตรียมคำตอบเอาไว้แล้ว บอกว่าตระกูลฮั่วอยู่เจียงหนานมานาน ต้นไม้ใหญ่ย่อมหยั่งรากลึก เวลาทำอะไรจึงแนบเนียนไปหมด เขาสืบมาสามวัน เพิ่งจะได้แค่เบาะแสเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ขอท่านอ๋องฉีได้โปรดให้เวลากับเขาเสียหน่อย เขาจะเปิดโปงความจริงให้ได้ น้ำลดตอผุด พอถึงเวลานั้นค่อยขุดรากถอนโคนตระกูลฮั่วให้สิ้นซาก  

 

 

ท่านอ๋องฉีเชื่อเขา จึงปล่อยเขากลับที่ว่าการเจ้าเมืองไป 

 

 

ฮั่วเจี่ยเรียกฮั่วต้าเข้ามา ถามว่าเตรียมการไปถึงไหนแล้ว 

 

 

ฮั่วต้ารายงาน “นายท่านโปรดวางใจ ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว รอเวลากลางดึกเท่านั้น พวกเราก็จะจัดการทันทีขอรับ” 

 

 

ยามดึก พ้นยามจื่อ[1]ไปแล้ว ทุกบ้านปิดประตูกันหมด ชาวบ้านต่างนอนหลับ ส่วนพวกท่านอ๋องฉีกับพวกเซี่ยเฟิงก็ไม่ต่างกัน นอนหลับกันหมด  

 

 

แล้วก็มีชายเสื้อดำสิบกว่านายมายืนอยู่หน้าตรงเตี๊ยม 

 

 

ฮั่วต้าใส่เสื้อดำ ปิดหน้า แล้วทำมือบอกกับลูกน้องของเขา  

 

 

คนเสื้อดำเหล่านั้นก็พยักหน้า รีบแยกย้ายไปล้อมโรงเตี๊ยมเอาไว้ทั้งหมด 

 

 

ประตูโรงเตี๊ยมโดนขัดเอาไว้ คนเสื้อดำพวกนั้นจึงอ้อมไปที่ด้านหลัง เข้าไปในห้องที่เสี่ยวเอ้อร์นอนอยู่ ใช้มีดแทงจนเสี่ยวเอ้อร์คนนั้นตายอย่างไม่รู้ตัว  

 

 

คนเสื้อดำพยักหน้าให้กับพวกของตน แล้วรีบถอยออกไป เข้าทางประตูหลังไปยังห้องหลัก เอาที่ขัดประตูออก แล้วเปิดประตูโรงเตี๊ยมออกอย่างไม่มีเสียงเลยสักแอะ 

 

 

ฮั่วต้าเดินเข้าไป เท้าเบายิ่งกว่าแมวเสียอีก กวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วพยักหน้าให้กับลูกน้อง 

 

 

คนเสื้อดำสิบกว่าคนก็หยิบของรูปทรงกระบอกออกมาเปิดฝาออก มีกลิ่นแปลกๆ ออกมาจากในนั้น 

 

 

โยนของรูปทรงกระบอกนั้นในทุกๆ มุมของโรงเตี๊ยม แล้วรีบออกมา ปิดประตูโรงเตี๊ยมทันที  

 

 

ส่วนฮั่วต้ายืนเอามือทั้งสองข้างไขว้หลัง พอคิดว่าได้ที่แล้วก็โบกมือ 

 

 

คนเสื้อดำเอาเชื้อไฟที่เตรียมมา เปิดประตูออก แล้วโยนเข้าไปด้านใน เสร็จแล้วก็ปิดประตูโรงเตี๊ยมจากด้านนอก 

 

 

แล้วฮั่วต้าก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “เฝ้าทุกมุมของโรงเตี๊ยมไว้ให้ดี ไม่ว่าใครออกมา ฆ่าทิ้งให้หมด!” 

 

 

 

 

 

[1] ยามจื่อ หมายถึงช่วงเวลาห้าทุ่มถึงตีหนึ่ง