วันนั้นที่ท่าป๋าหั่นหลินทำไม่สำเร็จ พอกลับมาโรงเตี๊ยม จึงโมโหขึ้นมาทันที สั่งให้คนไปสืบมาว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เขาไม่เชื่อว่าตนจะดวงซวยอะไรขนาดนั้น ที่พอจะเข้าใกล้หวงฝู่เย่าเย่ว์ได้หน่อยก็พลาดครั้งแล้วครั้งเล่า
บ่าวรับใช้ของเขาไม่เคยเห็นเขาโกรธขนาดนี้มาก่อน เลยตกใจจนตัวสั่น รีบออกไปสืบทันที พอได้ความ ก็รีบกลับมารายงานว่า “เจ้านาย บ่าวได้ไปสืบมาแล้ว เป็นเพราะตระกูลฮั่วของที่นี่มีความแค้นกับท่านอ๋องฉี เลยอยากใช้โอกาสนี้จัดการกับพวกเขา เลยสั่งให้คนไปทำลายสะพานขอรับ”
ท่าป๋าหั่นหลินฟังจบ ก็แสยะยิ้มเยาะเย้ยออกมา ฮ่องเต้แห่งรัฐอู่ ไหนว่าดูแลเข้มงวด บ้านเมืองสงบสุขกันถ้วนหน้า ไม่ว่าจะเวลาไหนก็ปลอดภัย แล้วเป็นอย่างไรล่ะ ดันเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ถ้าหากไม่ติดเรื่องฐานะล่ะก็ อยากจะรู้จริงๆ ว่าพอหวงฝู่ซวิ่นได้รับรายงานแล้ว จะอับอายแค่ไหน
ในขณะเดียวกัน ความโกรธแค้นภายในใจก็เริ่มปะทุออกมา
ท่าป๋าหั่นหลินวางงานราชการของรัฐตัวเองลง ตามมาก็หลายเดือนแล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีโอกาส จริงๆ ควรทำสำเร็จตั้งนานแล้ว แต่กลับโดนตระกูลฮั่วชิงตัดหน้าไปเสียก่อน จนทำให้ต้องพลาดโอกาสทองตรงนี้ แล้วก็ไม่รู้ว่าครั้งต่อไปมันเมื่อใดจึงจะมีโอกาสดีๆ เช่นนี้อีก คิดได้ดังนั้น จึงโกรธเป็นอย่างมาก กดเสียงต่ำถามว่า “สืบมาแน่ชัดหรือยังว่าตระกูลฮั่วมีความแค้นอะไรกับพวกเขา”
มีหรือบ่าวของเขาจะพลาด เลยรายงานเพิ่มเติมไป
ท่าป๋าหั่นหลินฟังจบ จึงโกรธแล้วออกคำสั่งว่า “จับตาดูตระกูลฮั่วให้ดี แล้วหาวิธีเอาตัวคุณหนูอู่โหวมาให้ได้ ข้าอยากจะถามเรื่องราวทั้งหมดให้กระจ่างเอง”
แล้วบ่าวก็รับคำสั่งออกไปทันที ไปจับตาดูตระกูลฮั่ว แล้วหาโอกาสลงมือ
คืนนี้ ฮั่วต้าพาคนจำนวนหนึ่งออกมา ก็โดนจับได้เช่นเดียวกัน พอบ่าวเห็นเช่นนั้นก็มองหน้ากัน แล้วมีคนหนึ่ง รีบวิ่งกลับมาที่โรงเตี๊ยมรายงานท่าป๋าหั่นหลินทันที
พอของทรงกระบอกนั่นถูกโยนเข้าไป หวงฝู่สือเมิ่งจึงได้กลิ่นแปลกๆ นางเลยตื่นทันที ลืมตาลุกขึ้นนั่ง แล้วเขย่าตัวหวงฝู่เย่าเย่ว์ “เย่ว์เอ๋อร์ ตื่นเร็ว มีกลิ่นอะไรแปลกๆ น่ะ”
แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่นางก็สูดควันยาสลบเข้าไปบ้างแล้ว เลยมีอาการมึนงง หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็สูดเข้าไปด้วยเช่นกัน เลยตอบรับอย่างงงๆ อยากลุกขึ้นมา แต่เปลือกตาหนักเสียเหลือเกิน จะลืมตายังไงก็ลืมไม่ขึ้น
หวงฝู่สือเมิ่งเอามือมาปิดจมูก แล้วลุกออกจากเตียง เดินมาที่กระเป๋า เปิดออก แล้วหยิบขวดสีขาวออกมา เทยาใส่มือแล้วเอาเข้าปากไป เสร็จแล้วก็ฟุบลงกับที่ สูดหายใจเข้าออก พอยาเริ่มออกฤทธิ์ สมองก็เริ่มปลอดโปร่ง ร่างกายเริ่มมีแรง จึงลุกขึ้นจากพื้น เดินไปที่เตียง แล้วรีบเทยาออกมาป้อนเข้าปากหวงฝู่เย่าเย่ว์ “เย่ว์เอ๋อร์ กลืนเข้าไปสิ!”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ยังคงรู้สึกตัวอยู่ พอได้ยินคำพูดนาง ก็กลืนลงไป
หวงฝู่สือเมิ่งร้อนใจ พอเห็นนางกลืนลงไปแล้ว จึงรีบเดินออกไป เปิดประตูห้อง เห็นโรงเตี๊ยมเต็มไปด้วยควันยาสลบ เลยพูดในใจว่าแย่แล้ว เสร็จจึงหันกลับไปเห็นหวงฝู่เย่าเย่ว์ตื่น เลยบอกว่า “เย่ว์เอ๋อร์ ลุกขึ้น พวกเราต้องไปห้องท่านปู่กับท่านย่า”
พูดจบ ก็วิ่งไปที่ห้องข้างๆ ก่อนใช้ร่างกายพังประตูเข้าไปอย่างไม่คิด
หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็เดินตามมาอย่างช้าๆ
เห็นท่านอ๋องฉีกับพระชายาฉีนอนนิ่งอยู่บนเตียง หวงฝู่สือเมิ่งชนประตูเสียงดังขนาดนั้น ยังทำให้พวกเขาตื่นไม่ได้ ก็แสดงว่าสูดยาสลบเข้าไปแล้วนั่นเอง
หวงฝู่สือเมิ่งเทยาออกมาสองเม็ด แล้วป้อนให้กับทั้งสองคน หวงฝู่เย่าเย่ว์เข้าไปพยุงพระชายาฉี แล้วออกแรงลูบหลังของนาง ให้นางกลืนยาลงไป เสร็จแล้วก็ทำเช่นเดียวกับอ๋องฉี
พอกินยาลงไป ท่านอ๋องฉีกับพระชายาจึงค่อยๆ ตื่นขึ้น พอเห็นว่าตรงหน้าเป็นหวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์ ท่านอ๋องฉีจึงเอ่ยปากถามด้วยเสียงแหบแห้งว่า “เกิดเรื่องอันใดขึ้น”
“มีคนวางควันยาสลบในโรงเตี๊ยมเจ้าค่ะ ท่านปู่กับท่านย่าเลยสลบไป” หวงฝู่สือเมิ่งตอบ
ท่านอ๋องฉีเพิ่งตื่น ร่างกายเลยมีอาการเมื่อยล้า แต่สายตากลับมีความน่ากลัว และรอบๆ ก็เปล่งรังสีอำมหิตออกมา พูดว่า “ไอ้พวกสารเลว บังอาจมาใช้วิธีต่ำๆ เช่นนี้”
“ท่านปู่ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาโกรธเจ้าค่ะ ตอนนี้ไม่ได้มีความเคลื่อนไหวใดๆ ก็แสดงว่าพวกองครักษ์ลับก็น่าจะสลบเช่นกัน ขวดนี้เป็นยาแก้พิษ พวกเราจะเอาไปให้พวกเขาเจ้าค่ะ”
ในเมื่อปล่อยควันพิษเข้ามาก่อน แต่ไม่ได้เข้ามาลงมือฆ่าโดยตรงเช่นนี้ ก็แสดงว่ายังมีศัตรูวนเวียนอยู่ ท่านอ๋องฉีเลยลงจากเตียง ใส่เสื้อคลุมแล้วสั่งว่า “เย่ว์เอ๋อร์ เจ้าอยู่กับท่านย่าไป ปู่กับเมิ่งเอ๋อร์จะลงไปข้างล่าง”
หวงฝู่เย่าเย่ว์พยักหน้า
ท่านอ๋องฉีกับหวงฝู่สือเมิ่งรีบลงมาอย่างรวดเร็ว และใช่แล้ว พวกองครักษ์ต่างสลบกันหมด
หวงฝู่เย่าเย่ว์เอายาป้อนใส่ปากของพวกเขาทีละคน ส่วนท่านอ๋องก็ช่วยให้พวกเขากลืนลงไป เซี่ยเฟิงลืมตาขึ้นด้วยอาการสะลึมสะลือ
มีคบเพลิงโยนเข้ามา โรงเตี๊ยมทั้งหลังมีแต่เสียงไฟไหม้
พอได้ยินว่าเกิดอะไรขึ้น เซี่ยเฟิงจึงตื่น แล้วลุกขึ้นด้วยความตระหนก “ท่านอ๋อง!” เขาได้รับคำสั่งคุ้มกันพวกท่านอ๋องฉี แต่ตอนนี้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น หากเกิดอะไรขึ้นกับเจ้านายล่ะก็ ต่อให้เขาตายหมื่นรอบก็มิอาจชดใช้ได้
“อย่าตระหนก!” ท่านอ๋องฉีตอบกลับไปด้วยความใจเย็น แล้วโบกมือให้กับพวกเขา ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงดุดัน “สถานการณ์ตอนนี้ แสดงว่าข้างนอกจะต้องมีคนอยู่อีกแน่ๆ พวกเราจะนิ่งเฉยไม่ได้ ออกคำสั่งให้ทุกคนปิดปากปิดจมูกให้ดี แล้วออกทางด้านหลัง ส่วนที่เหลือจะจัดการอย่างไรค่อยว่ากัน”
พูดจบ ก็เดินออกจากห้องขององครักษ์ลับ แล้วอาศัยโอกาสตอนไฟยังไม่ลุกมาก ฝ่าขึ้นไปด้านบน
หวงฝู่สือเมิ่งวิ่งตามอยู่ด้านหลัง ฝ่ากลับมาที่ห้องของตน เก็บของใส่กระเป๋าขึ้นมาสะพายเรียบร้อย แล้วมารวมตัวกับท่านอ๋องฉี
พระชายาฉีก็หยิบของที่จำเป็น แล้วเดินออกมา
ทั้งสี่คนรีบลงมาชั้นล่าง
ไฟเริ่มลามไปทั่วโรงเตี๊ยม ควันไฟทำให้ทุกคนหายใจกันแทบไม่ได้
เซี่ยเฟิงยืนรออยู่ตรงหน้าบันไดด้วยสีหน้าร้อนรน ปัดไฟที่อยู่รอบๆ ออก พอให้ทุกคนลงมาได้
ส่วนพวกองครักษ์ลับที่เหลือก็ยืนปิดจมูกรออยู่อีกทาง
พอทุกคนลงมา องครักษ์ลับล้อมพวกเขาฝ่าออกไปทางด้านหลัง พอเปิดประตูระหว่างห้องโถงกับด้านหลังออก
ก็มีธนูพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วและแรง
องครักษ์ลับตกใจ พยายามหลบ แต่มิวายโดนยิงเข้าที่ไหล่ ร่างกายเลยทรุดลง พอก้าวออกมา ก็มีธนูยิงเข้ามาที่เขาอีก
ส่วนองครักษ์ลับที่อยู่ด้านหลัง ก็ก้มลงกลิ้งกับพื้น หลบลูกธนู
ทั้งสองคนไม่กล้าหยุดนิ่ง กลิ้งไปกลิ้งมาจนมาถึงประตู
องครักษ์ลับที่อยู่ด้านหลังล่าถอย เปิดทางให้พวกเขาเล็กน้อย แล้วทั้งสองคนก็กลิ้งเข้าประตูไป ถึงรอดมาได้
ไม่รู้ว่าศัตรูด้านนอกมีอยู่กี่คน องครักษ์ลับจึงไม่กล้าพุ่งเข้าไป ออกทางด้านหลังไม่ได้ ไฟในห้องโถงลามขึ้นเรื่อยๆ ในโรงเตี๊ยมมีแต่ควันไฟโขมง แถมยังมีกลิ่นไหม้ หากว่าไม่รีบออกไปล่ะก็ พวกเขาคงได้ตายคากองไฟแน่
ท่านอ๋องฉีจึงออกคำสั่ง “เซี่ยเฟิง พาทุกคนหาทางเปิดประตูให้ได้ แล้วออกทางด้านหน้า”
ทางประตูหลังเต็มไปด้วยพลธนู แสดงว่าประตูหน้าก็คงมีไม่น้อย แต่ก็มีแค่ทางเดียวเท่านั้น ต้องลองเสี่ยงดูเผื่อมีทางรอด
แล้วเซี่ยเฟิงก็พาคนไปพังประตู ออกแรงมหาศาลจนประตูสั่นคล้ายจะพังลง
ฮั่วต้ายืนอยู่ด้านหน้า พอเห็นประตูไม้สั่น และฟังเสียงองครักษ์ลับใช้แรงพังประตู ก็แสยะยิ้มออกมา ก็ดี มีชีวิตรอดออกมาก็ดี ข้าก็อยากจะรู้นักว่ามันคือใครกัน หลายปีที่อยู่เจียงหนานมา เขาทำเรื่องสีเทาให้กับท่านฮั่วมามากมาย ยังไม่เคยได้เจอคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งเช่นนี้เลย เขาจึงดีใจขึ้นมา และมองด้วยสายตาอำมหิต
ชนอยู่ห้าหกรอบ ประตูก็ล้มลง แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมา ทำให้เซี่ยเฟิงเห็นด้านนอกว่าเป็นกลุ่มคนสวมใส่เสื้อสีดำสนิท จึงตั้งสติ และสูดหายใจเข้าลึกๆ กระโจนออกไปอย่างรวดเร็ว และเหล่าองครักษ์ลับก็ตามเข้าไป ส่วนพวกท่านอ๋องฉีอยู่ตรงกลางที่พวกเขาล้อมเอาไว้
ไม่รู้ว่าฮั่วต้าสะเพร่าหรือว่าจงใจ ด้านหลังมีแต่พลธนูเต็มไปหมด ออกไปคนหนึ่งก็ฆ่าคนหนึ่ง แต่ด้านหน้ามีแค่คนเสื้อดำยืนเฝ้าอยู่เท่านั้น เซี่ยเฟิงพุ่งออกไป ก็มีคนเสื้อดำพุ่งเข้ามาหาเขาทันที แต่ละคนแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ลงมือเน้นแต่จุดที่เอาชีวิตได้ทั้งนั้น แสดงว่าอยากจบศึกภายในไม่กี่กระบวนท่า
ส่วนเซี่ยเฟิงโดนโจวอันเลือกให้มาคุ้มกันท่านอ๋องฉี แสดงว่าฝีมือต้องเป็นอันดับต้นๆ จะไปยอมให้พวกมันล้มง่ายๆ ได้อย่างไร จึงรีบควักมีดพกออกมา แล้วโต้กลับ
องครักษ์ลับที่อยู่ด้านหลังก็เช่นกัน วินาทีความเป็นความตาย ทุกคนเลยพุ่งเข้าไป เพราะนี่เป็นทางรอดเดียว
ฮั่วต้าไม่มองการต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้าเลยด้วยซ้ำ แต่กลับยืนนิ่ง หรี่ตามองไปที่ท่านอ๋องฉีที่พวกองครักษ์ลับกำลังล้อมพากันออกมา เห็นท่าทางของเขานิ่ง ดูสง่า แม้จะอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ก็ไม่มีความเกรงกลัว เขายังแอบชื่นชมท่านอ๋องฉีผู้ที่บุกป่าฝ่าดงเข้าไปช่วยฮ่องเต้องค์ก่อนกับเหล่าไทเฮาออกมาตัวเขาคนเดียว จนทำให้ตระกูลหวงฝู่ได้ครองแผ่นดินมาจนถึงทุกวันนี้ ณ เวลาความเป็นความตายเช่นนี้ ยังนิ่งได้ลงก็คงไม่แปลก แต่เสียดาย ที่วันนี้เขาต้องมาตายในน้ำมือของตน
ไม่พูดอะไรทั้งนั้น โบกมือให้เหล่าเสื้อดำกรูเข้าไป เพื่อบีบให้พวกเขากลับเข้าไปในโรงเตี๊ยม
มีหรือองครักษ์ลับจะให้พวกเขาสมหวัง งัดกระบวนท่าออกมาฆ่าพวกมันไม่ยั้ง มีดพกที่อยู่ในมือต่างทะลวงเข้าไปในจุดตายของพวกคนเสื้อดำทั้งนั้น
คนเสื้อดำตกใจ จึงรีบถอยกลับไป ทำให้ที่หน้าประตูมีพื้นที่ว่าง แล้วองครักษ์ลับที่คุ้มกันพวกท่านอ๋องฉีก็ออกมาจากโรงเตี๊ยมได้
ไฟลุกโชนรุนแรง จนโรงเตี๊ยมมอดไหม้ ไม่รู้จะถล่มลงมาเมื่อไร
องครักษ์ลับที่ล้อมพวกท่านอ๋องฉีออกมาก็ยืนอยู่หน้าประตู
โรงเตี๊ยมจะถล่มลงมาเมื่อใดไม่มีใครรู้ ฮั่วต้าเข้าใจ และองครักษ์ลับก็เข้าใจ พอมีช่องโหว่ ก็ไม่กล้าหยุด รีบสู้กันต่อไป เพื่อไม่ให้เจ้านายเสียพื้นที่ว่างตรงด้านหน้านั้นไป