เหล่าองครักษ์ลับทุ่มสุดตัว เพราะคนเสื้อดำมีมาก และแต่ละคนยังมีวิชาการต่อสู้ที่แข็งแกร่งอีกด้วย การที่พวกเขาจะได้แต้มต่อนั้นยากนัก
ไฟที่ลุกโชนกำลังมอดไหมอยู่ด้านหลังของท่านอ๋องฉี ควันโขมงและกลิ่นควันไฟคลุ้งทำให้เขารู้ว่า หากเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกท่านอ๋องฉีสี่คนและเหล่าองครักษ์ทั้งหลายต้องตายที่นี่แน่ๆ จึงออกคำสั่งว่า “ไม่ต้องสนใจพวกเรา ฆ่าพวกมันแล้วเปิดทางให้ได้”
ความหมายก็คือ ให้องครักษ์ลับที่ล้อมรอบอยู่เข้าไปร่วมสู้ด้วย
พอได้รับคำสั่ง องครักษ์ลับทุกคนจึงตอบรับพร้อมๆ กัน แล้วออกมาต่อสู้กับพวกคนเสื้อดำ
แล้วทิ้งให้พวกท่านอ๋องฉียืนอยู่หน้าประตู
ดูเหมือนว่าสถานการณ์กำลังจะพลิก ทำให้พวกคนเสื้อดำถอยออกไปได้
ท่านอ๋องฉีกับพระชายาดึงตัวหวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์มาไว้ตรงกลาง แล้วเดินออกมาข้างหน้าเล็กน้อย ให้ห่างจากประตูโรงเตี๊ยม
ฮั่วต้ามองเห็นพวกอ๋องฉียังอยู่ในรัศมีของโรงเตี๊ยมที่กำลังจะถล่มลงมา ก็ไม่ได้พูดอะไร แล้วก็ไม่ได้ลงมือด้วย ได้แต่ยืนมองพวกเขาเท่านั้น
ไฟลุกท่วมโรงเตี๊ยมไปเรียบร้อยแล้ว และมั่นใจได้ว่าจะไม่มีใครออกมาอีกแน่นอน ส่วนพวกคนเสื้อดำที่แยกย้ายกันไปล้อมโรงเตี๊ยมก็เข้ามาร่วมต่อสู้ด้วยเช่นกัน
เหล่าองครักษ์ลับจึงกดดันหนัก เพราะเริ่มเหนื่อยกันแล้ว
ฮั่วต้าเปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงดุดันอย่างยิ่งว่า “ข้าฮั่วต้าทำเรื่องเลวทรามต่ำช้าอยู่ที่เจียงหนานมาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่เจอคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ รู้สึกเสียดายนัก หากพวกเจ้าไม่ขัดขืน ยอมจำนนแต่โดยดี ข้ายังจะให้พวกเจ้ามีศพครบองค์ มิเช่นนั้น พวกเจ้าคงต้องเข้าไปตายในกองไฟด้านหลังนั้นแล้วล่ะ”
คำพูดนี้เขาพูดกับพวกองครักษ์ลับ แต่ไม่มีใครคนไหนสนใจเขาเลย ทุกคนต่างมุ่งหน้าจัดการกับคนเสื้อดำ ฆ่าได้ฆ่า
ท่านอ๋องฉีสังเกตความเคลื่อนไหวโดยรอบมาโดยตลอด เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนมาลอบทำร้าย พอได้ยินฮั่วต้าพูด ก็หันไปมองเขา แล้วบอกว่า “ฮั่วต้า? เป็นคนตระกูลฮั่ว? พวกเจ้าบังอาจนัก กล้าทำเรื่องชั่วช้าเช่นนี้ได้”
อย่าว่าแต่ครอบครัวเขาเลย ในโรงเตี๊ยมแห่งนี้มีอีกเป็นสิบกว่าชีวิต เพื่อจะมาฆ่าเขา ถึงกับต้องพรากชีวิตคนไปมากมายขนาดนี้เชียวหรือ
ฮั่วต้าหัวเราะออกมา จนทำให้หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์ขมวดคิ้ว
“ท่านอ๋องฉี คำพูดเมื่อครู่นี้ รอลงนรกไปพูดกับพญายมเถอะ ไม่แน่ เขาอาจเห็นที่ท่านทำคุณงามความดีไว้กับบ้านเมือง แล้วแต่งตั้งให้ท่านเป็นยมบาลก็ได้นะ”
“ข้าจะไปเจอพญายมหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้า เจ้ามันก็แค่หนูตัวเล็กๆ อยากได้ชีวิตข้างั้นรึ ฝันไปเถอะ!” ท่านอ๋องฉีพูดแซะกลับไปอย่างไม่เกรงกลัวสักนิด
ตระกูลฮั่วเป็นตระกูลเก่าแก่ของเจียงหนาน ไม่ใช่ตระกูลขุนนางอะไร ตามหลักแล้วห้ามมีองครักษ์เงาไว้ในครอบครอง แต่ฮั่วเจี่ยเลวทรามต่ำช้า อยากเป็นฮ่องเต้ของพื้นที่นี้ เพราะฉะนั้นจึงต้องมีองครักษ์เงาเอาไว้ฆ่าคนแบบลับๆ ดังนั้นการมีองครักษ์เงามากมายขนาดนี้ แต่ก็กลัวว่าจะถูกเปิดเผย นอกจากจะสั่งให้พวกเขาทำเรื่องไม่ดีแล้ว ยังกำชับพวกเขาว่าห้ามออกมาให้ใครเห็นเด็ดขาด ดังนั้นแม้ว่าฮั่วต้าจะมีความสามารถสักเพียงได้ ทำเรื่องชั่วช้าให้ตระกูลฮั่วมาแล้วนับไม่ถ้วน ก็ไม่สามารถเปิดเผยตัวตนได้ นี่เป็นสิ่งที่แทงใจดำเขาเสมอมา วันนี้โดนท่านอ๋องฉีพูดเช่นนี้ เขาจึงโกรธ แล้วพุ่งเข้าไปหาท่านอ๋องฉีอย่างรวดเร็ว
ท่านอ๋องฉีปล่อยมือที่จับหวงฝู่สือเมิ่งออก เข้าไปกันทุกคนเอาไว้ แล้วเข้ารับการโจมตีของฮั่วต้า
แต่เขาอายุมากแล้ว ฮั่วต้าฝีมือล้ำเลิศ การที่เข้าไปรับการโจมตีตรงๆ แบบนั้น เลือดลมจึงตีขึ้น จนต้านไม่ไหว ต้องสำลักเลือดออกมาทางปาก
“ท่านอ๋อง!” พระชายาฉีร้องเรียกออกมา แล้วกำลังจะเข้าไปช่วย
“ไม่ต้องสนใจข้า ดูเด็กๆ ให้ดี” ท่านอ๋องฉีออกคำสั่งกับนางเสียงแข็ง
พระชายาฉีที่กำลังเข้าไปช่วยก็หยุด มองท่านอ๋องฉีด้วยหน้าที่ซีดเซียว เม้มปาก มือทั้งสองข้างสั่นรัว
พอฮั่วต้าโจมตีได้ จึงหัวเราะออกมา แล้วพูดเหน็บว่า “ท่านอ๋องที่เขาเล่าลือกันมีฝีมือเท่านี้เองรึ ไม่ตอบโต้กลับ อ่อนอย่างกับปุยนุ่น”
ท่านอ๋องฉีไม่ได้โกรธตามที่เขาพูด เอามือขึ้นมาเช็ดเลือดที่ปากออกช้าๆ แล้วพูดด้วยเสียงที่น่าเกรงขรามว่า “ยุแยงข้าไม่ได้ผลหรอกนะ มีไม้เด็ดอะไรก็เอาออกมาให้หมดเถอะ ข้าจะสู้ให้มันรู้แล้วรู้รอด”
“ดี เช่นนั้นข้าจะไม่เกรงใจแล้ว เดี๋ยวไว้ปีหน้าข้าจะเผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้” พูดจบ ฮั่วต้าปะทุออกมาแล้วพุ่งเข้าไปโจมตีทันที
ท่านอ๋องฉีก็พุ่งเข้าไปสู้กับเขาด้วยเช่นกัน
ไฟไหม้โรงเตี๊ยม แสงไฟส่องสว่างแปลบปลาบไปทั่วท้องฟ้า ชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงจึงตื่นขึ้น รีบลุกขึ้นมาดูกัน ขนาดเสื้อยังไม่ใส่ให้เรียบร้อย รีบวิ่งออกมาเปิดประตูดูว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แต่แล้ว พอเดินก้าวเท้าออกมาจากธรณีประตูเท่านั้น ก็มีเสียงคนพูดขึ้นว่า “ถ้าไม่อยากตาย ก็กลับไปนอนซะ แล้วทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ไม่มีอะไรเกิดขึ้น!”
เดือนห้าของเจียงหนาน ต่อให้จะดึกสักแค่ไหน อากาศก็ยังคงร้อนอบอ้าว แต่พอได้ยินเสียงนั้นเข้าหู ทุกคนก็ขนลุกซู่ เดินกลับเข้าไปโดยทันที ปิดประตูมิดชิด แล้วกลับเข้าไปนอนด้วยความตื่นกลัว
ส่วนพวกที่ใจกล้า ไม่ยอมฟัง ลองก้าวเท้าออกมาหนึ่งก้าว ก็โดนฟันจนหัวกับตัวขาดออกจากกัน โดยไม่มีเสียงร้องสักแอะ
ที่ว่าการเจ้าเมืองอยู่ห่างจากโรงเตี๊ยม จูจือหมิงยังไม่รู้เรื่อง กำลังนอนกอดเงินหนึ่งแสนตำลึงนั้นหลับฝันหวานอยู่ที่ห้องที่มีน้ำแข็งเป่าเย็นสบาย กำลังฝันว่าตนได้เลื่อนตำแหน่ง โดนเรียกเข้าเมืองหลวงไปเป็นเสนาบดีกรมคลัง
และแล้วก็มีเสียงกลองมาทำให้เขาตื่นจากฝันหวาน จนต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาถามเสียงแข็งว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
มีบ่าวรับใช้อยู่เวรที่อยู่ด้านนอกประตูตอบรับ “นายท่าน มีเสียงกลองร้องทุกข์ดังขึ้นขอรับ”
“รีบไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นเร็วเข้า!” ดึกดื่นขนาดนี้ เสียงกลองดังขึ้น จะต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่ๆ จูจือหมิงจึงเอาเงินไปเก็บไว้ให้ดี ลงจากเตียง ใส่เสื้อคลุม แล้วเดินออกมา เห็นท้องฟ้าอีกฟากหนึ่งเป็นสีแดง จึงถามขึ้นว่า “ตรงนั้นคือที่ใด”
บ่าวรับใช้เห็นตั้งนานแล้ว ยังรวมหัวกันคุยเรื่องนี้อยู่เลย แต่ที่ใดนั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน
แล้วก็มีทหารนายหนึ่งเข้ามารายงานว่า “นายท่าน แย่แล้วขอรับ โรงเตี๊ยมซิงหลงไฟไหม้ขอรับ”
จูจือหมิงนึกว่าตนฟังผิด เลยถามย้ำไปอีกครั้งว่า “โรงเตี๊ยมไหนนะ”
“โรงเตี๊ยมซิงหลงขอรับ!” ทหารนายนั้นตะโกนตอบ แล้วบอกอีกว่า “โรงเตี๊ยมที่ท่านอ๋องฉีพักอยู่น่ะขอรับ”
ในหัวจูจือหมิงมีเสียงดัง ตึ่ง ระเบิดออกมา ระเบิดจนแทบทรุด เซแล้วนั่งลงไปกับพื้น
“นายท่าน!” สาวใช้ และบ่าวรับใช้ทุกคนตกใจจะเข้ามาช่วยพยุงเขาขึ้น
จูจือหมิงหมดแรง ขนาดแรงจะยืนยังไม่มี ได้แต่นั่งพิงบ่าวคนหนึ่ง เงยหน้ามองไปที่ท้องฟ้าสีแดงตรงนั้น เขาไม่คิดเลยว่า ตระกูลฮั่วจะกล้าขนาดนี้ กล้าเผาโรงเตี๊ยมเลยทีเดียว ในนั้นนอกจากคนของท่านอ๋องฉีแล้ว ยังมีชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องอีกมากมาย หลายปีมานี้ เขาทำหน้าที่ของเขาอย่างระมัดระวัง แม้จะโลภไปบ้าง แต่ก็ไม่เคยทำเรื่องที่พรากชีวิตคนมากมายขนาดนี้มาก่อน หากเป็นเช่นนี้ แล้ว… … ถ้าหากเรื่องนี้ไม่สำเร็จล่ะ ต่อให้เขากระโดดลงแม่น้ำหวงก็ล้างมลทินตรงนี้ไม่ออกแล้ว
ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว เขาเลยรีบออกคำสั่งว่า “เรียกทหารมาให้พร้อม แล้วไปช่วยคนกัน”
ระยะทางจากที่นี่ถึงโรงเตี๊ยม แม้จะไปถึง โรงเตี๊ยมก็กลายเป็นเถ้าถ่านไปเสียแล้ว แต่ที่สำคัญคือการกระทำของเขาน่ะสิ เขารู้ช้าเกินไป พาคนไปก็สาย ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว มากสุดคือมีโทษฐานดูแลไม่ทั่วถึงเท่านั้น แต่ถ้าไม่ไปเลย เขาจะกลายเป็นขุนนางชั่วที่ไม่สนใจความเป็นตายของชาวบ้าน
เหล่าทหารเห็นท้องฟ้าสีแดงนั้น จึงมารวมตัวกันหน้าที่ว่าการเจ้าเมืองตั้งนานแล้ว จูจือหมิงรวบรวมสติ แล้วเดินออกไป ในขณะที่กำลังจะนำทหารไป ก็มีคนเสื้อดำออกมาจากที่ลับ ขวางทางเขาไว้ “ท่านเจ้าเมือง นายท่านของพวกเราบอกว่าให้ท่านอยู่ที่จวนไป ไม่ต้องเป็นห่วง คิดเสียว่าคืนนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
จูจือหมิงก็ตาถลึง ชี้ไปที่ท้องฟ้าสีแดงนั่น “แต่ว่า แต่… …”
“ท่านใต้เท้าไม่ต้องกังวล นายท่านของพวกเราเตรียมการไว้หมดแล้ว ท่านคิดเสียว่าเรื่องคืนนี้เป็นแค่ความฝัน เดี๋ยววันพรุ่งนี้ เรื่องทุกอย่างก็จะเรียบร้อย”
“แต่มันเป็นฝันร้ายน่ะสิ!” จูจือหมิงทนไม่ไหวอีกต่อไป ตวาดใส่คนนั้น มาถึงตอนนี้ เขาเข้าใจแล้ว ว่าตนได้เหยียบเข้ามาในบ่อน้ำที่ลึกเกินกว่าจะออกเสียไปแล้ว”
แล้วคนเสื้อดำก็พูดเสียงแข็งว่า “ไม่ว่าจะเป็นฝันอะไร ท่านก็ต้องกลับไปฝันมันต่อให้จบ”
“ถ้าข้าไม่กลับ แล้วเจ้าจะ… …” “ยังไง” ยังพูดไม่ทันจบ ก็มีดาบเล่มหนึ่งมาพาดที่คอของเขา “ท่านเจ้าเมือง ท่านคิดให้ดีๆ นะขอรับ ดาบของข้าเล่มนี้คมมากเชียวล่ะ ชอบดื่มเลือดคนเสียด้วยสิ”
“ท่านใต้เท้า!”
เหล่าทหารก็ร้องเรียกออกมา แล้วชักดาบเข้าไปล้อมรอบจูจือหมิงกับคนเสื้อดำเอาไว้
มาถึงตอนนี้ จูจือหมิงเข้าใจแล้ว เจ้าเมืองอย่างตน ในสายตาของฮั่วเจี่ยก็แค่สุนัขรับใช้ตัวหนึ่งเท่านั้น หากวันนี้ตนดึงดันที่จะไป เกรงว่าจะตายในน้ำมือของคนเสื้อดำนี้แน่ จึงหลับตาลงอย่างทรมานใจ แล้วโบกมือบอกกับเหล่าทหารว่า “กลับไปนอนกันให้หมด คิดเสียว่าวันนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
คนเสื้อดำแสยะยิ้มออกมา เก็บดาบที่พาดอยู่บนคอของเขาแล้วพูดว่า “ท่านเจ้าเมืองรู้จักกาลเทศะ ท่านวางใจเถิด นายท่านของเราสัญญากับท่านแล้ว รับรองว่าท่านจะไม่ผิดสัญญากับท่านแน่นอน”
จูจือหมิงได้แต่คอตก ไม่มีอะไรจะพูด หันหลังเดินกลับเข้าจวนไปด้วยความสิ้นหวัง
เหล่าทหารก็มองหน้ากัน แล้วก็มองไปที่ท่านเจ้าเมืองที่เดินคอตกเข้าไปในจวน แล้วก็มองไปที่คนเสื้อดำนั่น ที่กำลังเดินออกไป เสร็จแล้วทุกคนก็แยกย้ายกลับที่ของตน
ส่วนท่าป๋าหั่นหลินที่พักอยู่โรงเตี๊ยมใกล้ๆ เพื่อคอยสอดส่องพวกเขานั้น พอไฟไหม้ คนที่โรงเตี๊ยมแห่งนั้นก็แตกตื่น แล้วลุกขึ้นใส่เสื้อแห่กันออกมาดู
พอบ่าวรับใช้ได้ยิน ก็มองไปทีเปลวไฟที่โชติช่วง เสร็จแล้ววิ่งมาเคาะประตู “เจ้านาย แย่แล้วขอรับ โรงเตี๊ยมซิงหลงไฟไหม้ขอรับ”