เขาเป็นถึงพาหนะขององค์จักรพรรดิฝูซี!
องค์จักรพรรดิฝูซีมีสถานะเช่นไร?
เขาเป็นผู้ปกครองสวรรค์และโลกเมื่อหมื่นปีก่อน แม้ตอนนี้อำนาจของเยี่ยโยวเหยาในอาณาจักรเทียนเหอจะแข็งแกร่งมาก ทว่าเขาเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจเทียบเคียงจักรพรรดิฝูซีได้
ท่านเทพ… ต้องการเป็นพาหนะให้เยี่ยโยวเหยา
ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาต่างตกใจอย่างมากจนพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง
ท่านเทพเห็นเยี่ยโยวเหยาไม่พูดอันใด ดวงตาจึงนิ่งขรึม “โยวอ๋อง ว่าอย่างไร? หรือว่าท่านไม่เต็มใจ? ”
เยี่ยโยวเหยายังไม่ทันเปิดปากพูด ซูจิ่นซีก็ชิงตอบกลับเสียก่อน “เต็มใจ แน่นอนว่าเต็มใจ! ”
สถานการณ์เช่นนี้มีเพียงเต็มใจหรือไม่เต็มใจเท่านั้น เขายังจู้จี้จุกจิกได้อีกหรือ?
ซูจิ่นซีตอบตกลงแล้ว เยี่ยโยวเหยาไม่สามารถปฏิเสธได้
ทว่าซูจิ่นซีค่อนข้างประหลาดใจ “เหตุใด… ท่านถึงเลือกเยี่ยโยวเหยา? ”
ท่านเทพแย้มยิ้มพลางเหลือบมองเยี่ยโยวเหยา “กระบี่เสวียนหยวนของจักรพรรดิฝูซี ใช่ว่าผู้ใดก็สามารถควบคุมได้”
ประโยคนี้… หมายความว่าอย่างไร?
ซูจิ่นซียังต้องการถามหาความจริงต่อ ทว่าท่านเทพกลับกลายร่างเป็นควันสีขาว และหายเข้าไปในกระบี่เสวียนหยวนข้างกายเยี่ยโยวเหยา
เสียงของท่านเทพดังก้องอยู่ภายในห้อง “โยวอ๋อง ต่อจากนี้ข้าคงอยู่ในกระบี่เสวียนหยวนของเจ้า หากต้องการให้ข้ารับใช้ สามารถส่งกระแสจิตเรียกได้ทุกเมื่อ เรื่องฟื้นคืนชีพอวิ๋นเชวี่ย รบกวนโยวอ๋องและพระชายาโยวอ๋องโปรดช่วยด้วยอีกแรง! ”
เป็นไปตามคาด เรื่องดีบางเรื่องไม่ได้มาโดยเปล่าประโยชน์ ช่วยอวิ๋นเชวี่ยฟื้นคืนชีพ… เรื่องเช่นนี้ยากยิ่งกว่ายากเสียอีก
หลังผ่านไปหลายชั่วยาม คุณชายฉู่ก็นำยาสมุนไพรที่ต้มแล้วเข้ามาให้ด้วยตนเอง ซูจิ่นซีจึงเอาให้เยี่ยโยวเหยาและท่านเทพดื่ม
สภาพร่างกายของเยี่ยโยวเหยาและนางยังฟื้นฟูได้ไม่เต็มที่ ไม่มีประโยชน์ที่ซูจิ่นซีจะรีบจากไป นางจึงตัดสินใจสงบจิตใจและพักฟื้นร่างกายอยู่ที่นี่สักระยะหนึ่ง และช่วยคุณชายฉู่ถอนพิษให้เหล่าประชาชนที่ถูกพิษ
เช้าวันรุ่งขึ้น ซูจิ่นซีตามคุณชายฉู่ไปจัดการภารกิจ กว่าจะเสร็จสิ้น เวลาก็ล่วงเลยจนมืดค่ำ
ระหว่างทางกลับไปยังจวนเจ้าหุบเขา ซูจิ่นซีพบว่าที่ตั้งของดินแดนลึกลับเสวียนคงก่อนหน้านี้ ปรากฏแสงส่องประกายระยิบระยับ
แม้แสงนั้นไม่ได้สว่างจ้า และไม่ชัดเจนมากนักเมื่ออยู่ภายใต้แสงจันทร์ ทว่าดูเหมือนแสงพุทธที่นำมาซึ่งความสุขสงบ ซูจิ่นซีเหลือบมองและพูดว่า
“นั่นคือสิ่งใด? ” ซูจิ่นซีถาม
คุณชายฉู่เหลือบมอง “เมื่อวานตอนเย็นมันก็ปรากฏขึ้นมาแล้ว ไม่รู้ว่าคือสิ่งใด เพราะสองวันนี้มีเรื่องค่อนข้างมาก ข้าจึงไม่ได้สนใจ
ทว่า… แสงนี้ไม่ค่อยเห็นตอนกลางวัน จะปรากฏเฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้น”
“ไปดูกันเถิด! ”
ซูจิ่นซีพูดพลางเดินขึ้นไปบนยอดเขา
คุณชายฉู่ต้องการห้ามปรามเพราะเวลานี้มืดค่ำมากแล้ว เขากังวลว่ามืดค่ำเพียงนี้ หากซูจิ่นซีขึ้นไปบนยอดเขาอาจมีอันตราย
อย่างไรก็ตาม เขารู้ดีว่าพระชายาโยวอ๋องผู้นี้ไม่ใช่สตรีธรรมดา หากนางตัดสินใจทำอันใด ย่อมไม่มีผู้ใดเปลี่ยนใจนางได้
เขาจึงไม่ได้ขัดขวางและเดินตามซูจิ่นซีอยู่ข้างหลัง
เนื่องจากร่างกายของซูจิ่นซียังฟื้นตัวได้ไม่ดีนัก จึงไม่ได้ใช้วิชาตัวเบา นางใช้เวลากว่าครึ่งชั่วยามในการเดินทางไปถึงยอดเขา
บนยอดเขา เดิมทีเป็นแท่นบูชาดินแดนลึกลับเสวียนคงซึ่งเป็นดินแดนต้องห้าม ยามปกติไม่มีผู้ใดเข้าใกล้ได้ ทว่าวันนี้ดินแดนลึกลับเสวียนคงถูกทำลายแล้ว ลำแสงของเขตเวทมนตร์รอบด้านจึงดับลง ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นคฤหาสน์หลังหนึ่ง
ซูจิ่นซีและคุณชายฉู่ผลักประตูคฤหาสน์และเดินเข้าไป มองเพียงแวบแรกจึงพบว่าแสงพุทธนั้นส่องมาจากบ่อน้ำ
ทั้งสองเดินไปถึงบ่อน้ำ เมื่อก้มดูก็พบว่าบ่อน้ำลึกมากจนมองไม่เห็นก้นบ่อ
ซูจิ่นซีต้องการลงไปดู ทว่าจู่ๆ แขนของนางก็ถูกแรงดึงรั้งที่คุ้นเคยจับไว้ นางหันศีรษะกลับไปมองพลางขมวดคิ้วแน่น
“เยี่ยโยวเหยา ท่านมาได้อย่างไร? ”
เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่พอใจอย่างมาก “ซูจิ่นซี ผู้ใดอนุญาตให้เจ้าไปที่อื่นโดยไม่ปรึกษา? ”
หากโยวอ๋องทรงกริ้ว ผลที่ตามมาย่อมร้ายแรงอย่างมาก โดยเฉพาะพระชายาที่ต้องถูกทรมานอีกครั้งแน่นอน
ซูจิ่นซีรีบเอาน้ำเย็นเข้าลูบ “เยี่ยโยวเหยา ท่านอย่าน้อยใจเช่นนี้! ข้าเพิ่งพบว่าแสงที่เกิดขึ้นที่นี่มีความแปลกประหลาดอยู่บ้าง จึงไม่ทันได้แจ้งให้ท่านทราบ”
“หากเกิดเรื่อง ผู้ใดจะรับผิดชอบแทนข้า? ”
“อุบ… ”
ซูจิ่นซีแทบกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ โยวอ๋องทรงกริ้วอย่างเห็นได้ชัด เหตุใดคำพูดนี้ถึงฟังดูเหมือนเป็นการตำหนิภรรยาที่ทอดทิ้งให้เขาอยู่เพียงลำพัง?
“ยังไม่เกิดเรื่องเลย! เยี่ยโยวเหยา ในเมื่อมาแล้ว พวกเราก็ลงไปดูข้างล่างด้วยกันเถิด! ”
แม้เยี่ยโยวเหยาไม่ได้พูดอันใดกับซูจิ่นซี ทว่าเขากวาดตามองคุณชายฉู่ด้วยแววตาเย็นยะเยือก
คุณชายฉู่เป็นถึงเจ้าหุบเขาน้อยแห่งหุบเขาหลูเหว่ย มีอุปสรรคอันใดบ้างที่ไม่เคยเห็น? ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกจ้องด้วยแววตากระชากวิญญาณเช่นนี้ ทันใดนั้น แผ่นหลังของเขาก็เย็นวาบจนยืนแข็งทื่ออยู่กับที่
ทว่าเมื่อเขาตั้งสติได้ เยี่ยโยวเหยาก็ตามซูจิ่นซีลงไปที่ก้นบ่อแล้ว ดังนั้นเขาจึงตามลงไปด้วย
ที่ก้นบ่อน้ำแห่งนี้มีพื้นที่อื่นตามคาด
ปกติแล้ว บ่อน้ำจะไม่ลึกมาก ทว่าหลังจากผ่านไปนานพวกเขาก็ลงมาถึงก้นบ่อ ทั้งก้นบ่อยังมีอีกโลกหนึ่ง
ก้นบ่อเป็นสระน้ำเย็น เหนือสระน้ำเย็นมีสะพานรุ้ง ทั้งสามคนเดินไปตามสะพานรุ้งจนถึงสระน้ำเย็นอีกฝั่งซึ่งเป็นประตูเหล็กทมิฬ
ซูจิ่นซีสังเกตประตูบานนี้อย่างละเอียด หลังจากแน่ใจว่าไม่มีพิษจึงก้าวไปข้างหน้า ทว่านางผลักอย่างแรง ประตูกลับไม่ขยับแม้แต่น้อย นางจึงมอบหมายงานนี้ให้เยี่ยโยวเหยาและคุณชายฉู่
ทว่าทั้งสองคนพยายามออกแรงจนสุดความสามารถก็เปิดประตูไม่ได้
สุดท้ายพวกเขาก็ร่วมมือกันสามคน แต่ประตูก็ยังนิ่งไม่ขยับ
อย่างไรเสีย ร่างกายซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยายังฟื้นฟูได้ไม่เต็มที่ พวกเขาจึงไม่กล้าใช้พลังภายใน
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วอย่างหนัก “ดูแล้ว ประตูบานนี้ไม่สามารถเปิดด้วยกำลัง คงต้องใช้ทักษะบางอย่าง”
“ใช้ยาน้ำที่เจ้าใช้ตอนอยู่ที่ดินแดนต้องห้ามสกุลจงเพื่อละลายมันได้หรือไม่? ” เยี่ยโยวเหยาถาม
นี่เป็นประตูเหล็กทมิฬ ในเมื่อสามารถละลายประตูที่ดินแดนต้องห้ามสกุลจงได้ ประตูบานนี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหา
ทว่าซูจิ่นซีกลับส่ายศีรษะ “ยาน้ำแบบนั้นไม่มีแล้ว! ”
ยาน้ำชนิดนั้น ซูจิ่นซีนำมาจากมิติเวลาในอนาคต เดิมทีมันมีในระบบถอนพิษ แต่ส่วนผสมสำหรับทำยาน้ำชนิดนี้ไม่มีเก็บสำรองไว้ เมื่อใช้ไปก็ลดน้อยลง ตอนนี้จึงไม่มีแม้แต่หยดเดียว
ทำอย่างไรดี?
แม้ประตูทมิฬจะไม่ขยับเขยื้อน ทั้งยังปิดบังภาพทั้งหมดที่อยู่ด้านหลังประตูบานนี้ ทว่ายังมองเห็นแสงจากข้างในที่ส่องออกมาจากประตูทมิฬหนาทึบได้ ทั้งสามคนต่างสงสัยว่าหลังประตูบานนี้คือสิ่งใดกันแน่?
ทว่าประตูบานนี้กลับเปิดไม่ออก! พวกเขาจะดูได้อย่างไร?
ขณะที่ทั้งสามคนกำลังครุ่นคิดหนัก กระบี่เสวียนหยวนของเยี่ยโยวเหยาก็เริ่มกระสับกระส่าย เยี่ยโยวเหยาจึงอัญเชิญท่านเทพออกมาจากกระบี่เสวียนหยวน
ซูจิ่นซีเอ่ยถาม “ท่านเทพ ท่านทราบวิธีเปิดประตูบานนี้หรือไม่? ”
ท่านเทพมีสีหน้าเคร่งขรึม “ที่นี่คือบ่อน้ำจันทร์กระจ่าง ประตูบานนี้คือประตูโลหิตทมิฬ มีเพียงคืนที่พระจันทร์เต็มดวง ซึ่งพระจันทร์ทอแสงสว่างที่สุดบนท้องฟ้าจึงจะเปิดออกเอง กำลังภายนอกไม่สามารถเปิดประตูบานนี้ได้ ”
“พระจันทร์เต็มดวง? วันนี้เป็นวันที่สิบห้าพอดี! ” คุณชายฉู่กล่าว
ซูจิ่นซีคำนวณเวลา “สิบห้า ช่วงเวลาที่แสงจันทร์สว่างที่สุดคือยามจื่อ เวลานี้ห่างจากยามจื่อสองชั่วยาม”