GGS:บทที่ 1076 กลับตาลปัต

ในบ้านหรูหลังหนึ่งที่อยู่ใจกลางเขตเมืองของจังหวัดเพื่อนบ้านของจงหยุน ที่นั่นมีสุดยอดนักสู้กว่าสี่สิบคนเดินตรวจตราอยู่ทั่วทั้งบ้าน พวกเขาคอยเฝ้าระวังราวกับพร้อมที่จะฆ่าผู้บุกรุกในทันทีที่พบเจอ บางคนเองได้พกปืนเอาไว้ด้วย
ในห้องๆหนึ่ง หยวนหยินหนิง ฮัวหยุนชู และฟูหงซิ่ว ในตอนนี้ต่างก็อยู่เฉยกันไม่สุข กับหยวนหยินหนิงและฮัวหยุนชูนั้นยังพอทนได้บ้างและนั่งคุยกันเพื่อเตรียมการตอบโต้
แต่กับฟูหงซิ่วนั้น ในตอนนี้เขาได้สูญเสียความเยือกเย็นไปแล้ว และเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นๆที่ไหลจนเปียกโชกร่างกายอยู่ตลอดเวลา
“ฉันไม่รออยู่ที่นี่นะ ฉันจะกลับไปบ้าน” ฟูหงซิ่วอยู่ๆก็ได้ยืนขึ้นและพูดออกมา
“ห้ะ กลับบ้าน บอดี้การ์ดบ้านนายจะไปดีกว่าสุดยอดนักสู้กว่า40คนของฉันรึไงกัน ถ้าซูจิ้งมาก่อปัญหาที่นี่แล้วเราหยุดมันไว้ไม่ได้ล่ะก็ อย่าหวังเลยว่าตระกูลของนายจะหยุดซูจิ้งได้
แล้วถ้ายิ่งนายกลับไปนะ ฉันบอกได้เลยว่าตระกูลของนายต้องเดือดร้อนแน่ๆ” หยวนหยุนหนิงพูดออกมา
“ฉันไม่เชื่อหรอกว่ามันจะกล้ามาหาเรื่องถึงบ้านฉัน” ฟูหงซิ่วพูดออกมาด้วยท่าทางยโสโอหังก่อนที่จะพูดต่อว่า

“ในฐานะที่ฉันเป็นหนึ่งในคุณชายสี่ ไหนจะตระกูลของฉันที่เป็นหนึ่งในห้าสุดยอดตระกูลของประเทศนี้ มันไม่มีทางกล้าทำอะไรฉันอย่างแน่นอน” ที่ฟูหงซิ่วกล้าพูดออกมาอย่างนี้ได้เป็นเพราะเขาถือว่าตระกูลของตัวเองนั้นร่ำรวยและมีฐานะที่สูงส่ง
“เรามาพูดกันตามหลักการและเหตุผลดีกว่าน่า ถ้าสิ่งที่เราคิดไว้ว่าตอนนอนนี้องค์กรเกล็ดงูและองค์การปริศนาที่อยู่เบื้องหลังการหายตัวไปของผู้คนนั่นตกไปอยู่ในมือของซูจิ้งแล้วจริงๆล่ะก็
คนพวกนั้นก่อเรื่องร้ายแรงจนขนาดนั้นได้แสดงว่าเบื้องหลังขององค์กรเหล่านั่นต้องทรงพลังอย่างมากแต่ก็ยังต้องยอมสยบให้ซูจิ้ง
นายก็เห็นกับตาไม่ใช่เหรอว่ามันสามารถแก้ปัญหาที่เกิดจากยอดนักสู้ของฉันกว่า60คนได้อย่างง่ายดายโดยที่ตัวมันเองยังไม่ได้ออกโรงเสียด้วยซ้ำ
เห็นอย่างนี้แล้วนายยังคิดว่าตระกูลของนายยังจะคุ้มกะลาหัวนายได้อีกรึไง” หยวนหยินหนิงพูดออกมาด้วยใบหน้าที่นิ่งเรียบในขณะที่มองไปยังหน้าของฟูหงซิ่ว ตอนนี้เองฟูหงซิ่วก็ได้พูดสวนออกมาว่า “เป็นแกต่างหากที่ก่อปัญหา ฉันยังไม่ได้ทำอะไรซูจิ้งเลยสักหน่อย”

เพียงสิ้นประโยคนี้ หยวนหยินหนิงได้ผุดลุกขึ้นมาเตรียมจะเข้าไปต่อยฟูหงซิ่วแล้ว แต่ฮัวหยุนชูก็ได้เข้ามาห้ามไว้ทันและได้พูดออกมาว่า “ฉันว่าต่อให้นายโยนความผิดมาที่เราสองคนทั้งหมดก็ไม่ทันแล้วล่ะ ตอนนี้อย่ามาสู้กันเองดีกว่า สี่งที่เราควรทำในตอนนี้คือการเตรียมพร้อมเข้าไว้ ใครจะไปรู้ว่าซูจิ้งอาจยังไม่เจอก็ได้ว่าเรื่องทั้งหมดมีพวกเราอยู่เบื้องหลัง พวกเราอาจจะมีเวลาเหลืออยู่…”
แต่ไม่ทันที่ฮัวหยุนชูจะพูดจบประโยคดี พวกเขาก็ได้ยินเสียงประตูเปิดห้องเปิดออกมา พวกเขาหันไปมองกันที่ประตูในทันที
ตอนแรกหยวนหยินหนิงคิดว่าเป็นบอดี้การ์ดของเขาจะเข้ามาถามอะไรสักอย่าง แต่พวกเขานั้นกลับเห็นซูจิ้งและชายหนุ่มอีกสองคนเดินเข้ามา พร้อมซากร่างของใครบางคน

หยวนหยิงหนิง ฮัวหยุนชู และฟูหงซิ่ว นั้น ทั้งสามเกิดอาการหนังตากระตุกในทันที ฉากนี้ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาคิดวางแผนและเตรียมตัวเอาไว้มลายสิ้นในทันที
ตอนนี้พวกเขาได้แต่นึกสงสัยว่าข้างนอกนั่นต้องมีสุดยอดนักสู้ของเขาอยู่สิบกว่าคนไม่ใช่รึไง แล้วทำไมซูจิ้งถึงเข้ามาโดยไม่มีเสียงแจ้งเตือนอะไรเลยได้ยังไงกัน
“จัดการมัน” หยวนหยินหนิงได้ตะคอกออกมา ความจริงต่อให้เขาไม่ตะโกนแต่บอดี้การ์ดที่อยู่ในบ้านก็เตรียมพร้อมที่จะใช้ปืนยิงไปที่พวกของซูจิ้งเรียบร้อยแล้ว กับคนที่ไม่มีปืนก็เตรียมพร้อมที่จะเข้าปะทะ
แต่ในตอนนั้นเอง นักสู้ทุกคนต่างก็รู้สึกหัวหมุนและมึนงง พร้อมความรู้สึกที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จนในที่สุดพวกเขาก็ได้สิ้นสติสัมปชัญญะและได้แต่ยืนเซื่องซึมกันเฉยๆ
โดยซูจิ้งเองก็ไม่ได้สนใจคนเหล่านี้ เขาเพียงค่อยๆเดินเข้าไปหาหยวนหยินหนิงโดยที่มีไป๋ฮิตูและหลัวฉือหลินติดตามไปด้วย

“ออกไปไกลๆเลยนะโว้ย แกจะทำอะไรฉัน” หยวนหยินหนิงพูดออกมาด้วยท่าทีที่ตกอยู่ในความหวาดกลัวสุดขีด เขาพยายามที่จะลากฮัวหยุนชูและฟูฮงซิ่วที่ยืนนิ่งอึ้งให้หนีไปด้วยกันทางประตูหลัง
ฉากเหตุการณ์ที่พวกเขาได้พบนี้มันทั้งแปลกประหลาดและน่ากลัวเกินไป เขารู้ในทันทีเลยว่าคนของเขาที่เหลืออีกสี่สิบคนนี่ไม่ใช่คู่มือของซูจิ้งแม้แต่น้อย แม้แต่กับไป๋ฮิตูที่ยืนอยู่ข้างซูจิ้งคนของเขาก็ยังสู้ไม่ได้ด้วยซ้ำ
คนคนเดียวสามารถจัดการคนกว่าสี่สิบคนจนหมดในพริบตา แถมกว่าครึ่งยังมีปืนพกอยู่กลับตัว หากเป็นคนทั่วไปล่ะก็พวกเขานั้นสามารถสู้ด้วยได้อย่างสบายแน่นอน แต่นี่อยู่ว่าแต่จะสู้เลย แค่เจอหน้าก็กลับกลายเป้นโง่งมแบบนี้นี่ซูจิ้งมันใช้วิธีการไหนกันเนี่ย
ทั้งสามคนได้หนีออกไปจนเกือบจะพ้นประตู แต่ตอนนั้นเองที่ไป๋ฮิตูได้เคลื่อนไหวราวประกายแสงและได้มาขวางทางหนีของทั้งสามคนเอาไว้
เมื่อเห็นไป๋ฮิตู ทั้งสามก็ไม่กล้าที่จะดื้อดึงฝ่าออกไปแม้แต่น้อย นั่นก็เพราะพวกเขาได้เห็นภาพถ่ายที่ไป๋ฮิตูสามารถจัดการยอดนักสู้กว่าสี่สิบคนได้ภายในพริบตา
“ฉันจะจัดการแกเอง” ฟูหงซิ่วตอนนี้สติแตกและคุมตัวเองไม่อยู่อีกต่อไป เขาได้พุ่งเข้าไปหาซูจิ้งเพื่อที่จะเล่นงานให้จงได้ แต่ทันใดนั้นหลัวฉ์อหลินได้เคลื่อนไหวมาขวางด้วยความเร็วราวประกายแสง ทำให้ในตอนนี้ทั้งฟูหงซิ่ว หยวนหยินหนิง และฮัวหยุนชูต้องเข่าอ่อนทรุดลงไปกับพื้นในทันที

“แกทำอะไรกันแน่ ทำไมคนของฉันถึงได้หยุดนิ่งไปเฉยๆแบบนี้ นี่แกทำอะไรพวกเรากันแน่….แก…เป็นใครกันแน่” หยวนหยินหนิงได้ถามคำถามออกมามากมายในขณะที่มองซูจิ้งด้วยท่าทางที่สะพรึงกลัว
ฮัวหยุนชุและฟูหงซิ่วที่เงียบอยู่ในขณะนี้เองก็เพราะสะพรึงกลัวซูจิ้งเช่นกันจนไม่แม้แต่จะกล้าพูดอะไรออกมา ต่อให้ทั้งสามนึกเอะใจบ้างแล้วว่าซูจิ้งอยู่จุดสูงสุดของกองกำลังทั้งสี่ ต่อให้รู้ว่าซูจิ้งรับมือได้ยากยิ่ง แต่พวกเขานึกไม่ออกจริงๆว่าซูจิ้งทำยังไงถึงสามารถจัดการคนของเขาโดยไม่แม้แต่ขยับมือตัวเองด้วยซ้ำ
ตอนนี้สำหรับพวกเขาแล้ว ซูจิ้งนั้นไม่ใช่เพียงแค่คนที่รับมือได้ยากอีกต่อไป สำหรับพวกเขาแล้วซูจิ้งไม่ถือว่าเป็นมนุษย์อีกต่อไปแล้ว
ต่อให้คนภายนอกจะบอกว่าชายคนนี้เปรียบได้ดั่งสัตว์ประหลาดหรือร่างอวตารของเพราะเจ้าอยู่เรื่อยมา แต่ทั้งสามสามารถบอกได้เลยว่านั่นเป็นเพียงแค่ยอดของภูเขาน้ำแข็งที่ลอยอยู่ในทะเลน้ำลึกเท่านั้น
“โห่ ทั้งฮัวหยุนชูและฟูหงซิ่วก็อยู่นี่ด้วยหรือนี่ ดูเหมือนว่าพวกแกนี่อยากจะเล่นงานฉันมากจริงๆสินะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยียบก่อนที่จะพูดต่อว่า “ฟูหงซิ่ว เอ๊ย ฟูหงซิ่วก่อนหน้านี้ที่แกบอกให้ฉันยกแฟนของฉันให้แกเป็นของขวัญเลยโดนสั่งสอนไปตอนนั้นนี่ดูเหมือนว่าจะเบาเกินไปสินะ
แต่ให้แกจะดูระยำตำบอนยังไงแต่ฉันก็อุตส่าห์คิดว่ามันเป็นเพียงสันดานไม่ดีธรรมดาก็เลยคิดว่าปล่อยให้เลยผ่านไปจะได้บุญซะอีก
ไม่คิดเลยว่าแกกับฮัวหยุนซูจะรวมหัวกันมากล้าตอแยฉัน นี่คงทำให้ฉันปล่อยแกไปไม่ได้แล้วล่ะ
ส่วนฟูหงซิ่ว ตอนที่แกกล้าที่จะมาหาเรื่องฉันตรงๆ ฉันก็อุตส่าห์สั่งสอนแกไปเบาๆแค่นั้น ไอ้ฉันก็นึกว่าแกจะเรียนรู้เกี่ยวกับการวางตัวซะมั่งแต่เหมือนจะไม่เลยแหะ แถมแกยังกล้าที่จะร่วมมือกับหยวนหยินหนิงทำเรื่องร้ายแรง ทำแม้กระทั่งคิดจะลักพาตัวแฟนและครอบครัวของฉัน
อืมมมมม…. ดูจากความร้ายแรงที่พวกแกคิดจะทำกับฉันแล้วนั้น….เฮ้ออออ… ทางเดินขึ้นสวรรค์ดีๆมีไม่ชอบ ผู้คนนี่ชอบขวนขวายหาทางลงนรกซะจริงๆ”

“คุณซู โปรดไว้ชีวิตผมด้วย ผมรู้ว่าตัวเองนั้นผิดจริงที่กล้าท้าทายคุณ ผมยินดีที่จะยกทุกอย่างให้คุณเลย” ฟูหงซิ่วที่เข่าอ่อนจนทรุดไปก่อนหน้านี้นั้นด้วยรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดหมอบกราบซูจิ้งแบบไม่กล้าที่จะมองหน้าแม้แต่น้อย
แต่กับฮัวหยุนชูและหยวนหยินหนิงในตอนนี้นั้นไม่แม้แต่ที่จะกล้าร้องขาชีวิตแต่อย่างใด ทั้งสองคนในตอนนี้หน้าซีดเผือดราวกับคนที่ตายไปแล้วก็ไม่ปาน
ก่อนหน้านี้คนเหล่านี้ทั้งหยิ่งยโสและหาญกล้าที่จะทำเรื่องราวต่างๆอย่างไม่เกรงกลัว แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดในคราบมนุษย์ที่อยู่ตรงหน้า ความยโสก่อนหน้านี้ได้มลายสิ้นในทันที
เขาเข้าใจแล้วว่าเบื้องหลังของซูจิ้งคืออะไรกันแน่ เบื้องหลังของซูจิ้งก็คือไม่มีอะไรเลยแม้แต่น้อย คนๆนี้แค่แข็งแกร่งเกินกว่าที่จะเรียกมนุษย์อีกต่อไปแล้ว
สำหรับคนแบบพวกเขาแล้วนั้นไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับซูจิ้งเลยแม้แต่น้อย หากจะมีที่พอจะทำให้ได้ก็คงจะเป็นแบบจ้าวฉือหลงที่กระโดดตึกตายด้วยตัวเองแบบตอนนั้นเท่านั้นเอง
“คุณ…ซู คุณซู ผมรู้ว่าตัวผมนั้น…ทำผิดมหันกับคุณ…มามากมาย ทำไมคุณไม่…..ไม่ลองให้…ให้ทำคุณไถ่โทษแทนจะดีกว่า” หยวนหยินหนิงพูดออกมาด้วยท่าทางที่พยายามสะกดข่มความกลัวในใจอย่างที่สุด
“ฟู….หงซิ่วกับผมนั้นก่อนหน้านี้ไม่ได้รู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลยนะ มีแค่หยวนหงซิ่วเท่านั้นครับคุณซูที่เป็นคนริเริ่มแผนการต่างๆ
ผมกับฟูหงซิ่วนั้นที่ตัดสินใจเข้าร่วมเพราะว่าฟูหงซิ่วนั้นกลัวคุณจนไม่รู้จะทำยังไงจนหลุดพ้นได้จึงได้ร่วมมือด้วยเพราะคิดว่ากำจัดคุณได้แล้วทุกอย่างจะจบลง
แต่ตอนนี้ผมทั้งสองคนรู้แล้วว่าได้ตัดสินใจผิดพลาดไป ขอให้คุณซูให้อภัยด้วย” ฮัวหยุนชูในตอนนี้ได้รีบทำการขายหยวนหยินหนิงออกมาในทันที และทุกสิ่งที่เขาพูดมาล้วนแล้วแต่เป็นความจริงเกือบทั้งหมด หากซูจิ้งเชื่อไม่แน่ว่าอาจจะไว้ชีวิตเขาหรืออาจจะทั้งเขาและฟูหงซิ่วก็เป็นได้

หยวนหยินหนิงที่ได้ยินดังนั้นก็หน้าถอดสีหนักยิ่งกว่าเดิม ฟูหงซิ่วที่ได้ยินเองก็รีบยืนยันในคำพูดของฮัวหยุนชูในทันที “ใช่ ใช่ ใช่แล้วครับ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนี้มีผีบ้าอย่างหยวนหยินหนิงเป็นคนเริ่มทั้งนั้นเลย หากคิดอยากจะเอาเรื่องกับเรื่องราวทั้งหมดอย่างน้อยๆก็ควรจะเริ่มจากไอ้บ้านี่ก่อน”
“โอ้….กลายเป็นว่าเรื่องทั้งหมดนี่จุดเริ่มต้นมาจากแกเองสินะ” ซูจิ้งรู้อยู่แล้วว่าทุกสิ่งที่สองคนนี้พูดออกมาเป็นความจริงเพราะเขานั้นได้ใช้กระแสจิตตรวจจับออร่าของทั้งสามคนตลอดเวลา
ซูจิ้งได้ค่อยๆหันไปมองหยวนหยินหนิงด้วยแววตาอำมหิตจนเกือบจะหยุดหายใจไปในทันทีที่สบตากัน

อย่างไรก็ตาม ซูจิ้งก็ไม่คิดจะให้โอกาสฟูหงซิ่วและฮัวหยุนชูอีกต่อไป “ยังไงซะแกสองคนก็ร่วมมืออยู่ดีไม่ใช่รึไง เฮ้ออออ เอาเถอะ ยังไงซะแกสามตัวก็ยังเป็นสามในสี่คุณชายสี่แห่งเมืองจีน อย่างน้อยๆคงมีประโยชน์อะไรกับฉันบ้าง ฉันจะไม่ฆ่าพวกแกหรอก แต่จะทำให้พวกแกการเป็นข้ารับใช้ของฉัน”
ทั้งหยวนหยินหนิง ฟูฮงซิ่ว และฮัวหยุนชูในตอนนี้มีใบหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย ให้เป็นข้ารับใช้นี่ถือว่าดีกว่าตายอย่างนั้นเหรอ
แต่ยังไม่ทันที่ทั้งสามจะพูดอะไรออกมา ทั้งสามก็รู้สึกหัวหมุนและวิงเวียนราวกับสมองกำลังถูกปั่นอยู่ในเครื่องซักผ้า และในที่สุด สติสัมปชัญญะของทั้งสามคนก็ได้หายไปโดยสมบูรณ์