GGS:บทที่ 1077 กฎ

 

เพียงชั่วครู่เดียวเท่านั้น ซูจิ้งได้ทำการสะกดจิตสมบูรณ์กับหยวนหยินหนิง ฮัวหยุนชู และฟูหงซิ่วได้ในทันที ต่อให้ทำตัวโอหังล้นฟ้าหรือจะทำตัวเลวทรามขนาดไหน แต่ทั้งสามก็มีจิตใจที่เทียบเท่ากับคนธรรมดาเท่านั้น และวันนี้ทั้งสามก็ตกเป็นบริวารของซูจิ้งโดยสมบูรณ์

เช่นเดียวกัน นักสู้กว่าสี่สิบคนที่เป็นบอดี้การ์ดของหยวนหยินหนิงก็กลายเป็นบริวารของซูจิ้งเรียบร้อยแล้ว

คนพวกนี้นอกจากจะได้กินข้าวสีน้ำเงินไปมากมายแถมยังฝึกเพลงหมัดวัวคลั่งครบทั้งสามรูปแบบ นี่จึงทำให้ร่างกายของคนเหล่านี้เหนือล้ำกว่าคนทั่วไป

 

แน่นอนว่าโดยปกติเมื่อร่างกายแข็งแกร่ง จิตใจย่อมแข็งแกร่งตามไปด้วย บางคนนั้นมีจิตใจที่แข็งแกร่งจนเรียกว่าดีที่สุดในมวลหมู่มนุษย์เลยก็ว่าได้

แต่เมื่อเทียบกับซูจิ้งแล้ว จิตใจของนักสู้เหล่านี้ก็ยังไม่ต่างจากมดปลวกแต่อย่างใด นั่นก็เพราะต่อให้ร่างกายดีกว่าใครในโลกหล้า แต่ก็ยังไม่ต่างจากมดปลวกเมื่อเทียบกับซูจิ้ง

“เอายังไงกับไอ้พวกนี้ดีล่ะ” ซูจิ้งมองไปทางหยวนหยินหนิง ฮัวหยุนชู และฟูหงซิ่วสักพักจึงได้พูดออกมา

ที่ซูจิ้งต้องใช้ความคิดสักหน่อยนั้นก็เพราะว่าหากเป็นเพียงหยุนหยินหนิงและคนอีกร้อยคนนี่ก็เพียงพอที่จะให้เขาทำอะไรได้อีกหลายๆอย่างแล้ว แต่ในเมื่อเขามีสามในสี่ของกลุ่มคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคุณชายสี่มาเป็นบริวารแบบนี้ สิ่งต่างๆที่เขาทำได้ย่อมมากมายเหนือคณานับ

 

นั่นก็เพราะสามคนนี้มีเงินทองมากมายจนคนธรรมดาต้องอิจฉาหลายสิบรอบ หากคิดจะควบคุมใครสักคนก็แค่ใช้กำลังเงินก็เพียงพอแล้ว เพราะกับคนทั่วไปแล้ว เศษเงินของคนเหล่านี้ก็คือความร่ำรวยของพวกเขา

อย่างที่สอง ด้วยสถานะของสามคนนี้ แค่เสนอหน้าก็เพียงพอจะทำอะไรได้โดยไม่ต้องออกแรงแม้แต่น้อย ด้วยการที่มีทรัพย์สินระดับนี้จะถือว่าเป็นคนที่ไม่มีเบื้องหลังได้ยังไง

ซูจิ้งใช้ความคิดอยู่พักใหญ่แต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าจะเริ่มจากอะไรดี เขานั้นไม่ต้องการดูดทรัพย์สินเงินทองของทั้งสามคนแม้แต่น้อย หากพูดถึงเรื่องเงินทองแล้ว ฮัวหยุนชูนั้นติดอยู่ในอันดับหนึ่งในห้าของประเทศ ฟูหงซิ่วอยู่ในอันดับหนึ่งในห้าเช่นเดียวกัน และหยวนหยินหนิงเองถึงจะด้อยกว่ามากแต่ก็ยังติดในอันดับหนึ่งในยี่สิบ

หากนำทรัพย์สินของสามคนนี้มารวมกันได้ล่ะก็ หากได้องค์กรย่อมๆที่มีทรัพย์สินในการดำเนินการเรื่องต่างๆให้เขาได้ภายใต้ทุนทรัพย์ที่แท้จริงไม่ต่ำกว่าพันล้านหยวนได้ล่ะก็จะเป็นเรื่องที่ดีเลยทีเดียว

เหตุผลที่ซูจิ้งคิดออกมาอย่างนี้ก็เป็นเพระว่าตระกูลเหล่านี้ล่ำรวยเพราะนับรวมหนี้สินของตัวเองเข้าไปด้วย ยกตัวอย่างเช่นตระกูลฮัว ธุรกิจหลักของตระกูลก็คืออสังหาริมทรัพย์ แต่ส่วนใหญ่แล้วทุนทรัพย์เหล่านี้ก็มาจากเงินกู้ แล้วแบบนี้เรียกว่าคนรวยที่แท้จริงได้ยังไงกัน หากว่าธุรกิจอสังหาเป็นแบบนี้กันไปหมด นั่นก็หมายความว่าอุตสาหกรรมอสังหานั้นก็คงอยู่กันไม่รอดเป็นแน่

หรืออย่างตระกูลฟูเองก็ตาม ตอนที่ซูจิ้งปล่อยรถกาลเวลาออกมาขาย นั้นตอนนั้นเองก็ทำให้เงินทุนที่ได้รับการสนับสนุนจากธนาคารของกลุ่มทุนฮวงเหอได้ลดลงอย่างรวดเร็วทำให้ถึงกับระส่ำระสายไปกันไม่เป็นกันไปเลย เรียกได้ว่าแค่ประคองบริษัทให้อยู่รอดได้ก็ยังยากเลยด้วยซ้ำ แล้วกับตระกูลแบบนี้จะให้เขาดูดอะไรมาได้

 

ไม่ต้องพูดถึงตระกูลหยวนที่มีธุรกิจอ่อนด้อยที่สุดในกลุ่มสี่คน ถ้าไม่อย่างนั้นก็คงไม่ถูกสามคนที่เหลือเตะออกจากฉายาคุณชายสี่อย่างง่ายดายแบบนี้

คนเหล่านี้ที่รู้จักกันดีว่าเป็นคนที่รวยล้นฟ้าจนน่าอัศจรรย์นั้น แต่ความจริงแล้วหากไม่เป็นหนี้ ก็คือคนที่แทบจะไม่มีอะไรในชีวิตเลยทีเดียว

เมื่อเทียบกับซูจิ้งแล้วนั้น คนเหล่านี้เทียบไม่ได้เลยแม้แต่ปลายก้อย เขานั้นมีทรัพย์สินที่แท้จริงและเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนก้าวล้ำบิลเกตไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

อย่างเดือนก่อนเอง ซูจิ้งก็ได้เงินสุทธิมาแล้วถึงห้าหมื่นล้านหยวน และแนวโน้มของเดือนนี้เอง รายได้ของซูจิ้งน่าจะมากกว่านั้นด้วยซ้ำ เอาจริงๆแค่ส่วนแบ่ง10%จากบริษัทยาสูบแห่งรัฐนี่ก็เรียกได้ว่านับเงินไม่หวาดไม่ไหวแล้วด้วยซ้ำ

 

การที่มีคนมองว่าซูจิ้งได้รับส่วนแบ่ง10%จากภาครัฐจากการขายบุหรี่ของเขานั้นว่าเป็นเรื่องตลกอีกต่อไป นอกจากนี้ซูจิ้งยังถือครองผลิตภัณฑ์อีกมากมายหลากหลายอย่างระบบปัญญาประดิษฐ์ สมาร์ทโฟนกาลเวลา รถยนต์กาลเวลา แผงพลังงานแสงอาทิตย์ เครือข่ายห้าจี ข้าวสีน้ำเงิน และผลิตภัณฑ์อื่นๆที่ยังคงเป็นที่นิยมอยู่ในท้องตลาดจนเรียกได้ว่าไม่มีคู่แข่งเลยสักราย

และด้วยเหตุนี้เองจึงคาดการณ์ได้ว่าเงินที่ซูจิ้งจะได้รับในเดือนนี้ไม่ต่ำว่า สามแสนล้านหยวนอย่างแน่นอน

คนที่รวยที่สุดของประเทศจีนนั้นมีทรัพย์สินที่อยู่ในครอบครองอยู่ที่หนึ่งแสนสองหมื่นหยวนเท่านั้น เมื่อเทียบกับซูจิ้งที่มีรายได้เข้าในเดือนนี้กว่าสามแสนล้านหยวนแล้ว ไม่ถือว่าเป็นอะไรเลยกับซูจิ้ง

 

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพูดถึงเป้าหมายสูงสุดของซูจิ้ง นั่นก็คือการผลิตปฏิสสารให้ได้หนึ่งร้อยกรับซึ่งต้องใช้เงินกว่าสามล้านล้านหยวนแล้ว ต่อให้รวบรวมตระกูลมามากมายก็คงจะโดนสูบเงินหมดลงไปอย่างรวดเร็ว นับประสาอะไรกลับตระกูลที่รวยเพราะหนี้สินแบบนี้ ไม่ได้ช่วยอะไรเขาด้านทรัพย์สินเลยแม้แต่น้อย

แทนที่จะสูบเงินทองจนทำให้สามเสาหลักของอุตสาหกรรมของประเทศให้ล่มสลายไปนั้น ซูจิ้งคิดว่าจะเป็นการดีกว่าหากเขาให้สามคนนี่เป็นหน้าฉากให้กับเขาในการดำเนินการในหลายๆเรื่อง

ด้วยเงินทุนของซูจิ้งที่มากล้นนี้ หากว่าได้รับการสนับสนุนกับสามตระกูลใหญ่อย่างตระกูลฮัว ตระกูลฟู และตระกูลหยวน ตัวเขาเองจะกลายเป็นเสือนอนกินที่ติดปีกไปอย่างง่ายดาย และในการนี้ หากว่าเขาจะยึดครองส่วนแบ่งทางการตลาดมาสักครึ่งหนึ่งก็ยากที่จะมีคนทัดทานได้

 

เมื่อคิดได้ดังนี้ ซูจิ้งจึงได้บอกฮัวหยุนชู ฟูหงซิ่ว และหยวนหยินหนิงว่าต้องทำอะไรบ้างเมื่อกลับไปที่ของตน ก่อนที่จะมอบหมายให้คนของหยวนหยินหนิงคนละสองคนเพื่อคอยเป็นบอดี้การ์ดคุ้มกันความปลอดภัย แน่นอนว่าในตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องกลัวคนเหล่านี้หักหลังเขาอีกต่อไป

หลังจากเสร็จเรื่องราวทุกอย่างแล้ว ซูจิ้งได้จากไปพร้อมกับคนของหยุนหยินหนิงที่ฟูมฟักเป็นอย่างดี

คนที่หยุนหยินหนิงคอยชุบเลี้ยงไว้นั้นมีทั้งหมด 107 คน ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นยอดฝีมือทั้งสิ้น แต่ด้วยการลงมือของฮัวเหยาก่อนหน้านี้ทำให้ตกตายไปห้าจึงเหลือทั้งหมด 102 คน

เมื่อซูจิ้งมอบให้คนเหล่านี้เป็นบอดี้การ์ดให้ฮัวหยุนชู ฟูหงซิ่ว และหยวนหยินหนิงไปคนละสอง ตอนนี้ก็จะเหลือยอดฝีมืออยู่ 96 คน

ด้วยเหตุนี้ ซูจิ้งจึงได้ให้ยอดฝีมือไปคอยเป็นบอดี้การ์ดให้เฉิงหนาน หวังจ้าว หวังซือหยา และเว่ยเสี่ยวหยวนอีกคนละสองคน ส่วนที่เหลือให้ติดตามไป๋ฮิตูไปก่อน

 

หนึ่งคืนผ่านไป ไม่มีใครเลยที่ได้รับรู้ว่าคืนที่ผ่านมานั้นช่างหนักหน่วงสำหรับใครบางคนเลยสักนิด คืนนี้ช่างเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ที่ถูกสายลมและเมฆหมอกปกปิดเอาไว้

กับคนทั่วไปแล้วค่ำคืนนี้เป็นคืนที่น่านอนมากที่สุดคืนหนึ่งเลยทีเดียว แม้แต่ตำรวจเองก็ยังไม่ล่วงรู้แม้แต่น้อยว่าเกิดเรื่องราวอะไรไปบ้าง

หยวนหยินหนิงที่เป็นคนเริ่มเรื่องราวเหล่านี้ได้เตรียมการไว้เป็นอย่างดี เขาเตรียมการชนิดที่ว่าหากเกิดเหตุการณ์ลักพาตัวที่โรงเรียนมัธยมต้นที่หนึ่งแห่งเมืองจองหยุนล่ะก็ จะไม่มีใครรู้เลยสักนิดว่าเกิดอะไรขึ้น

สำหรับเหตุการณ์ที่ตึกหลงเต็นบริเวณลานจอดรถนั้น กล้องที่ถ่ายเหตุการณ์เอาไว้ได้ก็ถูกใครบางคนจัดการจนหมด ผู้ที่ลงมือนั้นก็คือสแตนด์สายฟ้าของหลัวฉือหลินที่จัดการควบคุมสถานการณ์ในทันทีที่รู้เรื่องนี้

สำหรับคนที่ผ่านไปมาเองก็จำอะไรไม่ได้แม้แต่น้อยเพราะถูกซูจิ้งลบเลือนความทรงจำไปจนหมดสิ้นแล้วนั่นเอง

 

ณ บ้านของซูจิ้ง เมื่อฉือชิงได้เห็นซูจิ้งที่กลับมาแล้วก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมาว่า “อาจิ้ง คนพวกนั้นเป็นใครกันแน่ ดูจากฝีมือคนพวกนั้นแล้วต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน ไหนจะดอกไม้บนหัวฉันที่กลายเป็นคนได้อีก…”

ฉือชิงเองรู้สึกประหลาดใจจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างมาก ก่อนหน้านี้ตอนที่เธอเจอเต็งเต็งด้วยเหตุบังเอิญในตอนนั้นก็ทำให้เธอฉงนสนเท่ห์ในตัวซูจิ้งมากพอดูแล้ว และตอนนั้นเองซูจิ้งก็บอกเธอเพียงว่าเขาจะบอกก็ต่อเมื่อเธอยอมแต่งงานกับเขาแล้วเท่านั้น ซึ่งตอนนั้นซือฉิงก็ยอมรับปากแต่โดยดี

แต่ในครั้งนี้เมื่อเธอต้องมาพบเจอดอกไม้ที่กลายร่างเป็นคนได้แบบนี้ทำให้เธอเองเก็บความรู้สึกสงสัยของตัวเองไม่ได้อีกต่อไป

“เธอยังจำฮัวหยุนชูคนที่เคยให้ของขวัญเธอได้รึเปล่าล่ะ คราวนี้หมอนั่นมีส่วนร่วมด้วย หมอนั่นร่วมมือกับคนที่ได้รับฉายาว่าคุณชายสี่อีกสองคนร่วมมือกันชุบเลี้ยงยอดฝีมือขึ้นมา

สำหรับเรื่องที่ยอดฝีมือพวกนั้นแข้งแกร่งได้ขนาดนั้นเองก็เป็นเพราะว่าทุกคนล้วนแล้วแต่กินข้าวสีน้ำเงินไปมากมาย และได้ร่ำเรียนเพลงหมัดวัวคลั่งทั้งสามกระบวนท่าไปแล้วทำให้มีความแข็งแกร่งผิดมนุษย์มนา

แต่ไม่ต้องกังวลนะ ฉันจัดการเรื่องพวกนี้ไปหมดแล้วล่ะ แต่กับดอกไม้บนหัวเธอนี่….คือ….” เมื่อซูจิ้งพูดมาถึงจุดนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอธิบายต่อยังไงเหมือนกันให้ฉือชิงยอมรับได้มากที่สุด และเขาเองก็ไม่อยากจะปิดบังเธออีกแล้วเหมือนกัน

เรื่องของฮัวเหยานี้แน่นอนว่าน่าตกใจเสียกว่าเรื่องการลักพาตัวซะอีก นั่นก็เพราะความน่าเหลือเชื่อการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตรูปแบบนี้น่าเหลือเชื่อนิ่งกว่าต้นไม้กินคนอย่างรัตตันเป็นไหนๆ

เรียกได้ว่าพูดให้ใครฟังก็ไม่มีใครเชื่ออยู่ดีต่อให้เมาจนไม่รู้เรื่องเลยก็ตาม อย่างไรก็ตามหากเขาไม่บอกความจริงออกไปในวันนี้ล่ะก็

ความสัมพันธ์ของเขาและฉือชิงจะต้องมีปัญหาแน่ๆ ดีไม่ดีอาจจะต้องเลิกคบกันไปเลยก็ได้ ความกดดันนี้มากพอที่จะทำให้ซูจิ้งเริ่มคิดที่จะฉือชิงเข้าไปยังสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศของเขาเลยด้วยซ้ำ แต่ซูจิ้งก็ยังกลัวอยู่ดีว่าเรื่องทั้งหมดนั้นเมื่อฉือชิงได้รู้จะรับไม่ไหวขึ้นมา

“ที่รัก เรายังไม่บรรลุข้อตกลงกันเลยนะ เราคุยกันแล้วนี่นาว่าฉันจะบอกทุกอย่างหลังจากเราได้แต่งงานกันแล้วตอนสิ้นปีนี้

เอาเป็นว่าในตอนนี้ฉันบอกได้แต่ว่าดอกไม้บนหัวของที่รักนั้นไม่เป็นอันตรายอย่างแน่นอน ไม่เพียงเท่านั้นมันยังทำให้สุขภาพร่างกายของเธอดีขึ้นอีกด้วยแถมยังคอยปกป้องดูแลเธอแทนฉันได้อีก

ตอนนี้เรื่องทุกอย่างจบลงแล้วล่ะ และที่รักสามารถกลับบ้านและพักผ่อนได้เลย หรือจะนอนที่นี่ก็ได้นะ ฉันให้คำมั่นสัญญาเลยว่าฉันจะบอกเรื่องนี้ในคืนแต่งงานของเรา รอหน่อยน้า….” ซูจิ้งพยายามอ้อล้อฉือชิงทุกวิธีทางให้ผ่านเรื่องนี้ไปให้ได้

“ก็ฉันอยากรู้นี่นา ฉันรอต่อไปไม่ไหวแล้วนะ รีบบอกให้ฉันรู้เดี๋ยวนี้เลยนะ” ฉือชิงในตอนนี้ไม่หลงกลอีกต่อไป เธอใช้กำปั้นของตัวเองไปที่ซูจิ้งสองสามครั้งก่อนที่จะเป็นใช้มือลูบไล้ไปที่แผ่นอกของเขาด้วยท่าทีเอียงอาย

และในทันทีที่เธอทำแบบนี้ทำให้ซูจิ้งแทบจะทนไม่ไหวเลยทีเดียวจนแสดงอาการออกมาอย่างเห็นได้ชัดเจน หน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงกล่ำก่อนที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ

เขาไม่คิดจะสู้กับฉือชิงแต่ก็ยังคิดจะบอกเช่นเดียวกัน สิ่งที่เขาเลือกทำนั่นก็คือ กัดฟันฝืนทนแล้วหนีเข้าห้องของตัวเองไปในทันที

จนแล้วจนรอดซูจิ้งก็รอดพ้นมาได้อีกคืนหนึ่ง