“ค่ายกลนี้แข็งแกร่งดังที่เจ้าบอกจริงๆเพราะแม้แต่ข้าที่อยู่ด้านบนเมื่อครู่ ยังไม่สามารถมองเห็นหินมังกรเขียวก้อนนี้ได้เลย แล้วนี่เจ้าจะเข้าไปในค่ายกลได้อย่างไรกัน”
เย่ซิงเฉินเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจและประหลาดใจไม่น้อยเพราะแม้แต่นางที่ยืนอยู่ตรงนี้ก็ยังไม่สามารถมองเห็นหินมังกรเขียวได้ และจิตหยั่งรู้ก็ถูกปิดกั้น เย่ซิงเฉินเพิ่งจะเข้าใจว่าเพราะเหตุใดหลิงหยุนจึงร้อนใจอยากจะรีบกลับจิงฉูโดยเร็ว
“มีหนทางเดียวเท่านั้น..คือทำลายทิ้งเสีย!”
หลิงหยุนร้องบอกเย่ซิงเฉินพร้อมกับเหาะขึ้นไปด้านบนเพื่อหาตำแหน่งของดวงตาค่ายกล หากเขาสามารถทำลายดวงตาค่ายกลได้ ค่ายกลก็จะสิ้นอานุภาพทันที!
และแล้วกระบี่โลหิตเทวะก็ปรากฏขึ้นในมือของหลิงหยุนจากนั้นหลิงหยุนจึงฟาดกระบี่ที่คมกริบในมือนั้นลงไปยังหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างรวดเร็ว และกระบี่โลหิตเทวะก็สามารถตัดก้อนหินหนักหลายพันกิโลกรัมนี้ขาดได้อย่างง่ายดายราวกับตัดเต้าหู้..
แต่หลังจากที่หลิงหยุนฟันหินก้อนใหญ่นั้นขาดสะบั้นออกจากกันแล้วกลับมีหินก้อนมหึมาอีกมากมายหลายก้อนเคลื่อนมาปิดล้อมไว้หนาแน่นยิ่งกว่าเดิม
และในเวลานั้นเองเย่ซิงเฉินกลับรู้สึกถึงความอึดอัดแน่นหน้าอก ราวกับว่ากำลังถูกหินก้อนใหญ่มากมายทับร่างไว้ก็ไม่ปาน และเวลานี้นางก็รู้สึกอึดอัดและแทบหายใจไม่ออก
หลิงหยุนเห็นท่าทางของเย่ซิงเฉินจึงรีบร้องตะโกนออกไปว่า“ซิงเฉิน เจ้ารีบหลับตาลง หรือไม่ก็จ้องมองลงที่เท้าตนเอง อย่ามองไปที่กำแพงหินพวกนั้น!”
ชัวะ..ชัวะ.. ชัวะ..
หลิงหยุนยังคงกระหน่ำฟันเข้าใส่ก้อนหินจำนวนมากมายอย่างต่อเนื่องและหลังจากที่ทำลายหินก้อนใหญ่ไปได้ถึงเก้าก้อน ในที่สุดเขาก็ค้นพบดวงตาของค่ายกลกำแพงศิลา!
ดวงตาค่ายกลนี้เป็นหินก้อนมหึมาที่มีน้ำหนักกว่าหนึ่งหมื่นกิโลกรัมถูกแกะสลักให้มีลักษณะคล้ายกับหอยแม่นที่มีรูปร่างน่าเกลียดและแปลกประหลาด หนามทั้งเก้าของมันนั้นนอกจากจะมีขนาดใหญ่แล้ว ปลายของมันยังแหลมคมมากอีกด้วย
ครั้งนี้หลิงหยุนยังไม่รีบใช้กระบี่ในมือฟันลงในทันทีเขาเพียงแค่ยกมือขึ้น และค่อยๆเอื้อมมือไปจับปลายที่แหลมคมของหนามซี่หนึ่งอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงค่อยๆออกแรงดันให้หินรูปร่างประหลาดนี้เคลื่อนออกจากตำแหน่งเดิมของมัน
และเพียงแค่พริบตาเดียวก้อนหินขนาดใหญ่มากมายนับไม่ถ้วนที่รายล้อม และบีบรัดร่างของหลิงหยุนกับเย่ซิงเฉินจากทุกทิศทางนั้น ก็ได้อันตธานหายไปในทันที!
เย่ซิงเฉินดีอกดีใจอย่างมากและในเวลาเดียวกันนั้นเอง แรงกดดันภายในใจที่ถาโถมเข้ามาเมื่อครู่ก็ได้หายไปด้วยเช่นกัน
“…”
แต่เมื่อหันไปมองรอบตัวเย่ซิงเฉินก็ได้แต่ตกตะลึงจนถึงกับต้องร้องตะโกนขึ้นมาเสียงดัง “ห๊ะ! มีก้อนหินจริงอยู่เพียงแค่สิบแปดก้อนเท่านั้นรึ?!”
ภายใต้อำนาจของค่ายกลกำแพงศิลาหินทั้งสิบแปดก้อนนี้จะทำให้ผู้ที่เผชิญกับค่ายกลถูกหลอกให้รู้สึกว่า ตนเองกำลังอยู่ท่ามกลางป่าศิลาที่มีก้อนหินอยู่มากมายนับไม่ถ้วน ไม่เพียงเท่านั้น อำนาจของค่ายกลนี้ยังจะทำให้คนผู้นั้นรู้สึกราวกับตกลงท่ามกลางทะเลศิลา จึงรู้สึกอึดอัดคล้ายถูกหินใหญ่มากมายทับถมจนแทบขาดใจ และนี่คืออานุภาพของค่ายกลกำแพงศิลา..
หลิงหยุนตอบกลับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ถูกต้องแล้ว มีหินเพียงแค่สิบแปดก้อนเท่านั้น! ความจริงแล้วค่ายกลกำแพงศิลาที่ใช้ก้อนหินเพียงแค่สิบเจ็ดก้อน บวกดวงตาค่ายกลอีกหนึ่งก้อนรวมเป็นสิบแปดก้อนที่หลงเทียนซินสร้างขึ้นนี้ เป็นเพียงแค่ค่ายกลกำแพงศิลาที่จำลองขนาดให้เล็กลงเท่านั้น..”
เย่ซิงเฉินยิ้มกว้างให้กับความรอบรู้ของหลิงหยุนดวงหน้างดงามนั้นจ้องมองหลิงหยุนด้วยความรู้สึกชื่นชม พร้อมกับเอ่ยถามขึ้นว่า
“เช่นนั้นแล้วค่ายกลกำแพงศิลาขนาดใหญ่จะต้องใช้หินจำนวนกี่ก้อนงั้นรึ”
“ค่ายกลกำแพงศิลาขนาดกลางจะใช้หินทั้งหมดสี่สิบเก้าก้อน..”
“แต่หากเป็นค่ายกลกำแพงศิลาที่แท้จริงจะต้องใช้หินทั้งหมดหนึ่งร้อยแปดก้อน และไม่จำเป็นต้องใช้ก้อนหินขนาดใหญ่ เพราะเพียงแค่ขนาดใหญ่กว่าก้อนกรวด ด้วยอานุภาพของมันก็สามารถทำให้คนธรรมดาทั่วไปกระอักเลือดตายได้แล้ว!”
“การทำงานของค่ายกลกำแพงศิลานี้มุ่งเน้นเล่นงานที่จิตใจของมนุษย์ หากผู้ใดเข้าทำลายค่ายกล มันจะสร้างภาพลวงตาให้คนผู้นั้นเห็นว่ามีหินจำนวนมาก และยิ่งคนผู้นั้นทำลายหินได้จำนวนมากเท่าไหร่ จำนวนหินก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น ทำให้ผู้ที่โดนค่ายกลกำแพงศิลาเล่นงานสูญเสียสติ และจะมุ่งทำลายหินจนคลุ้มคลั่ง..”
“หากผู้ใดที่หลงเข้าไปในค่ายกลกำแพงศิลาและไม่เข้าใจกลไกการทำงานของมัน หรือไม่สามารถทำลายดวงตาค่ายกลได้ คนผู้นั้นก็คงต้องสิ้นใจตายอยู่ในค่ายกลกำแพงศิลา หรือไม่ก็ถูกกังขังไม่สามารถออกมาได้จนกระทั่งตายไปในที่สุด!”
“และเมื่อตาย..ก็จะกลายเป็นเช่นนี้!”
หลิงหยุนยกมือขึ้นชี้ไปที่หินดวงตาค่ายกลพร้อมกับเรียกเข้าไปเก็บไว้ในแหวนจักรวาลของตนทันที
“นี่เจ้าพูดจริงหรือว่าหลอกข้ากันแน่!” เย่ซิงเฉินถึงกับตกตะลึงเมื่อได้ฟัง และร้องถามออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
หลิงหยุนยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะพูดขึ้นว่า“หากเจ้าไม่เชื่อข้าจะสร้างค่ายกลกำแพงศิลาขนาดกลางให้เจ้าทดสอบดูด้วยตัวเอง..” เย่ซิงเฉินยกมือทั้งสองข้างเท้าสะเอวพร้อมกับท้าทายว่า“เจ้ากล้าทำเช่นนั้นกับข้าก็ลองดู!”
หลิงหยุนหัวเราะออกมาพร้อมกับยื่นแก้วจ้าวสมุทรให้เย่ซิงเฉินถือไว้พร้อมกับชี้ไปยังตำแหน่งของหินมังกรเขียว “หินมังกรเขียวอยู่ที่นั่น คิดไม่ถึงจริงๆว่าแท้จริงแล้วมันก็คือโครงกระดูกมังกร!”
แม้ค่ายกลกำแพงศิลาจะถูกทำลายไปแล้วแต่ยังคงมีค่ายกลสะกัดวิญญาณอยู่อีก ทำให้หลิงหยุนยังไม่สามารถมองเห็นหินมังกรเขียวได้
“แล้วเจ้าจะทำลายค่ายกลสะกัดวิญญาณนี้ได้อย่างไร”
เย่ซิงเฉินเอ่ยถามด้วยความอยากรู้และมั่นใจว่าหลิงหยุนจะสามารถทำลายค่ายกลนี้ได้อย่างแน่นอน
หลิงหยุนหันไปมองเย่ซิงเฉินยิ้มๆพร้อมกับพูดขึ้นว่า“เจ้าคอยดูให้ดี” จากนั้นหลิงหยุนก็เดินตรงไปยังตำแหน่งที่ตั้งของหินมังกรเขียวเย่ซิงเฉินเห็นหลิงหยุนค่อยๆโน้มกายไปข้างหน้าพร้อมกับยื่นมืออกไปด้านหน้า แล้วหินมังกรเขียวก็เข้าไปอยู่ในแหวนจักรวาลของหลิงหยุนทันที!
หลังจากที่หลิงหยุนเรียกโครงกระดูกมังกรเข้าไปไว้ในแหวนของตนเองเรียบร้อยแล้วเขาก็หันกลับมาหาเย่ซิงเฉินพร้อมกับอธิบายว่า
“นี่เป็นเพียงค่ายกลพื้นๆที่ใช้สะกัดกั้นจิตหยั่งรู้และสายตาของผู้คนเท่านั้นข้าเองก็ใช้ค่ายกลนี้เมื่อครั้งที่ไปโรงประมูลตระกูลเย่ในคืนนั้น ค่ายกลชนิดนี้ทำหน้าที่เพียงแค่ปิดกั้นการมองเห็นผ่านสายตาและจิตหยั่งรู้เท่านั้น แต่ไม่สามารถปิดกั้นการกระทำใดๆได้ จึงไม่จำเป็นต้องทำลาย..”
ระหว่างที่พูดนั้นหลิงหยุนก็ก้าวเดินออกมาจากค่ายกลสะกัดวิญญาณพร้อมกับพูดต่อว่า “ไม่เช่นนั้นหลงเทียนซินคงจะไม่สร้างค่ายกลกำแพงศิลาไว้ด้านนอกอีกชั้นหนึ่งเป็นแน่..”
“หลิงหยุนเหตุใดเจ้าจึงรอบรู้เรื่องค่ายกลนัก”
เวลานี้ความอยากรู้อยากเห็นของเย่ซิงเฉินได้เปลี่ยนจากอยากรู้เรื่องค่ายกลมาเป็นสงสัยในความรอบรู้เรื่องค่ายกลของหลิงหยุนแทน
ไม่ว่าจะเป็นค่ายกลหลุมพลังค่ายกลนวสังหาร ค่ายกลวราหก ค่ายกลมังกรหยิน–หยาง และค่ายกลต่างๆอีกมากมาย ไม่เพียงหลิงหยุนจะสามารถเข้าใจการทำงานของมันได้อย่างแจ่มแจ้ง แต่เขายังสามารถสร้างค่ายกลได้อีกมากมาย ทำให้เย่ซิงเฉินนึกอัศจรรย์ใจยิ่งนัก!
ต่อให้คนผู้นั้นร่ำเรียนเรื่องค่ายกลมาโดยเฉพาะก็ไม่น่าจะรอบรู้เรื่องค่ายกลได้มากมาย และหลากหลายเช่นนี้ อีกทั้งเย่ซิงเฉินยังรู้สึกว่า ความรู้เรื่องค่ายกลของหลิงหยุนนั้น ไม่เหมือนกับผู้ที่ร่ำเรียนมา แต่คล้ายกับว่ากำเนิดขึ้นมาพร้อมกับตัวเขาอย่างเป็นธรรมชาติ พูดง่ายๆคือรู้ได้โดยสัญชาติญาณนั่นเอง!
ไม่เพียงแค่เรื่องค่ายกลเท่านั้นแต่หลิงหยุนยังรอบรู้เรื่องสมุนไพร การปรุงโอสถ การปลุกเสกยันต์ การหลอมอาวุธ แล้วก็อีกมากมายหลายอย่าง…
“อัจฉริยะ..เจ้าไม่เคยได้ยินคำนี้หรืออย่างไร” ครั้งนี้หลิงหยุนเป็นฝ่ายยืนเท้าสะเอวพร้อมกับเชิดหน้าตอบเย่ซิงเฉินบ้าง
“ข้าเป็นปรมาจารย์ด้านการสร้างค่ายกล..”
หลิงหยุนตอบไปตามตรงและพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แล้วก็เป็นปรมาจารย์ด้านการหลอมโอสถ ปลุกเสกยันต์ แล้วก็…”
หลิงหยุนสาธยายความสามารถของตนอีกยาวเหยียดก่อนจะตอบท้ายด้วยคำถามว่า“เห็นหรือไม่ว่าชายของเจ้าเก่งกาจมากเพียงใด เจ้าควรต้องภูมิใจในตัวข้าให้มากๆรู้หรือไม่?”
ระหว่างที่หลิงหยุนเชิดหน้าอย่างโอ้อวดนั้นร่างของเขาก็ถูกผลักกระเด็นออกไปในน้ำจนเปียกโชกไปทั้งตัว..
“นี่เจ้าเล่นอะไรกันข้าเปียกไปทั้งตัวแล้ว..”
เย่ซิงเฉินหมั่นไส้หลิงหยุนมากและผลักเขากระเด็นออกไปนอกเขตของแก้วจ้าวสมุทรจนร่างเปียกปอนไปหมด
หลิงหยุนรีบวิ่งกลับเข้ามาในพื้นที่สีฟ้าพร้อมกับยกมือขึ้นลูบน้ำที่เปียกเต็มหน้า“ภรรยา.. ที่ข้ามีความรู้มากมายเช่นนั้นก็เพราะเรียนรู้อย่างหนักต่างหากเล่า หากวันหน้ามีโอกาส ข้าจะถ่ายทอดวิชาเหล่านี้ให้กับเจ้า!”
แม้จะรู้ดีว่าเย่ซิงเฉินไม่มีทางเชื่อคำพูดของตนแน่แต่เขาก็ไม่อาจบอกความจริงกับนางได้ จึงต้องตอบไปเช่นนั้นเพราะไม่มีหนทางอื่น..
เย่ซิงเฉินจ้องลึกลงไปในดวงตาของหลิงหยุนเนิ่นนานในที่สุดจึงยิ้มออกมาพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้าจะรอให้ถึงวันนั้น..” แต่ถึงอย่างนั้นภายในใจของเย่ซิงเฉินกลับคิดว่า ไม่รู้นางจะต้องรอไปอีกเนิ่นนานเพียงใด หลิงหยุนจึงจะสามารถบอกความจริงกับนางได้
หลิงหยุนรีบเปลี่ยนเรื่องพูดทันที“เอาล่ะ ไปสำรวจดูรอบๆหลุมยักษ์กันดีกว่า!”
หลิงหยุนต้องการพาเย่ซิงเฉินไปดูโลงศพขนาดใหญ่ที่เขาพบกระบี่โลหิตเทวะและหลวงจีนกายเพชร ในเมื่ออุตส่าห์ลงมาถึงก้นหลุมยักษ์แล้ว หลิงหยุนคงไม่แค่นำโครงกระดูกมังกรกลับไปเพียงอย่างเดียวแน่ ครั้งนั้นแหวนพื้นที่ของเขายังมีขนาดเล็กไม่สามารถจุสิ่งของได้มากนัก ครั้งนี้เขาจึงต้องการมานำสมบัติชิ้นอื่นกลับไปด้วย
ร่างของหลวงจีนกายเพชรนั้นนับเป็นสมบัติพุทธะที่ล้ำค่ายิ่งนักครั้งนี้เขามีแหวนจักรวาล จึงต้องการที่จะนำกลับไปด้วย..
แต่เพราะเมื่อครั้งที่หลิงหยุนพบสมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพนั้นค่ายกลจักรวาลภายในหลุมยักษ์ได้ถูกกระตุ้น ส่งผลให้ค่ายกลมังกรหยิน–หยางถูกทำลายไปด้วย ภายใต้หลุมยักษ์จึงเกิดการถล่ม การจะค้นหาร่างของหลวงจีนกายเพชรในครั้งนี้จึงไม่ใช่เรื่องง่าย..
“สำรวจอีกครั้งรึ”สีหน้าของเย่ซิงเฉินเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่าผู้หญิงกับแมวมีนิสัยอยากรู้อยากเห็นไม่แตกต่างกันเลยจริงๆ แต่ก็ทำได้เพียงแค่คิดไม่กล้าพูดออกมา
ก่อนอื่น..หลิงหยุนต้องหาตำแหน่งดวงตาหยินให้พบเสียก่อน ซึ่งเขาจำได้ว่ามันอยู่ทางเขาหยกด้านใต้ และเป็นที่ที่เขาพบโลงศพขนาดใหญ่ ไม่แน่ว่าศพที่อยู่โลงนั้นอาเป็นร่างบรรพชนของหยินชิงเฉวียนแม่ของเขาก็เป็นได้
และเรื่องนี้ก็สำคัญกับหลิงหยุนยิ่งนัก!