บทที่ 2849 ด่านเคราะห์ 2
ฟั่นเชียนซื่อไม่เคลื่อนไหว ทว่าสายตากลับจับนิ่งอยู่ที่ร่างของเธอ “อาจารย์ ท่านยินดียกโทษให้ศิษย์แล้วหรือ?”
กู้ซีจิ่วเงียบไป
“ฟั่นเชียนซื่อ นี่เจ้าคิดจะบีบคั้นอาจารย์หรือ?”
ฟั่นเชียนซื่อหลุบตาลงเล็กน้อย เอ่ยอย่างดื้อดึง “หากว่าอาจารย์ไม่ยอมยกโทษให้ เชียนซื่อยอมถูกอัสนีด่านเคราะห์ผ่าจนตาย!”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออกเลย…
ไม่ได้พบหน้ากันกว่าหนึ่งเดือน ฟั่นเชียนซื่อผอมโซจนแทบผิดรูปแล้ว หนวดเคราก็ยาวออกมา เสื้อคลุมบนร่างสกปรกอย่างยิ่ง นอกจากดวงตาคู่นั้นที่ยังคงเปล่งประกายแล้วเขาแทบจะเปลี่ยนเป็นคนละคนเลย ตกอับทรุดโทรมอย่างเหนือธรรมดา
เกิดเสียงดังเปรี้ยง อัสนีด่านเคราะห์สายหนึ่งผ่าลงมา เขาไม่หลบเลี่ยงเลยจริงๆ อัสนีด่านเคราะห์สายนั้นฟาดใส่จนเขาทรุดลงไปทันที บนแผ่นหลังปรากฏบาดแผลไหม้เกรียมนองโลหิตสายหนึ่ง…
“พระองค์เจ้า ขอร้องพระองค์ช่วยเหลือเขาด้วยเถิด!”
“พระองค์เจ้า หนึ่งเดือนมานี้เขาคุกเข่าอยู่ที่นี่มาโดยตลอด ไม่ได้จากไปเลยแม้แต่ครึ่งก้าว คุกเข่าจนขาแทบพิการแล้ว พระองค์เจ้า ขอร้องพระองค์โปรดเห็นแก่ความจริงใจในส่วนนี้ของเขาด้วยเถิดเพคะ หนนี้ให้อภัยเขาสักครั้งเถิด ขอเพียงไม่ขับไล่เขาออกจากสังกัด จะเป็นโทษทัณฑ์อันใดเขาก็ยอมรับทั้งนั้นเพคะ…” อูเชียนเหยียนที่คุกเข่าอยู่ด้านข้างร้องไห้จนแทบขาดใจแล้ว
กู้ซีจิ่วถอนหายใจ นี่คือลูกศิษย์ของเธอ ซ้ำยังกำหนดตัวไว้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งของเธอแล้วด้วย เธอย่อมไม่คิดจะขับไล่เขาออกไปอย่างแท้จริง
คาดว่าโทษทัณฑ์ในครั้งนี้คงเพียงพอให้เขาหลาบจำไปชั่วชีวิตแล้ว
เพียงพอแล้ว
“ฟั่นเชียนซื่อ หากว่าเจ้าสามารถรอดพ้นจากอัสนีด่านเคราะห์ไปได้อย่างปลอดภัย เปิ่นจุนจะพิจารณาเรื่องรับกลับเข้าสังกัดดู” ในที่สุดเธอก็เอ่ยออกไปแล้ว
ฟั่นเชียนซื่อเงยหน้าขึ้นมาทันที มองเธอด้วยดวงตาที่ลุกโชน ขยับริมฝีปากที่แตกระแหงไม่กี่ครา “ขะ…ขอบพระคุณอาจารย์!”
เขารีบโคจรเคล็ดตามที่กู้ซีจิ่วชี้แนะทันที…
อัสนีด่านเคราะห์ผ่าลงมาสายแล้วสายเล่า ฟาดใส่ร่างของเขา ผ่าลงบนกลุ่มแสง ฟาดใส่จนเขาล้มลุกคลุกคลานครั้งแล้วครั้งเล่า…
กู้ซีจิ่วอยู่ด้านนอกกลั้นหายใจนิดๆ จิตใจกระสับกระส่าย
อัสนีด่านเคราะห์ประเภทนี้ผู้ที่ฝ่าด่านเคราะห์ต้องทานรับด้วยตัวเอง หากว่าพลังยุทธ์ของเธอพรั่งพร้อมสมบูรณ์ ก็สามารถใช้อาคมพิเศษชนิดหนึ่งโยกย้ายอัสนีด่านเคราะห์มาไว้ที่ตนครึ่งหนึ่งได้ ต้านรับแทนเขา
แต่ตอนนี้พลังยุทธ์ของเธอไม่เพียงพอ ถ้าถูกฟ้าผ่าเข้า เกรงว่าจะทนรับไม่ไหว
นี่คือเคราะห์สวรรค์อย่างหนึ่ง ถ้าผ่านพ้นไปได้จะกลายเป็นซ่างเสิน ถ้าผ่านพ้นไปไม่ได้ก็จะกลายเป็นเถ้าธุลี ซ่างเซียนมากมายล้วนสิ้นชีพลงบนด่านเคราะห์สายนี้
กล่าวได้ว่า ซ่างเซียนเก้าในสิบไม่สามารถฝ่าด่านเคราะห์นี้ไปได้ ถึงแม้ฟั่นเชียนซื่อจะถือกำเนิดจากฟ้าดิน แตกต่างกับคนอื่น แต่ถึงอย่างไรช่วงที่ผ่านมาเขาคุกเข่าโดยไม่กินไม่ดื่มไม่นอนมาหนึ่งเดือนแล้ว ซ้ำยังรับอัสนีด่านเคราะห์เข้าไปเต็มๆ สองสายแล้ว ร่างกายบาดเจ็บสาหัส เขาจะผ่านพ้นไปได้ไหมนะ?
เธอมีศิษย์คนนี้แค่คนเดียว ไม่มีเวลาไปเสาะหาศิษย์คนที่สองแล้วด้วย…
ฟั่นเชียนซื่อเป็นอัจฉริยะจริงๆ แต่พอเขารับอัสนีด่านเคราะห์ไปได้สามสิบสาย ทั้งร่างคนก็ถูกผ่าจนแทบจะเป็นตอตะโกแล้ว ฟุบอยู่ตรงนั้นลุกไม่ขึ้น
กู้ซีจิ่วกำมือแน่น ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเขาฝ่าไปไม่ได้แน่!
เธอเงยหน้ามองท้องฟ้า อธิษฐานอยู่ในใจไม่กี่ประโยค ‘หากว่าเขาคือว่าที่เทพผู้สร้างโลกคนถัดไป ก็ขอให้ข้าช่วยรับอัสนีด่านเคราะห์ที่เหลือให้เขาได้ หากว่าไม่ใช่ ก็ขอให้ข้ารับไม่ได้!‘
พลันตัดสินใจ ทะยานขึ้นไป…
กู้ซีจิ่วบาดเจ็บสาหัส ถูกสายฟ้าฟาด
ฟั่นเชียนซื่อก็ยังรอดอยู่เช่นกัน แน่นอน เขาบาดเจ็บสาหัสยิ่งกว่า หลังจากอัสนีด่านเคราะห์ผ่านพ้นไป เขาก็ร่วงหล่นจากก้อนเมฆ โลหิตบนร่างไหลนองเต็มพื้น ฟุบอยู่ตรงนั้นลุกไม่ขึ้นเลย
กู้ซีจิ่วยังว่าดี ภายนอกยังครบถ้วนสมบูรณ์ดี แต่มีเพียงตัวเธอเท่านั้นที่รู้ กระดูกแขนขาเจ็บปวดปานจะหลุดแยกพังทลาย ยามที่ยืนอยู่ตรงนั้น สองขาสั่นระริกไปหมด…
ฟั่นเชียนซื่อพยายามตะเกียกตะกายอยู่บนพื้นอย่างสุดชีวิตหมายจะคลานเข้ามาหาเธอ ทว่าถูกสายตาเยียบเย็นของเธอตรึงไว้ตรงนั้น
————————————————————————————-
บทที่ 2850 ด่านเคราะห์ 3
ฟั่นเชียนซื่อพยายามตะเกียกตะกายอยู่บนพื้นอย่างสุดชีวิตหมายจะคลานเข้ามาหาเธอ ทว่าถูกสายตาเยียบเย็นของเธอตรึงไว้ตรงนั้น “รอให้เจ้าหายดีแล้ว ขอลงโทษให้เจ้าสำนึกตนอยู่ที่หลังเขาเป็นเวลาหนึ่งปี!”
ฟั่นเชียนซื่อได้ยินน้ำเสียงของนางยังคงเปี่ยมไปด้วยความโกรธเกรี้ยว จึงสบายใจขึ้นเล็กน้อย โขกศีรษะรับคำสั่ง
เนื่องจากรู้มานานแล้วว่าศิษย์จะต้องฝ่าด่านเคราะห์ในระยะอันใกล้นี้ กู้ซีจิ่วจึงจัดเตรียมโอสถไว้ค่อนข้างพรั่งพร้อม โยนไปให้อูเชียนเหยียน ให้นางเอาไปใช้กับฟั่นเชียนซื่อ พลางให้ดูแลจนกว่าเขาจะเคลื่อนไหวด้วยตัวเองได้
ส่วนตัวเธอเองก็ฝืนขี่เมฆาเหินขึ้นไป
“อาจารย์ ท่านจะไปไหนขอรับ?” น้ำเสียงแหบโหยของฟั่นเชียนซื่อแว่วขึ้นมาจากด้านหลัง
กู้ซีจิ่วไม่เอ่ยตอบเขา ถึงขั้นไม่เหลียวกลับไปเลย จากไปทันที
อูเชียนเหยียนกลับโล่งอก เข้ามาพยุงฟั่นเชียนซื่อ มองดูรอยแผลที่มีอยู่ทั่วร่างเขา สะท้านใจขึ้นมา “นายน้อยวางใจเถิดเจ้าคะ พระองค์เจ้าอิทธิฤทธิ์ล้นเหลือ อัสนีด่านเคราะห์เหล่านี้ทำอันตรายท่านอย่างแท้จริงมิได้หรอก พระองค์จากไปเพราะมีภารกิจอื่นแน่นอน นายน้อยไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องของท่านแล้วเจ้าค่ะ…”
กล่าวยังไม่ทันจบ ฟั่นเชียนซื่อก็สลบเอนซบบนร่างนางแล้ว
….
กู้ซีจิ่วพลัดหล่นลงมาจากก้อนเมฆสองหน
สุดท้ายเธอจึงไม่เหาะขึ้นไปต่อแล้ว แต่สูดหายใจแล้วดำลงใต้ดินไปเสียเลย
เธอจะต้องไปบำเพ็ญที่แดนน้ำแข็งแห่งนั้นแล้ว!
มิเช่นนั้นเกรงว่าหนนี้คงต้องดับขันธ์แล้ว…
เธอสัมผัสถึงความเจ็บปวดที่คล้ายกำลังดึงทึ้งดวงวิญญาณในร่างอยู่ ราวกับมีพลังประหลาดอย่างหนึ่งกำลังฉีกทึ้งตัวเธอ ต้องการกระชากดวงวิญญาณเธอออกเป็นชิ้นๆ…
ระหว่างทางเธอกินยาลูกกลอนสำหรับต้านทัณฑ์อัสนีโดยเฉพาะเข้าไปเจ็ดแปดเม็ดแล้ว แต่ยังคงหน้ามืดเป็นพักๆ อยู่ดี
ถ้าจะไปแดนน้ำแข็งแห่งนั้นก็จำเป็นต้องดำดินไป และกู้ซีจิ่วก็ไม่ใคร่เชี่ยวชาญวิชาดำดินเท่าไหร่
ยามปกติน่ะไม่เป็นไร ทว่าครั้งนี้รู้สึกลำบากยากเย็นยิ่ง เวลาที่เธอดำดินมุ่งไปด้านหน้าจะหายใจไม่ออกอย่างยิ่ง ระหว่างทางต้องโผล่ออกไปสูดอากาศบนผิวดินอยู่สามสี่ครั้ง
ไม่ง่ายเลยกว่าเธอจะมาถึงแดนน้ำแข็งได้ ตัวคนค่อนข้างสะโหลสะเหลแล้ว หน้ามืดเป็นพักๆ ยิ่งกว่าเดิม
ระดับความเร็วในการมุดออกมาของเธอทั้งรวดเร็วและเร่งร้อน คล้ายว่าจะชนถูกร่างของสิ่งใดด้วย ชนจนสิ่งนั้นกระเด็นออกไป
เธอล้มลงนั่งบนพื้น สมองวิงเวียน การชนครั้งนี้ไม่เบาเลย เธอตาลายจนเห็นนกน้อยบินว่อนแล้ว ทำให้เธอมองเห็นอะไรไม่ชัดเจนไปชั่วขณะ
“นี่พระองค์เจ้าทำอันใดอยู่?!” น้ำเสียงยะเยือกสายหนึ่งแว่วขึ้นไม่ไกล เนื้อเสียงกระจ่างดึงดูด ดุจหยกแว่วใต้จันทรา
กู้ซีจิ่วขยี้ตา ดวงตายังคงพร่าเลือนอยู่ เพียงแต่มองเห็นเงาสีม่วงสายหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกลได้รางๆ แล้ว
เธอสูดหายใจเข้าไป แล้วก็สูดเข้าไปอีก
ตอนนี้เธอหูอื้อผสมตาลาย มองไม่ชัดฟังไม่ได้ยิน เพียงแต่สติสัมปชัญญะยังคนรับรู้ได้อย่างเลือนราง
คนที่สามารถมายังแดนน้ำแข็งแห่งนี้ใด้จะนึกถึงใครอื่นไปไม่ได้แล้ว
…ตี้ฝูอี
ไม่คิดเลยว่าจะได้พบกับเขาที่นี่…
สายลมหนาวของที่นี่เสียดแทงเข้าไปถึงกระดูกคนได้ ตอนนี้กู้ซีจิ่วอ่อนแออย่างยิ่ง ทันทีที่โผล่ออกมาก็หนาวจนแทบแข็งทื่อแล้ว
ในความสะลึมสะลือเธอรับรู้ได้ว่า ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างล่ะก็ เธอจะกลายเป็นประติมากรรมน้ำแข็งชิ้นหนึ่งของที่นี่อย่างแน่นอน!
ด้วยสัญชาตญาณ เธอจรดนิ้วร่ายมุทรา พึมพำอาคมสองสามประโยคออกมา ชี้ไปยังทิศทางที่ตี้ฝูอีอยู่ จากนั้นเธอก็สลบไปเลย…
….
ยามที่ตื่นขึ้นมาอีกครั้งกู้ซีจิ่วพบว่า ตนนอนอยู่ในกระท่อมน้ำแข็งหลังหนึ่ง นอนอยู่ในอ้อมแขนของคนผู้หนึ่ง
เธอทึ่มทื่อไปชั่วครู่ ปรือตาขึ้นมาเล็กน้อย มองเห็นใบหน้าที่หล่อเหลาเลิศล้ำจนฟ้าดินเปลี่ยนสีดวงนั้นของตี้ฝูอี เขาหลุบตามองเธออยู่ ใบหน้าไร้อารมณ์
ส่วนเธอก็นอนซุกอยู่ในอ้อมกอดเขาเหมือนแมว
อ้อมกอดเขาอบอุ่นยิ่ง ยามที่โอบเธอเอาไว้เช่นนี้ เสมือนเธอได้นอนอยู่ในรังนอนที่แสนอบอุ่น
สายลมหนาวด้านนอกพัดอื้ออึง ภายในกระท่อมอบอุ่นดุจฤดูใบไม้ผลิ
————————————————————————————-