เมื่อได้ยินว่ามีข่าวเกี่ยวกับดินแดนระดับสูง ทุกคนก็อดลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นเต้นไม่ได้ สายตาของพวกเขาต่างก็จับจ้องไปที่ลูกแก้ววิญญาณในมือของฉินอี้เฟยอย่างสงสัยใคร่รู้
“ท่านพี่ มีข่าวอะไรรึเจ้าคะ ?”
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือยืนขึ้นเช่นกัน หรือข่าวคราวที่หมายถึงจะมาจากฉินเฟยเหยียน ?
“เชิญทุกคนดูด้วยตัวเองเถอะ”
ฉินอี้เฟยเติมพลังมายาเข้าสู่ลูกแก้ววิญญาณเล็กน้อย จากนั้นวัตถุทรงกลมก็ลอยสูงขึ้นกลางอากาศและเริ่มหมุนตัวอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นเพียงไม่นาน ร่างวิญญาณร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน
“ท่านอาจารย์!”
ทันทีที่เห็นรูปลักษณ์ของร่างวิญญาณได้อย่างชัดเจน ฉินเทียนก็ลุกพรวดและตะโกนออกไป
ร่างวิญญาณผู้นี้มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นอาจารย์ของเขา—ผู้เฒ่าเซียวเหยานั่นเอง
“เทียนเอ๋อร์…ไม่ได้พบกันนานจริง ๆ”
ผู้เฒ่าเซียวเหยามองศิษย์ของตนและพยักศีรษะอย่างพึงพอใจ สำหรับศิษย์คนนี้ เขาภาคภูมิใจและเชื่อมั่นในตัวอีกฝ่ายมาเสมอไม่เคยเปลี่ยน ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่ง พรสวรรค์หรือความคิดจิตใจ คุณสมบัติของฉินเทียนก็ล้วนไม่ธรรมดาเลยสักนิด หากมิใช่เพราะมีคุณสมบัติเหล่านี้ เขาก็ไม่มีทางที่จะประสบความสำเร็จมากเช่นนี้อย่างแน่นอน
“ท่านอาจารย์ ตอนนี้ท่านอยู่ที่ใด ? ท่านได้ข่าวเกี่ยวกับเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์บ้างหรือไม่ขอรับ ?”
ฉินเทียนปรี่ตรงเข้าไปหยุดตรงหน้าร่างวิญญาณและยื่นมือออกไปหมายจะโผกอดอาจารย์ที่เคารพรัก อย่างไรก็ตาม มือของเขากลับคว้าได้เพียงอากาศและไม่อาจสัมผัสคนตรงหน้าได้เลย
“เจ้าเด็กโง่เอ๋ย นี่เป็นเพียงเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของข้า เจ้าสัมผัสมันไม่ได้หรอก”
ผู้เฒ่าเซียวเหยายิ้มพลางส่ายศีรษะเบา ๆ ศิษย์คนนี้ของข้าดูจะใสซื่อและอ่อนหัดเสียจริง
“เจ้าคิดถูกแล้ว ตอนนี้ข้าอยู่ในดินแดนระดับสูงและครานี้ที่ข้าติดต่อมาก็เป็นเพราะข้าได้รับเบาะแสเกี่ยวกับเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์”
ผู้เฒ่าเซียวเหยาไม่ปล่อยให้ศิษย์สงสัยใคร่รู้นานจนเกินไป เขามีเวลาไม่มากนักและทำได้เพียงสรุปเรื่องราวให้กระชับที่สุด
ในอดีตครานั้น เมื่อฉินเทียนและอวี๋เสี่ยวอวิ๋นหายตัวไป ผู้เฒ่าเซียวเหยาก็สัมผัสทางจิตได้ทันที เขาตามรอยเส้นทางไปจนพบฉินเทียนก่อน ทว่าเมื่อได้ทราบว่าสถานการณ์ของฉินเทียนปกติดีแล้ว เขาจึงตามหาเบาะแสของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นต่อไป หลังจากติดตามอย่างยาวไกลจากดินแดนหวนหลิงมาถึงดินแดนเทพมายา เขาก็ได้ทราบว่านางถูกคนของฝ่ายมารจับตัวไปจึงรีบมุ่งหน้าไปที่นั่น ทว่าน่าเสียดายที่กว่าเขาจะไปถึงที่นั่น อวี๋เสี่ยวอวิ๋นก็ได้รับการช่วยเหลือจากใครบางคนไปแล้ว
ในตอนนั้นผู้เฒ่าเซียวเหยาโกรธเกรี้ยวอย่างมากและเกิดการต่อสู้ที่ดุเดือดขึ้นในฐานทัพของฝ่ายมารซึ่งทำให้ฮวาเฉินบาดเจ็บอย่างหนัก หลังจากนั้นเขาก็ตามรอยอวี๋เสี่ยวอวิ๋นไปถึงที่ดินแดนระดับสูง ทว่าด้วยความกว้างใหญ่จนแทบจะไร้ขอบเขตของดินแดนดังกล่าว เมื่อเขาไปถึงที่นั่น เบาะแสของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นก็หายไปอย่างสิ้นเชิง
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาพยายามตามหาอวี๋เสี่ยวอวิ๋นต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ ทว่าเขาก็เพิ่งสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างเมื่อก่อนหน้านี้เพียงไม่นาน
“ก่อนหน้านี้เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ปรากฏตัวอยู่กับขุมกำลังที่ชื่อว่านิกายหมื่นบุปผาในดินแดนระดับสูงของเรา ทว่าก็หายตัวไปหลังจากนั้น นิกายหมื่นบุปผาลึกลับซับซ้อนเกินไปและข้าก็ไม่มีทางที่จะแอบเข้าไปหรือหาทางสืบข้อมูลใดมาได้อย่างชัดเจน”
ผู้เฒ่าเซียวเหยากล่าวด้วยน้ำเสียงจนปัญญาไม่น้อย ใช่ว่าเขาไม่ต้องการไปที่นิกายหมื่นบุปผาด้วยตัวเอง ทว่าทุกสิ่งทุกอย่างในดินแดนระดับสูงล้ำลึกจนเกินจะหยั่งถึงและนิกายหมื่นบุปผาก็เป็นขุมกำลังที่ลึกลับซับซ้อนอย่างที่สุด ด้วยความสามารถของเขา เขาไม่มีทางที่จะเข้าไปที่นั่นได้เลย
อย่างไรก็ตาม ในเวลาเดียวกันนั้น เขาก็สัมผัสได้ว่าฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ สะสางปัญหาความวุ่นวายของดินแดนเทพมายาได้สำเร็จแล้ว เพราะเหตุนั้นเขาจึงส่งข่าวมาที่นี่โดยตรง
“นิกายหมื่นบุปผา ข้าจะจำชื่อนี้ไว้”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและจดจำชื่อของนิกายหมื่นบุปผาไว้ในใจ
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ เฟยเอ๋อร์ เทียนเอ๋อร์ ดินแดนระดับสูงนั้นซับซ้อนเกินกว่าที่พวกเจ้าจะจินตนาการได้มากนัก แม้เสี่ยวโม่เอ๋อร์และเทียนเอ๋อร์จะบรรลุระดับพลังสูงสุดของดินแดนเทพมายาแล้ว มันก็ยังอ่อนแอเกินไปและไม่คู่ควรที่จะกล่าวถึงในดินแดนระดับสูง เพราะฉะนั้นหากพวกเจ้าต้องการจะมาที่นี่ พวกเจ้าจะต้องพัฒนาฝีมือและพลังความแข็งแกร่งให้ได้ก่อน จากนั้นจึงจะมีทางตามหาเบาะแสของเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ได้ หากกล่าวตามตรง นิกายหมื่นบุปผาก็เปรียบเสมือนดั่งภูเขาที่ไม่อาจเอื้อมสำหรับพวกเจ้าในตอนนี้”
เขากล่าวย้ำเตือนฉินอวี้โม่ ฉินอี้เฟยและฉินเทียนด้วยกังวลว่าทั้งสามจะทำอะไรบุ่มบ่ามใจร้อนเพราะต้องการเห็นความสำเร็จในทันที ดินแดนระดับสูงและดินแดนเทพมายาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงซึ่งห่างไกลเกินกว่าที่ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ จะจินตนาการได้
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ พยักศีรษะตอบรับ ทว่าเมื่อตระหนักได้ว่าพวกตนไม่ทราบสิ่งใดเกี่ยวกับดินแดนระดับสูงเลยสักนิด ฉินอวี้โม่จึงเอ่ยถามออกไป “ท่านอาจารย์ เราจะไปที่ดินแดนแห่งนั้นได้อย่างไรหรือเจ้าคะ ?”
นางไม่ทราบเลยว่าค่ายกลเคลื่อนย้ายที่นำทางจากดินแดนเทพมายาไปยังดินแดนระดับสูงตั้งอยู่ที่ใด แม้แต่อู่เทียนฉิงและคนอื่น ๆ ที่อยู่ในดินแดนนี้มานานนับพันปี พวกเขาก็ไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับช่องทางที่จะนำไปสู่ดินแดนระดับสูงเลยสักนิด
“มันอยู่ในฐานทัพของฝ่ายมาร !”
ผู้เฒ่าเซียวเหยากล่าวออกมาอย่างเสียงดังฟังชัดก่อนที่ร่างของเขาจะค่อย ๆ สลายหายไป
“เทียนเอ๋อร์ เสี่ยวโม่เอ๋อร์ ข้าจะรอพวกเจ้าอยู่ที่ดินแดนระดับสูง !”
หลังจากที่ได้กล่าวทิ้งท้าย ร่างของเขาก็หายวับไปในอากาศ จากนั้นลูกแก้ววิญญาณก็แหลกสลายและกลายเป็นเถ้าถ่านล่องลอยหายไปในอากาศเช่นกัน…
ทั่วทั้งห้องโถงตกอยู่ในความเงียบสงัดทันที หลังจากนั้นทุกคนก็ทิ้งตัวนั่งลงอีกครั้ง
“เดิมทีข้าคิดจะถามเกี่ยวกับแผนการขั้นต่อไปของท่าน แต่ตอนนี้เห็นทีคงไม่จำเป็นแล้ว ในเมื่อดินแดนระดับสูงมีเบาะแสเกี่ยวกับมารดาของท่าน ท่านก็ควรจะไปที่นั่นเพื่อตามหามารดา”
ผู้อาวุโสอู่ซิงกล่าวขึ้น เขาเป็นคนที่รู้จักฉินอวี้โม่ก่อนผู้นำขุมกำลังคนอื่น ๆ ในที่นี้และทราบดีว่าการตามหาอวี๋เสี่ยวอวิ๋นนั้นสำคัญกับนางเพียงใด ฉินอวี้โม่เริ่มต้นจากศูนย์และค่อย ๆ พัฒนาต่อมาทีละก้าวนับตั้งแต่ดินแดนหวนหลิงมาถึงดินแดนเทพมายาและทั้งหมดนี้ก็เพื่อตามหาเบาะแสของมารดาที่พลัดพรากจากกันมานานหลายปี ตอนนี้ในเมื่อได้ทราบแล้วว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นอยู่ในดินแดนระดับสูง แน่นอนว่านางจะต้องหาทางไปที่นั่นโดยเร็วที่สุด
“ในเมื่อได้ทราบเบาะแสของท่านแม่แล้ว ข้าก็จะไปที่ดินแดนระดับสูงโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”
ฉินอวี้โม่ไม่ปฏิเสธและพยักศีรษะยืนยันการตัดสินใจของตน
“ข้าจะไปกับท่านด้วย”
เซิ่งเซียวกล่าวเสนอเป็นคนแรก ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้บรรลุขอบเขตนภาเซียนขั้นสูงสุดแล้วเช่นกันและจะทะลวงพลังต่อไปได้ก็ต่อเมื่อไปที่ดินแดนระดับสูงเท่านั้น
“ข้าก็จะไปด้วย”
อวิ๋นซื่อเทียนกล่าวทันทีและตั้งใจจะเดินทางติดตามไปกับฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เช่นกัน
“พวกเราก็ด้วย”
เยว่ชิงเฉิงและสหายอีกหลายคนกล่าวเป็นเสียงเดียว คนเหล่านี้เป็นสหายกับฉินอวี้โม่มาตั้งแต่ต้น แน่นอนว่าพวกนางไม่ต้องการให้ฉินอวี้โม่มุ่งหน้าออกไปท่องดินแดนอันกว้างใหญ่เพียงลำพังอย่างแน่นอน
“ชิงเฉิง ผู้เฒ่าเซียวเหยาก็เพิ่งบอกว่าดินแดนระดับสูงนั้นทรงพลังเกินกว่าที่เราจะคาดเดาได้และแม้แต่จอมยุทธ์นภาเซียนขั้นสูงสุดก็เป็นเพียงมดปลวกตัวเล็ก ๆ สำหรับที่นั่น ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเจ้าในตอนนี้ เกรงว่าอาจจะเสี่ยงอันตรายเกินไป เพราะเหตุนั้น ข้าคิดว่าข้าและเซิ่งเซียวควรไปกับฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ ส่วนเจ้าและสหายคนอื่นอยู่ที่ดินแดนเทพมายาเพื่อฝึกวิชาต่อไปก่อนจะดีกว่า”
ก่อนที่ฉินอวี้โม่จะได้กล่าวสิ่งใด อวิ๋นซื่อเทียนก็เป็นผู้ที่เอ่ยคัดค้านเยว่ชิงเฉิงและคนอื่น ๆ ไว้
ด้วยสถานการณ์ก่อนหน้านี้ ทุกคนก็ควรจะเข้าใจถึงความน่าสะพรึงกลัวของดินแดนระดับสูงได้เป็นอย่างดี แม้ด้วยความแข็งแกร่งของพวกนางในตอนนี้เองก็ไม่มีทางที่จะจินตนาการได้เลยว่าจะเป็นอย่างไรเมื่อไปถึงดินแดนระดับสูง ทว่าเยว่ชิงเฉิงและเหล่าสหายอีกหลายคนก็มีพลังที่ด้อยกว่าพวกนางอีกมากนัก เพราะเหตุนั้น ต่อให้พวกนางจะเดินทางไปด้วย พวกนางก็จะไม่มีส่วนช่วยอะไรได้มากนัก หนำซ้ำก็อาจจะกลายเป็นภาระตัวถ่วงเช่นกัน
“ใช่ ตอนนี้ผู้อาวุโสอู่เทียนฉิง ผู้อาวุโสหลี่อีหราน รวมถึงผู้อาวุโสอู๋หมิงก็อยู่ที่นี่ก่อนจะดีกว่า ส่วนพวกเจ้าเองก็ควรอยู่ที่นี่จนกว่าจะบรรลุขอบเขตนภาเซียนขั้นสูงสุดได้ เราสองคนจะติดตามไปที่ดินแดนระดับสูงกับอวี้โม่ โม่ฉือและท่านลุงฉินเอง”
เซิ่งเซียวกล่าวเสริมวาจาของอวิ๋นซื่อเทียนเช่นกัน ทว่าด้วยเหตุผลบางประการ ฉินอวี้โม่รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลระหว่างทั้งสองคน
ดูเหมือนว่าเขาจะพยายามเกาะติดกับอวิ๋นซื่อเทียนไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ทว่าอวิ๋นซื่อเทียนก็เหมือนจะไม่เข้าใจอะไรมากนัก…
“เข้าใจแล้ว”
เยว่ชิงเฉิงและคนอื่น ๆ ไม่พยายามดึงดัน พวกนางทราบดีว่าสิ่งที่อวิ๋นซื่อเทียนและเซิ่งเซียวกล่าวมาล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น ด้วยความแข็งแกร่งของเขาและอวิ๋นซื่อเทียน การติดตามไปยังดินแดนระดับสูงน่าจะเป็นส่วนช่วยฉินอวี้โม่ได้จริง ในขณะที่พวกนางคงเป็นได้เพียงภาระตัวถ่วงหากยืนกรานจะตามไปในตอนนี้
“ถ้าเช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ เสี่ยวโม่เอ๋อร์…เจ้าอย่าปฏิเสธเด็ดขาด เมื่อไปที่ดินแดนนั้น เจ้าจะต้องการความช่วยเหลือแน่”
อวิ๋นซื่อเทียนตัดสินใจอย่างแน่วแน่ และเมื่อเห็นฉินอวี้โม่อ้าปากกำลังจะกล่าวบางอย่าง นางก็รีบปรี่ตรงเข้าไปและยกมือปิดปากอีกฝ่ายไว้ทันที
“พี่ซื่อเทียน…ข้าเพียงจะบอกว่าเราจะออกเดินทางกันในอีกห้าวัน”
ฉินอวี้โม่ผลักมือของอวิ๋นซื่อเทียนออกไปอย่างช้า ๆ พลางกลอกตาไปมา นางไม่ได้คิดที่จะปฏิเสธแม้แต่น้อยทว่าเห็นด้วยกับการวางแผนของอวิ๋นซื่อเทียนและเซิ่งเซียวอย่างมาก แท้ที่จริงนางเองก็คิดจะเตรียมการในรูปแบบเดียวกัน
“ฮ่า ๆ ๆ”
เมื่อเห็นการกระทำของอวิ๋นซื่อเทียน ทุกคนก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ เวลานี้บรรยากาศในห้องโถงก็เปี่ยมไปด้วยความผ่อนคลายและความรื่นรมย์
หลังจากได้ข้อสรุปว่าจะออกเดินทางในอีกห้าวันข้างหน้า คณะเดินทางทุกคนก็แยกย้ายกันออกไปเตรียมความพร้อมในส่วนของตน
“พี่ใหญ่ เสี่ยวโร่ว ครานี้ไม่ต้องไปกับข้าหรอก”
ภายในห้องพัก ฉินอวี้โม่จับมือเสี่ยวโร่วและฉินอี้เฟยขณะกล่าวขึ้นเบาๆ
สำหรับการเดินทางไปดินแดนระดับสูงในครานี้ คนทั้งสองไม่ได้ถูกนับรวมอยู่ในคณะเดินทางของนางด้วย
ฉินอี้เฟยมีพรสวรรค์ในการหลอมโอสถเป็นอย่างยิ่งและความแข็งแกร่งของเสี่ยวโร่วก็ถือว่าไม่อ่อนแอเช่นกัน อย่างไรก็ตาม มีเรื่องบางอย่างที่ฉินอวี้โม่เชื่อใจได้เพียงสองคนนี้เท่านั้น
“คุณหนู…ข้าจะไม่เป็นภาระของท่านแน่ ให้ข้าไปด้วยเถอะนะ”
เสี่ยวโร่วแสดงสีหน้าเสียใจ นางคิดไปว่าฉินอวี้โม่กังวลว่าตนอาจเป็นภาระตัวถ่วงจึงสั่งให้นางอยู่ที่นี่ต่อไป
“เสี่ยวโร่ว ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น ที่ข้าบอกให้เจ้าและพี่ใหญ่อยู่ที่นี่ก็เพราะมีเรื่องสำคัญต้องขอให้ช่วย”
ฉินอวี้โม่แตะมือของเสี่ยวโร่วและกล่าวต่อ “ดินแดนระดับสูงเต็มไปด้วยอันตรายรอบด้าน เราไม่ทราบเลยว่าสถานการณ์ที่นั่นเป็นอย่างไร ข้าจึงไม่คิดที่จะพาเจ้าหนูทั้งสองไปด้วย ตัวข้า โม่ฉือและท่านพ่อจะไปที่นั่นด้วยกัน ส่วนเจ้าหนูทั้งสอง…ข้าคงต้องวานให้เจ้าและพี่ใหญ่ช่วยดูแล”
แม้ฉินอวี้โม่จะไม่ต้องการแยกจากเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่ แต่นางก็จำต้องแยกจากกันเป็นการชั่วคราวเพื่อความปลอดภัยของทั้งสอง
ทั้งนางและหานโม่ฉือมิอาจจินตนาการได้เลยว่าสถานการณ์ในดินแดนระดับสูงจะเป็นอย่างไร ทว่าจากสิ่งที่ผู้เฒ่าเซียวเหยาเตือนไว้ ดินแดนแห่งนั้นทรงพลังและเต็มไปด้วยภยันตราย แม้จะมีคฤหาสน์เฟิงหัว มันก็อาจไม่ปลอดภัยที่จะพาบุตรน้อยทั้งสองไปด้วยและทางที่ดีที่สุดคือการให้ทั้งสองอยู่ที่ดินแดนเทพมายาไปก่อนและรอจนกระทั่งมั่นใจว่าสถานการณ์ในดินแดนระดับสูงคงที่ก่อนกลับมารับตัวพวกเขาอีกครั้ง
“แต่ว่า…”
เสี่ยวโร่วยังคงลังเล นางเข้าใจความหมายของฉินอวี้โม่แล้วทว่ายังคงไม่เต็มใจยอมรับนัก
“เสี่ยวโร่ว เชื่อฟังเสี่ยวโม่เอ๋อร์เถอะ”
ฉินอี้เฟยตัดสินใจในทันทีและพยักหน้าตอบรับคำขอของฉินอวี้โม่
แม้เขาจะไม่สามารถช่วยอะไรได้มากนัก ทว่าสิ่งที่เขาพอจะทำได้ในตอนนี้ก็คือการช่วยมิให้ฉินอวี้โม่ต้องกังวลใจจนเกินไป สำหรับเด็กน้อยทั้งสอง เขาจะดูแลปกป้องด้วยชีวิตของตนและรักทั้งสองราวกับเป็นบุตรของเขาเอง
“พี่ใหญ่ ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่โผเข้าสู่อ้อมกอดของพี่ชายเหมือนเด็กน้อยและกล่าวด้วยเสียงหวาน
“ขอบคุณอะไรกันเล่า ถึงอย่างไรข้าก็เป็นลุงของเจ้าหนูทั้งสอง เจ้าเองก็ต้องดูแลตัวเองให้ดีด้วยล่ะ”
ฉินอี้เฟยลูบศีรษะของฉินอวี้โม่อย่างอบอุ่นเช่นเดิม ในเมื่อตอนนี้พี่ชายอย่างเขาปกป้องน้องสาวไม่ได้ สิ่งที่ดีที่สุดที่เขาทำได้ก็คือการไม่เหนี่ยวรั้งนางไว้…
“อ้ายโม่ อ้ายฉือ เจ้าทั้งสองจงเชื่อฟังท่านลุงและท่านน้าด้วยล่ะ แม่กับพ่อจะไปตามหาท่านยาย เมื่อได้พบท่าน เราจะกลับมาและครอบครัวของเราก็จะอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง”
ฉินอวี้โม่กอดบุตรน้อยทั้งสองไว้แน่นและกล่าวกำชับ
ทั้งสองก็เป็นเด็กเฉลียวฉลาดและเข้าใจความหมายของมารดาได้ไม่ยาก
“ท่านแม่ ท่านพ่อ ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ เราจะเชื่อฟังและไม่ดื้อไม่ซน ข้าจะดูแลน้องอ้ายฉือเอง”
เสี่ยวอ้ายโม่หอมแก้มฉินอวี้โม่และกล่าวตอบอย่างชัดเจน
“ข้าจะดูแลน้องอ้ายโม่เอง”
เสี่ยวอ้ายฉือกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยทว่าแสดงจุดยืนอย่างชัดเจน
“เจ้าต่างหากที่เป็นน้องชาย”
เสี่ยวอ้ายโม่หันขวับไปมองคู่แฝดของตนและทั้งสองก็เริ่มโต้เถียงกันเรื่องเดิมอีกครั้ง…
ภายในพริบตา เวลาห้าวันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว และในวันนี้คณะเดินทางของฉินอวี้โม่ก็กล่าวร่ำลาทุกคนก่อนออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังฐานที่มั่นของฝ่ายมาร…