ตอนที่ 742 การเตรียมการหลังสงคราม

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว ฉินอวี้โม่นั่งลงเพื่อพูดคุยกับผู้อาวุโสใหญ่ของชนเผ่าอู่ซินและคุณยายฮวาจากฝ่ายมาร

“คุณยายฮวา เจ้ารู้จักคนทั้งสองก่อนหน้านี้รึไม่ ?”

นางเอ่ยถามขณะมองผู้อาวุโสเจ็ดของฝ่ายมารอย่างไม่วางตาเพื่อจับผิดความเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าท่าทางของอีกฝ่าย

“ฉินอวี้โม่ ไม่ต้องหยั่งเชิงข้าหรอก เมื่อพันปีก่อน ข้าได้พบกับผู้แข็งแกร่งจากดินแดนระดับสูงจริง ทว่ามิใช่สองคนนั้น ปัญหาใหญ่ที่ข้าหมายถึงก่อนหน้านี้ก็เกี่ยวข้องกับดินแดนระดับสูงจริง ๆ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้บุรุษผู้นั้นก็เก็บตัวบ่มเพาะวิชาอยู่และปัญหาที่ว่านั่นก็คงจะไม่เกิดขึ้นอีก”

คุณยายฮวากล่าวตอบตามตรงโดยไม่คิดปิดบังสิ่งใดอีกต่อไป

สาเหตุที่นางไม่ได้เข้าร่วมสงครามเมื่อพันปีก่อนก็เป็นเพราะได้รับคำสั่งให้ไปพบกับผู้แกร่งกล้าจากดินแดนระดับสูงจริงและบุรุษผู้นั้นก็มีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับฝ่ายมาร อย่างไรก็ตาม หลังจากฮวาเฉินพลาดท่าและเพลี่ยงพล้ำไปเมื่อพันปีก่อน คนผู้นั้นก็ไม่เคยปรากฏตัวให้เห็นอีกเลย

“เข้าใจแล้ว”

ฉินอวี้โม่กล่าวตอบและมองตรงไปยังคุณยายฮวาและผู้อาวุโสใหญ่ของชนเผ่าอู่ซินเป็นเวลาครู่หนึ่ง

“พวกเจ้าไปเถอะ”

ในเมื่อฝ่ายมารถูกทำลายไปแล้ว ทั้งสองก็ไม่เป็นภัยคุกคามต่อนางและคนอื่น ๆ อีกต่อไป เพราะเหตุนั้นฉินอวี้โม่จึงไม่คิดสังหารคนทั้งสองและตั้งใจจะปล่อยพวกเขาไป

“เจ้าจะไม่ฆ่าพวกเรารึ ?”

คุณยายฮวาและผู้อาวุโสใหญ่ของชนเผ่าอู่ซินกล่าวด้วยความประหลาดใจไม่น้อย เดิมทีพวกเขาคิดว่าในเมื่อถูกจับขังไว้ที่นี่ ฉินอวี้โม่คงไม่มีทางปล่อยตนไปแน่ ไม่คิดเลยว่านางจะเมตตาและไว้ชีวิตพวกตนเช่นนี้

“ข้าไม่เคยคิดที่จะฆ่าพวกเจ้า”

ฉินอวี้โม่เพียงยิ้มบาง ๆ นางมิใช่คนป่าเถื่อนหรือมีจิตใจโหดเหี้ยม ตราบใดที่ฝ่ายตรงข้ามไม่เป็นภัยต่อตนอีกต่อไป นางก็ไม่คิดสังหารคนเหล่านั้น

“โอ้…ในที่สุดข้าก็เข้าใจว่าเหตุใดเจ้าจึงได้รับความเคารพจากผู้คนมากมาย”

คุณยายฮวากล่าวพร้อมรอยยิ้ม ในที่สุดนางก็ได้เข้าใจแล้วว่าเหตุใดสตรีจอมยุทธ์ที่อายุน้อยผู้นี้จึงเป็นที่เคารพจากคนมากมายและได้รับความรักจากทุกคน

“ฉินอวี้โม่ ข้าจะให้สิ่งนี้กับเจ้า…ตอนนี้พวกเราชนเผ่าอู่ซินเหลือสมาชิกเพียงข้าและฮวาเหยียนอวี่เท่านั้น ก่อนหน้านี้ข้าก็ใช้วิชาที่ท้าทายอำนาจสวรรค์และชีวิตของข้าคงจะอยู่ได้อีกไม่นาน การที่ความคิดจิตใจของฮวาเหยียนอวี่ไม่ถูกต้อง นั่นก็เป็นผลจากการใช้วิชาของชนเผ่าอู่ซินมากเกินไป การฝึกวิชาของชนเผ่าเราจะต้องเป็นการศึกษาอย่างลึกซึ้งและเข้าใจถ่องแท้เท่านั้น ข้ารู้ว่าในอนาคตข้างหน้าเจ้าจะต้องได้ขึ้นไปที่ดินแดนระดับสูงเป็นแน่และเจ้าจะประสบความสำเร็จมากยิ่งกว่านี้ ข้าหวังว่าวิชาพิเศษของชนเผ่าอู่ซินจะสามารถช่วยเจ้าได้”

ผู้อาวุโสใหญ่ของชนเผ่าอู่ซินหยิบตำราเล่มหนึ่งออกมาและยื่นให้กับฉินอวี้โม่ซึ่งเป็นบันทึกเกี่ยวกับศาสตร์วิชาที่แปลกประหลาดหลายชนิดของชนเผ่าอู่ซิน

แท้ที่จริงแล้วพลังของชนเผ่าอู่ซินไม่ควรที่จะอ่อนแอเช่นนี้ เพียงแต่พวกเขาส่วนใหญ่ไม่สามารถฝึกวิชาของชนเผ่าได้จนบรรลุระดับสูงสุด แม้ฝึกฝนมานานกว่าพันปี ผู้อาวุโสใหญ่ของชนเผ่าก็ยังมีความเข้าใจเพียงบางส่วนเท่านั้นและฮวาเหยียนอวี่ก็เรียนรู้ได้เพียงเบื้องต้น หลังจากได้พูดคุยกันเพียงไม่นาน ผู้อาวุโสใหญ่ก็รู้สึกได้ว่าวิชาพิเศษมากมายเหล่านั้นจะมีบทบาทที่สำคัญและมีประโยชน์ใช้งานยิ่งกว่าหากอยู่ในเงื้อมมือของฉินอวี้โม่

“ถ้าเช่นนั้นก็ขอบคุณมาก”

ฉินอวี้โม่ไม่ปฏิเสธและรับตำราเล่มนั้นมา นางเองก็สงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับทักษะของชนเผ่าอู่ซินมากเช่นกัน จากข่าวลือที่ได้ยินมา วิชาของชนเผ่าอู่ซินไม่เพียงแต่ช่วยให้ควบคุมจิตใจของเป้าหมายได้เท่านั้น ทว่าหากได้ฝึกมันจนถึงระดับหนึ่ง ผู้ใช้วิชานั้นจะสามารถสอดแนมได้แม้กระทั่งความลับของสรวงสวรรค์ หากนางฝึกวิชาได้สำเร็จ นางก็อาจใช้วิชาของชนเผ่าอู่ซินเพื่อตามหามารดาที่พลัดพรากจากกันได้

“พี่ฮวา สงครามสิ้นสุดลงแล้วและเราทั้งสองก็ไม่มีทายาทลูกหลานต้องดูแล เราไปหาที่สงบ ๆ อยู่ด้วยกันเถอะ”

ผู้อาวุโสใหญ่ของชนเผ่าอู่ซินกล่าวกับคุณยายฮวาอย่างแผ่วเบา กล่าวได้ว่าทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอย่างยิ่งท่ามกลางคนมากมายของฝ่ายมาร ในเมื่อขุมกำลังล่มสลายไปแล้ว ทั้งสองจึงตัดสินใจสำหรับชีวิตข้างหน้าของตน พวกเขาต้องการใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติอันงดงามอย่างสันโดษโดยไม่ต้องเผชิญกับความวุ่นวายใดของโลกภายนอกอีกต่อไป

“เยี่ยม เยี่ยมเลย ข้าได้ยินมาว่าเกาะไร้กังวลเปรียบเสมือนสวรรค์บนดิน ไม่ทราบว่าอวี้โม่จะบอกกับผู้นำเกาะที่นั่นเพื่ออนุญาตให้เราทั้งสองเข้าไปอยู่อาศัยได้หรือไม่?”

คุณยายฮวานึกถึงเกาะไร้กังวลขึ้นมาและหัวใจก็สั่นไหวเล็กน้อย เกาะไร้กังวลเป็นสถานที่ที่เงียบสงบและมีทิวทัศน์ที่สวยงามอย่างยิ่ง หากได้ใช้ชีวิตบั้นปลายที่นั่นก็คงเป็นความสุขมากอย่างแน่นอน เพียงแต่สถานะของนางและผู้อาวุโสใหญ่ก็คงจะเป็นที่รังเกียจของผู้คน นางจึงไม่มั่นใจเลยว่าฉินอวี้โม่จะยอมช่วยหรือไม่

“ไม่ต้องกังวล เจ้าปิดผนึกพลังของพวกเราได้เลย เราเหนื่อยมามากแล้วและไม่คิดจะทำชั่วใด ๆ อีก หากได้ไปอยู่ที่เกาะไร้กังวล มันก็คงเหมาะสำหรับการใช้ชีวิตอย่างสงบสุขจริง ๆ”

เมื่อนึกขึ้นได้ถึงสถานะที่ผ่านมาของพวกตน นางก็กล่าวเสริมขึ้นมาเล็กน้อย

“ไม่หรอก ในเมื่อเจ้าทั้งสองอยากไปที่นั่น ข้าก็จะช่วยพูดให้ เกาะไร้กังวลเป็นที่ที่เหมาะกับการอยู่อาศัยอย่างเงียบสงบจริง ๆ หลังจากออกไปครานี้ ข้าจะติดต่อผู้นำเกาะอู๋ฉงและส่งเจ้าทั้งสองไปที่นั่น”

ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มและเชื่อว่าทั้งสองไม่มีเจตนามุ่งร้ายใด ๆ อีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น คุณยายฮวาและผู้อาวุโสใหญ่ของชนเผ่าอู่ซินก็มิใช่คนชั่วร้ายโดยพื้นฐานและยังมีความคิดดี ๆ อยู่บ้าง หากได้อาศัยอยู่ในเกาะไร้กังวลตามต้องการ ทั้งสองก็คงมีความสุขยิ่งกว่านี้

ทั้งสามพูดคุยกันต่อเล็กน้อยก่อนฉินอวี้โม่ส่งทั้งสองออกไป เดิมทีนางต้องการติดต่อกับอู๋ฉงทันทีทว่าคุณยายฮวาต้องการร่ำลาเด็กน้อยทั้งสองก่อน

ฉินอวี้โม่ก็ไม่คัดค้านและตอบตกลงอย่างว่าง่าย

“คุณยายฮวา หากมีเวลาว่างในอนาคตก็อย่าลืมมาหาพวกเราด้วยล่ะ !”

เสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่ไม่เกลียดชังหรือหวาดกลัวคนผู้นี้ อันที่จริง ไม่ว่าคุณยายฮวาจะมาที่นครล่าฝันเพราะจุดประสงค์ใด นางก็ดีกับเด็กน้อยทั้งสองและไม่เคยคิดร้ายใดๆ อีกทั้งก็ยังรักและเอ็นดูเด็กน้อยชายหญิงอย่างมาก

“ได้สิ ถ้ามีโอกาส…ข้าจะกลับมาหาเจ้าทั้งสองแน่ ๆ”

ดวงตาของคุณยายฮวาในตอนนี้แดงก่ำและน้ำตารื้นดวงตา เดิมทีนางเคยคิดว่าเด็กทั้งสองคงจะเกลียดตนเมื่อได้ทราบความจริงและคงจะไม่สนใจตนต่อไป ไม่คิดเลยว่าเด็กทั้งสองจะมีจิตใจที่โอบอ้อมอารีไม่ต่างจากบิดามารดา ตลอดการใช้เวลาด้วยกันมากกว่าสิบวัน คุณยายฮวาก็ปฏิบัติต่อเด็กทั้งสองเป็นอย่างดีเปรียบเสมือนเป็นหลานแท้ ๆของตนก็ว่าได้ มิฉะนั้น นางก็คงจะไม่ลงมือปรุงอาหารให้เด็กทั้งสองด้วยตนเองและเลือกที่จะปรุงอาหารใหม่ ๆ และมีประโยชน์ให้กับพวกเขาอยู่ตลอด

“คุณยายฮวา อย่าลืมคิดถึงพวกเราด้วยล่ะ เมื่อเราโตขึ้น เราจะไปที่เกาะไร้กังวลเพื่อไปเยี่ยมท่าน เมื่อถึงตอนนั้น..ท่านต้องทำอาหารอร่อย ๆ ต้อนรับพวกเราด้วยนะเจ้าคะ”

เสี่ยวอ้ายโม่ตรงเข้าไปหาคุณยายฮวาและโผเข้าหาอ้อมแขนก่อนกล่าวอย่างน่ารักน่าชัง

“ตกลง ข้าจะรอเจ้าทั้งสอง”

น้ำตาของคุณยายฮวาเริ่มหยดอาบแก้มทว่าใบหน้าแสดงถึงความโล่งใจอย่างที่สุด นางตระหนักแล้วว่าได้พบเรื่องดี ๆ มากมายในการเดินทางมานครล่าฝันครานี้ จากเดิมที่สิ้นหวังจนปัญญาทว่าตอนนี้ดูจะมีความผูกพันเกิดขึ้น

คุณยายฮวาและผู้อาวุโสใหญ่ไม่คุ้นเคยกับคนอื่น ๆ จึงกล่าวร่ำลาเพียงครอบครัวของฉินอวี้โม่ก่อนออกจากนครล่าฝันไปยังจุดหมายปลายทาง

“เหตุใดเจ้าจึงไม่บอกเสี่ยวอวี้โม่เกี่ยวกับเรื่องนั้นล่ะ ?”

ระหว่างทาง คุณยายฮวาและผู้อาวุโสใหญ่ของชนเผ่าอู่ซินก็พูดคุยกัน

เมื่ออยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวก่อนหน้านี้ ผู้อาวุโสใหญ่ได้ทำนายเหตุการณ์บางอย่างและเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับฉินอวี้โม่

“พี่ฮวา ความลับบางอย่างก็ไม่ควรที่จะเปิดเผยออกไป การบอกเสี่ยวอวี้โม่เกี่ยวกับเรื่องนั้นเป็นการล่วงหน้าจะไม่ได้ส่งผลดีใด ๆ ต่อนาง ยิ่งไปกว่านั้น เสี่ยวอวี้โม่ก็มีโชคชะตาที่ยิ่งใหญ่ ข้าเชื่อว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นางจะสามารถพลิกร้ายให้กลายเป็นดีได้เสมอและจะผ่านพ้นไปได้ทุกสถานการณ์”

ผู้อาวุโสใหญ่ของชนเผ่าอู่ซินยิ้มบาง ๆ พลางกล่าวออกไป มีเรื่องบางอย่างที่ฉินอวี้โม่ยังไม่ทราบ ทว่าเมื่อคำนวณจากเวลา มันก็น่าจะมาถึงในอีกไม่นาน…

เวลาเจ็ดวันก็ผ่านไปอย่างเงียบ ๆ หลังจากที่ฉินอวี้โม่ส่งคุณยายฮวาและผู้อาวุโสใหญ่ออกไปและจัดแจงบรรดาสมาชิกของฝ่ายมาร

ในวันนี้ อาการบาดเจ็บของทุกคนก็หายสนิทแล้วและมารวมตัวกันในห้องโถงของนครล่าฝันเพื่อหารือสำหรับแผนการต่อไป

“ตอนนี้ในเมื่อฝ่ายมารถูกกำจัดไปแล้วและดินแดนเทพมายาของเราก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ข้าขอเสนอให้เรารวมขุมกำลังทั้งหมดเข้ากับนครล่าฝันเพื่อทำให้ดินแดนเทพมายาของเราเป็นปึกแผ่นเดียวกันมากยิ่งขึ้น”

เซิ่งเซียวกล่าวความคิดของตนออกไป แท้จริงแล้วเขาไม่ต้องการสืบทอดตำแหน่งจ้าวอารามโชติช่วงคนต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น บุรุษลึกลับทรงพลังจากดินแดนระดับสูงทั้งสองคนก็ทำให้เขารู้สึกถึงภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ หลังจากไตร่ตรองนานหลายวัน เขาเชื่อว่าการตัดสินใจที่ดีที่สุดสำหรับดินแดนเทพมายาคือการรวมขุมกำลังทั้งหมดเข้าด้วยกัน มิฉะนั้นพลังอำนาจโดยรวมของดินแดนนี้ก็คงไม่มากพอที่จะประจันหน้ากับผู้แกร่งกล้าจากดินแดนระดับสูงได้

“ข้าเห็นด้วย วิหารทมิฬของเรายินดีที่จะอยู่ใต้อำนาจของนครล่าฝันและผนึกกำลังร่วมกันเพื่อกลายเป็นหนึ่งเดียวกันในอนาคต”

อู่เทียนฉิงกล่าวเสริมอย่างเห็นด้วย วิหารทมิฬและอารามโชติช่วงเป็นปฏิปักษ์กันมาตลอด ครานี้เมื่อเซิ่งเหยียนตายไป ความขัดแย้งระหว่างทั้งสองขุมกำลังก็ได้รับการสะสางไปโดยปริยาย ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะได้เห็นพวกเขาทั้งสองตัดสินใจอย่างเห็นพ้องตรงกันเช่นนี้

“พวกเราเกาะวายุนิ่งก็ไม่คัดค้าน แม้เราจะไม่แข็งแกร่งนัก ทว่าหลังจากนี้เราก็สามารถหลอมอาวุธอุปกรณ์ให้กับผู้คนในดินแดนเทพมายาได้”

อู๋หมิงกล่าวความคิดเห็นของตนเช่นกัน เกาะวายุนิ่งไม่เคยเข้าร่วมสงครามของแผ่นดินใหญ่มาก่อน ทว่าหลังจากเข้าร่วมสงครามครานี้ เขาก็วางแผนที่จะผนึกกำลังเข้ากับนครล่าฝันอย่างไม่ลังเล

อวิ๋นซื่อเทียน หลี่อีหรานและคนอื่นๆก็แสดงความเห็นกันออกมาโดยที่มีความคิดเหมือนๆกันนั่นก็คือความยินดีในการรวมขุมกำลังของตนเข้ากับนครล่าฝัน

นิกายหงส์มังกรและนครหมื่นอสูรยังไม่ได้แต่งตั้งผู้นำคนใหม่ ทว่าผู้อาวุโสระดับสูงที่เป็นตัวแทนชั่วคราวของขุมกำลังก็ไม่กล้าคัดค้านและกล่าวเห็นด้วยเช่นกัน

“ทุกคน…การผนึกกำลังของแผ่นดินใหญ่เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างแท้จริง ทว่าการผนึกกำลังรวมเข้ากับนครล่าฝันมิใช่สิ่งที่จำเป็น ข้าคิดว่าทุกขุมกำลังยังคงดำรงต่อไปเช่นเดิมได้ ตราบใดที่เรามีอุดมการณ์เดียวกันและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน”

ตั้งแต่ต้น นครล่าฝันเป็นเพียงขุมกำลังใหม่ที่ก่อตั้งได้ไม่นานเท่านั้นและมิใช่ขุมกำลังยักษ์ใหญ่ หากวิหารทมิฬและขุมกำลังอื่น ๆ ผนึกกำลังรวมกับนครล่าฝัน เกรงว่านครล่าฝันคงจะไม่มีพื้นที่รองรับพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น แต่ละขุมกำลังก็มีกฎเกณฑ์ปฏิบัติเดิมของตนมาตลอดและการเปลี่ยนแปลงมันเพื่อให้เข้ากับนครล่าฝันมิใช่สิ่งที่ดีนัก ทุกฝ่ายควรรักษามาตรฐานของตนไว้ ตราบใดที่ไม่มีการต่อสู้เกิดขึ้นอีก พวกเขาก็สามารถช่วยกันจับตาดูสถานการณ์และช่วยเหลือกันได้

“ท่านอวี้โม่พูดถูก ไม่จำเป็นหรอก สำหรับข้า…ข้าคิดว่าการเลือกท่านอวี้โม่เป็นผู้นำก็น่าจะเพียงพอ ส่วนขุมกำลังอื่น ๆ ทั้งหมดก็ดำรงอยู่เช่นเดิมต่อไป หากเกิดเรื่องขึ้นในอนาคต เราก็จะดำเนินการตามคำสั่งของท่านอวี้โม่ ส่วนในเวลาอื่นนอกจากนั้น เราก็ปกครองขุมกำลังของเราต่อไปอย่างสงบสุขและพัฒนาความแข็งแกร่งให้มากยิ่งขึ้น”

ผู้อาวุโสฝูหยาจือจากเผ่ามายาก็กล่าวเสนอขึ้นมาเพราะทราบดีว่าฉินอวี้โม่ไม่ต้องการสนใจเรื่องเล็กน้อยมากมายนัก

การก่อตั้งพันธมิตรที่ไม่รบกวนกันในเวลาปกติและผนึกกำลังเมื่อเกิดเรื่องถือเป็นทางเลือกปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับขุมกำลังจำนวนมากในดินแดนเทพมายา

“ตกลง เราจะทำเช่นนั้น”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น คนอื่น ๆ ก็ไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนเห็นด้วยกับข้อเสนอของผู้อาวุโสฝูหยาจือ

“คารวะท่านผู้นำ”

จากนั้นทุกคนก็ประสานกำปั้นก่อนหันไปทางฉินอวี้โม่และกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกจนปัญญาอยู่ไม่น้อย ทว่านางก็ไม่ได้ปฏิเสธใด ๆ

“อวี้โม่ เจ้าวางแผนจะทำอย่างไรต่อไปรึ ?”

หลังจากจัดการหลายสิ่งหลายอย่าง ทุกคนก็นั่งลงอีกครั้งและเอ่ยถามแผนการต่อไปของฉินอวี้โม่

ฉินอวี้โม่ครุ่นคิดกับตัวเองครู่หนึ่งและตัดสินใจว่าแผนการต่อไปของตนคือการหาทางไปที่ดินแดนระดับสูง เพียงแต่…นางไม่ทราบเลยว่าค่ายกลหรือเส้นทางนำไปสู่ดินแดนระดับสูงดังกล่าวนั้นอยู่ที่ใด ?

“อวี้โม่ ข้าได้ข่าวเกี่ยวกับดินแดนระดับสูง”

ทันใดนั้น ฉินอี้เฟยก็เดินเข้ามาจากข้างนอกพร้อมกับถือบางอย่างที่ดูคล้ายกับลูกแก้ววิญญาณอยู่ในมือ