อ๋องฉีนำผู้คนที่บาดเจ็บเดินหน้าต่อ ขณะหันกลับ หวงฝู่เย่าเย่ว์อดไม่ได้ที่จะหันไปมองแผ่นหลังของท่าป๋าหั่นหลิน พลันเกิดความรู้สึกแปลกขึ้นมาในใจ
คนทั้งหมดออกมาจากรัศมีของธนูแล้ว ฮั่วต้าสั่งหยุดยิงและนำทัพคนตามไป ล้อมรอบพวกของท่าป๋าหั่นหลินเอาไว้
ลูกน้องบังอยู่ด้านหน้าของท่าป๋าหั่นหลิน ในมือกำดาบไว้แน่น เตรียมพร้อมสู้กับชายชุดดำ
จุดประสงค์ที่ท่าป๋าหั่นหลินอยู่ก็เพื่อถ่วงเวลาชายชุดดำ ดังนั้นจึงไม่ได้ลงมือทันที แต่กลับยืนไขว้หลัง มองฮั่วต้าด้วยสายตาดูแคลน
หลายปีมานี้ ฮั่วต้าแม้จะแอบอยู่ในมุมมืด แต่ก็เป็นผู้นำในมุมมืด ไม่เคยมีผู้ใดใช้สายตาเช่นนี้มองเขามาก่อน จึงโกรธจนเสียสติ ยกดาบขึ้นมาโจมตีท่าป่าหั่นหลิน
ท่าป๋าหั่นหลินเตรียมรับมือ ทั้งสองต่อสู้กัน
ไม่มีคำสั่ง ชายชุดดำไม่กล้าลงมือ
คนฝั่งท่าป๋าหั่นหลินยังคงจับดาบไว้แน่น มองพวกเขาด้วยความระวัง ไม่กล้าประมาท
ทั้งสองสู้กันอยู่ครึ่งชั่วยาม ดูไม่ออกว่าผู้ใดจะชนะ ฮั่วต้าโกรธยิ่งขึ้น อ้าปาก เตรียมสั่งให้คนทั้งหมดมารุม แต่ไกลออกไปมีเสียงฝีเท้ามากมายดังขึ้น
ท่าป๋าหั่นหลินสติหลุด เป็นอ๋องฉีที่พาทุกคนกลับมา จึงได้โกรธจนมีเสียงดังลั่นในหัว กัดฟันกรอด
มองอ๋องฉีที่เปลี่ยนใจกลับมา ชายชุดดำตกใจ เข้าล้อมทันที
คนเหล่านั้นไม่มีเวลาหยุดพักหายใจ โบกดาบเริ่มฆ่าฟันทันที
ยังไม่เคยเห็นว่ามีใครที่คนของตนหนีไปแล้ว ส่วนตนวิ่งกลับมา ฮั่วต้าก็อึ้งไป
ท่าป๋าหั่นหลินอาศัยช่วงที่เขาเสียสมาธิ ใช้เท้าถีบดาบในมือเขากระเด็น จากนั้นเอื้อมมือไปบีบคอเขาไว้
ฮั่วต้าได้สติเอนหลัง หลบมือของเขา พร้อมทั้งใช้วิชาสู้กลับ
จัดการไม่ได้ในทีเดียว เสียโอกาสไป ท่าป๋าหั่นหลินไม่สู้ต่อ กระโดดไปยังที่ที่ไม่ห่างจากอ๋องฉีมากนัก ตบชายชุดดำใกล้ตนจนกระเด็นออก ถามด้วยความไม่เกรงใจว่า “หัวของเจ้าถูกลากินไปแล้วหรือ”
เมื่ออ๋องฉีได้ยินดังนั้น โกรธจนใช้ดาบฆ่าชายชุดดำตรงหน้า ตอกกลับไปด้วยความโกรธว่า “หัวข้ามิได้ถูกลากิน อย่าคิดเลยว่าเจ้าจะมาทวงบุญคุณโดยการสู่ขอเย่ว์เอ๋อร์ ฝันไปเถิด”
เป็นถึงท่านอ๋อง ความสง่า สุขุมสูงศักดิ์ บัดนี้ได้หายไปสิ้นแล้ว ในหัวมีเพียงความคิดเดียว ซึ่งก็คือต่อให้วันนี้ตนต้องสละชีวิตที่นี่ ก็ไม่ยอมติดหนี้บุญคุณเขา ทั้งยังไม่ยอมให้หลานสาวของตนออกเรือนกับคนฉวยโอกาสเช่นนี้ด้วย
แต่ท่าป๋าหั่นหลินไม่ได้มีความคิดเช่นนี้จริงๆ เมื่อครู่พูดที่กับฮั่วต้าเช่นนั้น เพื่อให้เขาเชื่อสนิทใจ ตนจะได้มีข้ออ้างลงมือ เมื่อได้ยินคำของอ๋องฉีดังนั้น จึงถีบชายชุดดำไปไกลๆ แล้วด่าว่า “หัวเจ้าถูกลากินไป หรือว่าในหัวมีแต่หญ้ากันแน่”
“เจ้า…” อ๋องฉีเติบโตมาในวังหลวง เมื่อเติบใหญ่ก็ได้ย้ายเข้ามายังจวนอ๋องของตน ไม่เคยได้สัมผัสคลุกคลีกับชาวบ้าน คำด่ามีไม่มาก เมื่อได้ยินคำของท่าป๋าหั่นหลินเช่นนั้นจึงอยากด่ากลับ แต่คิดไม่ออกว่าควรด่าว่าอะไรดี
ฮั่วต้าพอจะเข้าใจพอประมาณว่า ในทีแรกคนหนึ่งอยากสู่ขอ แต่อีกฝ่ายไม่ยอม ดังนั้นท่าป๋าหั่นหลินจึงได้รีบเข้าช่วยคน ยิ่งคนเช่นนี้ ยิ่งยากจะรับมือ
สถานการณ์ของอ๋องฉีและท่าป๋าหั่นหลินยากจะห้ามได้ แต่คนของพวกเขาเหลือไม่มาก หากยังสู้กันยืดเยื้ออยู่เช่นนี้ ทั้งสองคงต้องจบชีวิตที่นี่เป็นแน่ แต่อ๋องฉีหาได้กลัวไม่ เนื่องจากเขาได้จัดการให้องครักษ์ลับที่บาดเจ็บพาพระชายาและหลานสาวสทั้งสองหนีไปแล้ว เขาสู้กับชายชุดดำอย่างสุดกำลัง คงจะช่วยยื้อเวลาให้พวกนางได้
ครึ่งชั่วยามผ่านไป ชายชุดดำบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก พื้นที่ตรงนี้เหลือเพียงอ๋องฉี เซี่ยเฟิงและองครักษ์ลับสองนาย รวมทั้งท่าป๋าหั่นหลินและลูกน้องคนหนึ่งของเขา
ฝืมือของท่าป๋าหั่นหลินแข็งแกร่ง บัดนี้หากหนีเอาชีวิตรอดไปผู้เดียวไม่มีปัญหา คนของเขาใช้ภาษาของรัฐอิงขอร้องว่า “เจ้านาย ข้าจะอยู่ที่นี่ช่วยพวกเขา ท่านหนีไปเถิด หากไม่ไปตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วนะขอรับ”
ท่าป๋าหั่นหลินเม้มปาก มองดูสถานการณ์ตรงหน้า มองดูทรงผมที่ยุ่งเหยิง ร่างกายที่เต็มไปด้วยคราบเลือด ทั้งยังดูอ่อนแรงของอ๋องฉี แล้วหันมามองเซี่ยเฟิงที่แขนได้รับบาดเจ็บ แต่ยังคงปกป้องอ๋องฉีด้วยชีวิต ความคิดที่จะพาทุกคนเข้าไปสู้ ก็ค่อยๆ หายไป ไม่กล่าวอะไร เพียงแต่ใช้กำลังที่มากขึ้นเท่านั้น
สู้กันอยู่นาน แต่ไม่มีคนของทางการมา อ๋องฉีเข้าใจทันทีว่าคนของทางการมีส่วนร่วมด้วย จึงไม่ได้ส่งคนมาช่วยพวกเขา หากอยากมีชีวิตต่อ ก็มีเพียงฆ่าคนเพื่อเปิดทางเท่านั้น
ในคืนที่เงียบสงัด ไม่มีเสียงโอดครวญของผู้ตาย มีเพียงเสียงดาบแทงทะลุร่างดังไกลออกไป ในเสียงที่เงียบแต่วุ่นวายนี้ เสียงเกือกม้าใกล้เข้ามาดังสนั่นเป็นพิเศษ
ฮั่วต้าขมวดคิ้ว อ๋องฉีก็ขมวดคิ้วลงด้วยเช่นกัน คนทั้งหมดเงยหน้าขึ้นมอง ม้าสีขาว สูงสง่าตัวหนึ่งลากรถม้าสีดำสนิทใกล้เข้ามา ขาวดำสลับกัน ยิ่งดูแปลกตาในคืนเงียบสงัดเช่นนี้
คนรถสวมชุดดำกางเกงดำ ผ้าดำปิดหน้า มองเห็นหน้าตาไม่ถนัด เห็นเพียงดวงตาชัดเจนสองดวงที่โผล่ออกมาด้านนอก
คนทุกผู้หยุดการต่อสู้ลงเพราะความสงสัย มองดูรถม้าใกล้เข้ามาอย่างงุนงง
“หยุดนะ!” ฮั่วต้าได้สติกลับมา ตะโกนเสียงดัง
ราวกับว่าคนม้าไม่ได้ยิน ความเร็วของรถม้าไม่เพียงไม่ลดลง ซ้ำยังเร็วขึ้นด้วย
คนตรงนั้นเกรงว่าจะถูกม้าเหยียบเข้า จึงได้หลบหลีกทางให้
รถม้ามายังตรงหน้าของอ๋องฉี คนรถพูดเสียงเบาว่า “ท่านอ๋อง ขึ้นรถขอรับ!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น อ๋องฉีไม่ลังเล กระโดดขึ้นรถทันที “เซี่ยเฟิง เร็วเข้า!”
เซี่ยเฟิงและองครักษ์ลับทั้งสองขึ้นรถม้าด้วยความเร็ว
ท่าป๋าหั่นหลินและคนของเขาไม่ขยับ
อ๋องฉีกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “ยืนนิ่งอยู่ทำไมเล่า อยากอยู่รอความตายหรืออย่างไร!”
ท่าป๋าหั่นหลินทำเสียงไม่พอใจ ไม่สนใจเขา แต่ลูกน้องร้อนใจ ดึงทึ้งแขนของเขา กระโดดขึ้นไปบนรถ
พื้นที่ภายในรถม้าโอ่โถง เพียงพอสำหรับพวกเขา
รถม้าไม่ได้ย้อนกลับ มุ่งตรงไปด้านหน้า
ฮั่วต้าได้สติกลับมา วิ่งตามไป แต่คิดอะไรบางอย่างได้ ยื่นมืออกมา
ชายชุดดำคนหนึ่งใช้ธนูสั้นวางลงบนมือเขา
ฮั่วต้าหยิบมา กางธนูออก สายตาจับจ้องไปยังรถม้า ออกแรงดึง ลูกธนูวิ่งพุ่งผ่านอากาศตรงไปยังรถม้า
ลูกธนูไม่เพียงแม่นยำ ทั้งยังมีกำลังมาก แทงทะลุม่านรถม้า ทะลุไปยังเนื้อของท่าป๋าหั่นหลินที่นั่งอยู่ท้ายรถ
ท่าป๋าหั่นหลินสบถคำหยาบคาย ด่าอย่างไม่พอใจ
“เจ้านาย!” บ่าวตกใจ ดึงลูกธนูออกทันที
“อย่าขยับ!” แม้ว่าอ๋องฉีจะไม่เห็นว่าท่าป๋าหั่นหลินเจ็บที่ใด แต่ฟังจากเสียงแล้ว รู้ได้ว่าเขาเจ็บไม่น้อย จึงรีบห้าม “บัดนี้ไม่รู้ว่าอาการเป็นเช่นไร หากเจ้าดึงออกสุ่มสี่สุ่มห้า อาจทำให้แผลของเขาหนักยิ่งขึ้น”
มือของลูกน้องหยุดชะงัก
ท่าป๋าหั่นหลินอดกลั้นความรู้สึกเจ็บปวดที่แล่นผ่านกระดูกขึ้นมาได้ พยายามทำเสียงให้นิ่ง พูดว่า “ข้าไม่เป็นไร พวกเจ้าไม่ต้องห่วงข้า”
ลูกธนูพุ่งออกไป ฮั่วต้าเผยรอยยิ้มพอใจออกมา หัวธนูอาบไปด้วยยาพิษ ไม่ว่าจะยิงถูกผู้ใด หากพวกเขาต้องการช่วยชีวิตเขา จะต้องไปที่ร้านยา เขาเพียงต้องส่งคนไปเฝ้าที่ร้านยาเท่านั้น ก็จะจับพวกเขาได้ทั้งหมด
หันกลับมา มองศพที่ล้มอยู่ระเนระนาด ออกคำสั่งหน้าตายว่า “เก็บกวาดให้เรียบร้อย!” หันหลัง เดินไปยังกองเพลิง
คนที่เหลืออยู่ นำซากศพมากองรวมกัน หยิบขวดยาออกมาจากกระเป๋า เปิดออก ราดไปบนศพเหล่านั้น หลังศพเหล่านั้นมีเสียง ซู่ๆ
ดังขึ้นมา ไม่นานก็ละลายหายไปจนหมด ไม่ทิ้งร่องรอยบนพื้นแม้แต่น้อย
โรงเตี๊ยมถูกเผาจนมอด ฮั่วต้าโบกมือ คนที่เหลือแบกร่างศพขึ้นมาอย่างรู้ความ โยนลงไปในเพลิงไฟ เปลวไฟลุกโชนอีกครั้ง มีกลิ่นแสบจมูกโชยมาในอากาศ
รถม้าแล่นไปได้ไม่นานก็เลี้ยวกลับ คนรถพารถม้ามายังบ้านหลังหนึ่งด้วยความชำนาญ หยุดรถ ลงจากรถ ทิ้งผ้าปิดหน้าของตน เปิดม่านรถ “ท่านอ๋อง ถึงแล้วขอรับ เชิญท่านลงได้”
อ๋องฉีพยักหน้า ลงจากรถม้า คนด้านหลังตามมา ขณะกำลังลงจากรถ ในรถก็มีเสียงดัง ตุ้บ ดังออกมา จากนั้นน้ำเสียงหวาดกลัวของบ่าวลอยออกมาจากในรถว่า “เจ้านาย ท่านเป็นอะไรไป”
อ๋องฉีสาวเท้ายาวเดินไปยังท้ายรถ เปิดม่านรถออก ท่าป๋าหั่นหลินปิดตาทั้งสองข้าง นอนแน่นิ่งอยู่ภายในรถ ใบหน้าดำเขียว เห็นได้ชัดว่าถูกยาพิษ
“เซี่ยเฟิง พาเขาเขาไปด้านใน” อ๋องฉีสั่ง
เซี่ยเฟิงตอบรับ ไปกับองครักษ์ลับอีกสองนาย นำร่างของท่าป๋าหั่นหลินลงมาจากรถ เดินเข้าไปในเรือนตามคำแนะนำของคนรถ
ในห้องโถง คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดปนกับกลิ่นยา ดูเหมือนว่าจะเป็นเรือนหลัง หลายห้องยังมีไฟสว่างอยู่ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าอันวุ่นวายของพวกเขา คนด้านในวิ่งออกมา เป็นพระชายา หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์นั่นเอง
เมื่อเห็นว่าอ๋องฉีปลอดภัย ใจที่กังวลมาตลอดของพระชายาก็วางลง กล่าวด้วยความยินดีว่า “ท่านอ๋อง!” กำลังจะเดินเข้ามารับ
“ท่าป๋าถูกยาพิษเข้า เมิ่งเอ๋อร์ เจ้ามียาแก้พิษอยู่หรือไม่” อ๋องฉีไม่ได้ตอบรับ กลับเปิดปากถามก่อน
“มีเจ้าค่ะ” เมื่อได้ยินคำเรียกของอ๋องฉี หวงฝู่สือเมิ่งที่ชะงักไปรีบพยักหน้า
“ท่านอ๋อง ไปห้องทางด้านนั้นเถิด” คนรถชี้ไปทางห้องที่เปิดไปอยู่ไม่ไกล
“เมิ่งเอ๋อร์ เอายามา เซี่ยเฟิง แบกคนไป”
อ๋องฉีสั่ง เดินสาวเท้ายาวไปยังห้องนั้น
เซี่ยเฟิงแบกร่างของท่าป๋าหั่นหลินตามไปด้านหลัง
คนรถเร็วกว่า เปิดประตู ให้พวกเขาเข้าไป
หวงฝู่สือเมิ่งหันหลังเดินเข้าไปในห้อง หยิบกระเป๋าติดตัวของตนขึ้นมา และตามไป
พระชายาหยุดคิดเล็กน้อย จึงไม่ได้ตามไป
หวงฝู่เย่าเย่ว์อยู่ดูแลนาง ไม่ได้ตามไป แต่สายตามองไปทางนั้นอย่างควบคุมไม่ได้