อาศัยแสงไฟด้านนอก ทุกคนจึงเห็นได้ชัดว่าลูกธนูของฮั่วต้ายิงมาถูกแขนซ้ายของท่าป๋า ไม่ได้บาดเจ็บมากนัก แต่ว่าพิษที่อาบบนปลายธนูดูรุนแรงมาก บัดนี้ใบหน้าของท่าป๋าได้เปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำแล้ว
ช้าไม่ได้แล้ว หวงฝู่สือเมิ่งหยิบขวดยาออกมาจากกระเป๋าของตน เปิดขวด เทเม็ดยาออกมา มอบให้คนของท่าป๋า สั่งว่า “ป้อนเขาเสีย!” จากนั้นก็รีบไปหาผ้ามา มัดบริเวณที่ถูกธนูยิงเข้าใส่ เมื่อเห็นท่าป๋ากลืนยาไปแล้ว จึงสั่งว่า “ดึงธนูออก!”
ลูกน้องของท่าป๋ากำคันลูกศรแน่น ออกแรง เลือดสีดำกระเซ็นออกมาพร้อมกับลูกธนู กระเด็นเต็มหน้าและตัวของเขา
หวงฝู่สือเมิ่งได้เตรียมยาหยุดเลือดเอาไว้แล้ว ราดลงไปบนแผลของท่าป๋าหั่นหลินอย่างไม่ลังเล
เลือดหยุดแล้ว สีหน้าเขียวคล้ำของท่าป๋าหั่นหลินเริ่มดีขึ้น
ทุกคนโล่งใจ หวงฝู่สือเมิ่งลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียง ยื่นมือไปจับชีพจรเขา
คนของท่าป๋าหั่นหลินมองเขาตาไม่กะพริบ
คิ้วของหวงฝู่สือเมิ่งขมวดลงเล็กน้อย ปล่อยมือท่าป๋าลง “พิษของยาแก้ได้ไม่ยาก เพียงแต่ต้องมีคนไปนำยามาเท่านั้น แต่สถาณการณ์ตอนนี้ เกรงว่าร้านยาในเมืองคงถูกพวกมันจับตาดูอยู่เป็นแน่ รอให้พวกเราติดกับดัก”
คนในห้องเงียบสนิท
คนของท่าป๋าหั่นหลินเปิดปากพูดด้วยเสียงแหบพร่า “แม่นาง เจ้านำชื่อยามาให้ข้า ข้าจะคิดหาทางเอง”
หวงฝู่สื่อเมิ่งมองเขา ส่ายหน้า “เจ้ากับชายชุดดำสู้กันมาทั้งคืนแล้ว เกรงว่าพวกมันจะจำหน้าของเจ้าได้ หากเจ้าออกไป เท่ากับว่าออกไปตายในมือของพวกมันเสียเปล่า”
“เรื่องนั้นแม่นางอย่าห่วงไปเลย เจ้าสนใจแต่ชื่อยาเป็นพอ” คนของท่าป๋าไม่ได้บอกว่ามีคนฝ่ายตนอยู่ที่นี่ บอกเพียงว่าให้เอาชื่อยามาเท่านั้น
หวงฝู่สือเมิ่งมองท่านอ๋องฉี ถามความเห็นของเขา
อ๋องฉีพยักหน้า บัดนี้ คงทำได้เพียงเท่านี้ พวกเขารวมทั้งองครักษ์ลับต่างบาดเจ็บไม่น้อย หากออกไปคงถูกจับได้ไม่ยาก
หวงฝู่สือเมิ่งสั่งคนรถที่ตามเข้ามา “เถ้าแก่ รบกวนท่านไปหาพู่กันให้ข้าที”
เถ้าแก่ตอบรับ หันหลังเดินออกไป ไม่นานก็นำพู่กันเข้ามา
หวงฝู่สือเมิ่งเขียนชื่อยาออกมา ยื่นให้คนของท่าป๋า “ระวังตัวด้วย เจ้านายของพวกเจ้ารอพวกเจ้ามาช่วยชีวิตอยู่”
“ขอบใจมากแม่นาง ช่วยดูแลเจ้านายแทนข้าด้วย ข้าจะรีบกลับมา”
พูดจบ หันหลังเดินออกไปด้านนอก
“รอเดี๋ยว!” หวงฝู่สือเมิ่งเรียกเขาเอาไว้ ปลดผ้าที่พันแขนของท่าป๋าหั่นหลินออกมาให้เขา “เอาไปซักให้สะอาด แล้วให้เถ้าแก่หาเสื้อผ้าใหม่มาให้พวกเจ้าด้วย”
เขาออกไปด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดเช่นนี้ ต่อให้หาร้านยาพบ ยามวิกาลเช่นนี้คงไม่มีผู้ใดหยิบยาให้เขา
คนของท่าป๋าหั่นหลินคิดเช่นนี้เช่นกัน หลังกล่าวขอบคุณอีกครั้ง ก็เดินตามเถ้าแก่ออกไป รีบเปลี่ยนเสื้อผ้า มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่ลักพาตัวหลิวอวี้เอ๋อร์มา
หวงฝู่สือเมิ่งหยิบขวดยาขวดหนึ่งออกมามอบให้เซี่ยเฟิง “พวกเจ้าเอาไปจัดการกันเอง”
พวกเซี่ยเฟิงได้นำยาหยุดเลือดมาเช่นกัน เพียงแต่เรื่องที่เกิดขึ้นที่โรงเตี๊ยมค่อนข้างกะทันหัน หลังพวกเขาตื่นขึ้น ก็คิดเพียงแต่ดูแลอ๋องฉีให้ออกมาอย่างปลอดภัย ลืมหยิบออกมาด้วย จึงรับมา แล้วกล่าวขอบคุณ
“ไม่เป็นไร ให้เถ้าแก่หาชุดให้พวกเจ้าเปลี่ยนด้วย แล้วไปพักเสียหน่อย” หวงฝู่สือเมิ่งกล่าว
หวงฝู่สือเมิ่งเป็นท่านหญิง เป็นหญิงสาว ไม่เหมาะที่จะอยู่ที่นี่เพื่อดูแลท่าป๋าหั่นหลิน เซี่ยเฟิงส่ายหน้า “ไม่เป็นไรขอรับ ข้าน้อยไม่เหนื่อย อย่างไรเสีย ให้ข้าน้อยดูแลเขาเองเถิด”
หวงฝู่สือเมิ่งเข้าใจความหมายของเขาในทันที จึงไม่ได้ขัดข้อง “อย่างนั้นเจ้าไปทำธุระเสียให้เรียบร้อย เสร็จแล้วมาเปลี่ยนกับพวกข้า”
พวกเซี่ยเฟิงออกไป
หวงฝู่สือเมิ่งพยุงอ๋องฉีนั่งลงบนเก้าอี้ เม้มปาก “ท่านปู่เจ้าคะ เขาคือท่าป๋าหั่นหลิน น้องชายขององค์ชายใหญ่ เป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ของรัฐอิงอย่างนั้นหรือ”
อ๋องฉีมองท่าป๋าหั่นหลินที่ยังไม่ได้สติด้วยสายตาสับสน พยักหน้าช้าๆ
เป็นอย่างที่นางคาดการณ์เอาไว้จริง หวงฝู่สือเมิ่งรู้สึกไม่สบายใจ “เยี่ยงนั้น…”
พูดจบคำหนึ่ง ก็ถูกน้ำเสียงไม่พอใจของอ๋องฉีตัดบทว่า “เขากำลังพักผ่อน!”
มองดูอ๋องฉีที่กำลังโมโหสุดขีด แล้วหันไปมองท่าป่าหั่นหลินที่นอนสลบอยู่บนเตียง หวงฝู่สือเมิ่งเม้มปาก พูดไม่ออก ยืนขึ้น เดินอ้อมไปด้านหลังของอ๋องฉี ทุบหลังให้เขาเบามือ
“วันนี้สู้กับพวกเขา เจ้าเองก็เหนื่อย นั่งพักสักครู่เถิด” อ๋องฉีสงสารไม่ยอมให้นางทุบหลังให้
หวงฝู่สือเมิ่งไม่หยุด “ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ เมื่อมายังที่เหลาจวี้เสียนพร้อมท่านย่า ข้าได้พักผ่อนไปบ้างแล้ว”
อ๋องฉีรู้ว่านางกำลังปด เขานั่งรถม้ายังต้องใช้เวลานานถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าพวกนางต้องเดินทางนานเท่าใด จึงมาถึง แล้วยังต้องมาห่วงตนอีก ไม่มีทางจะพักผ่อนลงได้หรอก แต่ไม่อยากทำลายความกตัญญูนี้ จึงได้ตบมือนางเบาๆ ถอนใจออกมา เขาปากแข็งไปเท่านั้น ท่าป๋าหั่นหลินช่วยพวกเขาไว้จริง ไม่ต้องพูดเรื่องที่เขามาได้ทันเวลา ช่วยเย่ว์เอ๋อร์ได้ทัน แต่เพียงบุญคุณที่เขากันชายชุดดำอย่างสุดกำลัง ทำให้พวกเขารอดมาได้ ก็ไม่รู้จะตอบแทนอย่างไรหมด
หวงฝู่สือเมิ่งเข้าใจว่าเขาคิดอะไรอยู่ นางเม้มปาก ไม่พูดจา
พวกเซี่ยเฟิงทำธุระเรียบร้อยแล้ว เดินเข้ามา
หวงฝู่สือเมิ่งกล่าวว่า “ยับยั้งพิษของเขาได้แล้ว บัดนี้ไม่มีอะไรน่าห่วง พวกเจ้าไม่ต้องอยู่ทั้งหมดหรอก ผลัดกันมาดูแลเขาเป็นพอ”
เซี่ยเฟิงจัดการให้องครักษ์ลับสองนายที่เจ็บหนักไปพักผ่อนที่ที่เถ้าแก่ได้จัดเตรียมเอาไว้ให้
“ท่านปู่ ท่านเองก็ไปพักบ้างเถิดเจ้าค่ะ ท่านเป็นเช่นนี้ ท่านย่าคงเป็นกังวลมากแล้ว ข้าอยู่ดูแลที่นี่สักครู่ หากเขาไม่มีอาการผิดปกติ ข้าก็จะไปพักเช่นกัน”
อ๋องฉีพยักหน้า ยืนขึ้น “หากมีเรื่องอะไรก็เรียกข้า”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” หวงฝู่สือเมิ่งตอบรับ
อ๋องฉีเดินออกไปด้านนอก ไปยังห้องที่พระชายาพักอยู่
พระชายาและหวงฝู่เย่าเย่ว์กำลังนั่งอยู่ในห้อง เมื่อเห็นเขาเข้ามา จึงยืนขึ้น พระชายาเดินเข้ามา “เป็นอย่างไรบ้าง อาการหนักหรือไม่”
“เมิ่งเอ๋อร์ว่าใช้ยาไม่กี่ชนิดก็สามารถล้างพิษได้ แต่สถานการณ์เช่นนี้ จะไปหายาได้จากที่ใด”
“เยี่ยงนั้นจะทำเช่นไรเพคะ เขามีบุญคุณต่อเรา จะดูเขาตายไปต่อหน้าได้อย่างไร” พระชายาถามด้วยความร้อนใจ
“ไม่ถึงตายหรอก เพียงแต่ต้องทรมานนานเสียหน่อยเท่านั้น อีกอย่าง คนของเขาได้ออกไปหายามาแล้ว ไม่แน่ว่าอาจมีทางหามาได้”
ขณะเดียวกัน คนที่เขากล่าวถึงบัดนี้ได้ไปถึงที่กบดานของพวกเขาแล้ว เป็นบ้านธรรมดาค่อนไปทางซอมซ่อหลังหนึ่ง
หลิวอวี้เอ๋อร์ถูกสกัดจุด แล้วโยนทิ้งอย่างไม่มีใครใส่ใจ ชายที่ลักพาตัวนางนั่งอยู่ข้างโต๊ะเก่าตัวหนึ่ง บนโต๊ะจุดตะเกียงที่ไม่สว่างมากอยู่ดวงหนึ่ง แสงไฟสว่างสลับมืด ทำให้บรรยากาศภายในยิ่งดูน่ากลัวยิ่งขึ้น
เมื่อเสียงฝีเท้าเบาลอยเข้ามาในหู ทั้งสองดับไฟพร้อมกัน ร่างย้ายไปยังข้างประตูด้วยความรวดเร็ว ถามเสียงทุ้มว่า “ผู้ใด”
“ข้าเอง!” เสียงที่คุ้นเคยลอยเข้ามาในหู ใจที่กดดันของทั้งสองก็วางลง คนหนึ่งยื่นมืออกไปเปิดประตูออก “เจ้านายมีคำสั่งหรือ”
“เจ้านายบาดเจ็บสาหัส พวกเจ้าหาทางนำยามาให้ได้” พูดจบ ใบรายการยาถูกยื่นมาตรงหน้าเขา
ทั้งสองตกใจ ถามพร้อมกันว่า “เจ้านายอาการหนักหรือไม่”
“บัดนี้ไม่มีอะไรต้องห่วง พวกเจ้าดูแลเรื่องนี้ให้ดีเป็นพอ”
ทั้งสองตอบรับด้วยความนอบน้อม หนึ่งในนั้นถามว่า “คนในนั้นจะจัดการเช่นไร”
หลิวอวี้เอ๋อร์ได้ยิน ก็ใจสั่นขึ้นมา ความกลัวเข้ามาโจมตีนางอีกครั้ง
“บัดนี้เจ้านายยังไม่ได้สติ ไต่สวนนางไม่ได้ ที่แห่งนี้ไม่เหมาะจะอยู่นาน พวกเจ้าหาทางพานางหนีออกไปนอกเมือง หากสามวันจากนี้ยังไม่มีข่าวจากข้าและเจ้านาย ให้พานางกลับไป ทิ้งไว้ที่ใดก็แล้วแต่”
ทั้งสองตอบตกลงอีกครั้ง
คำว่ากลับบ้านลอยเข้าหู หลิวอวี้เอ๋อร์เบิกตาโพลงด้วยความตกใจ พวกเขามิใช่คนรัฐอู่ อย่างนั้นจะลักพาตัวนางมาทำอะไร ตัวนางไม่ได้กุมความลับอะไรเอาไว้ ไม่มีค่าอะไร แต่น่าเสียดาย ที่คำพูดเหล่านี้ทำได้เพียงเก็บไว้ในใจ พูดไม่ออก
“หากได้ยามาแล้ว ให้สัญญาณข้า ข้าจะไปเอามาเอง”
กำชับอีกครั้ง จากนั้นผู้มาเยือนก็หันหลังเดินจากไป ทิ้งเจ้านายไว้ที่นั่นคนเดียว เขาไม่วางใจ อย่างไรเสียรีบกลับไปดีกว่า
มองร่างเขาหายไปในความมืด ทั้งสองหันหลังเดินกลับเข้าไปในห้อง นอนลงบนเตียงผุพังในห้อง แต่หลิวอวี้เอ๋อร์ ราวกับถูกพวกเขาลืมไปแล้วอย่างนั้น ยังคงถูกทิ้งไว้บนพื้น
ส่วนชุนเซียงและคนรถที่ถูกทำร้ายจนสลบ เมื่อฟื้นขึ้นมาเห็นแต่ความมืดจึงเกิดความงุนงง จากนั้นจึงนึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนสลบขึ้นมาได้ ตกใจเสียจนลุกขึ้นมาจากพื้นพร้อมกัน ชุนเซียงถามด้วยน้ำเสียงสะอื้นว่า “คุณหนู คุณหนูอยู่ที่ใด”
มองไปที่ไกลที่เต็มไปด้วยความมืด ขาของคนรถอ่อนลง หากให้นายท่านทราบว่าเขาไม่ทำตามกฎ พาคุณหนูลักลอบออกมาจากมุมกำแพงกลางดึก คงจะต้องถูกตีจนตายเป็นแน่
ชุนเซียงตกใจไปไม่น้อยกว่าเขา คุณหนูหายไป ลูกน้องอย่างพวกนางกลับไม่เป็นอะไร หากไม่ถูกตีตายสิถึงจะแปลก
ขณะที่ทั้งสองกำลังตกใจนั้น ก็มองตากัน ยกเท้าวิ่งกลับจวนพร้อมกัน รีบไปรายงานฮั่วเจี่ย ในใจมีความหวังว่า บางทีหากนายท่านเห็นแก่ที่ทั้งสองมารายงานได้ทันเวลา อาจจะไว้ชีวิตพวกเขาได้
แต่พวกเขาคิดผิดแล้ว ทั้งสองรีบวิ่งกลับมา ไม่สนใจแม้จะหันไปเก็บรองเท้าที่หลุดไป กลับมายังจวนฮั่ว หายใจหอบทุบประตูจวน “เปิดประตู เปิดประตู รีบเปิดประตู เกิดเรื่องขึ้นแล้ว เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว!”
ทำหน้าที่เฝ้าประตูให้จวนฮั่วมานานหลายปี ไม่เคยได้ยินเสียงเคาะประตูที่ดังถึงเพียงนี้ หลังนายประตูตกใจแล้ว รีบยืนขึ้นมา ถอดสลักประตู เปิดประตูออก ถามได้เพียงคำเดียวว่า “เป็น…”
ร่างของทั้งสองพุ่งเข้ามา วิ่งชนกันกระเด็น จากนั้นก็ตรงไปยังเรือนหลักทันที ปากตะโกนไม่หยุดว่า “นายท่าน เกิดเรื่องขึ้นแล้ว เกิดเรื่องขึ้นแล้วขอรับ!”
นายประตูถูกชนจนมึนหัว เมื่อได้สติกลับมา ทั้งสองก็วิ่งไปยังเรือนหลักเรียบร้อยแล้ว ต่อให้เขาต้องการห้าม ก็ห้ามไว้ไม่ได้ จึงก่นด่าว่า “เป็นบ้าหรือไง โวยวายกลางดึกเช่นนี้ นายท่านตื่นขึ้นมาคงได้เอาพวกเจ้าตายแน่”