มู่เฉียนซีกล่าว “ปฏิเสธเหรอ? ข้าตรวจสอบดูแล้วไม่มีพิษ กินเข้าไปไม่ตายหรอก เจ้าช่วยคุณหนูใหญ่ของเจ้าจัดการก็แล้วกัน!”

“ไม่มีพิษ ข้ายอมกินของมีพิษดีกว่า”

แม้กระทั่งเสี่ยวไป๋ผู้ที่มีจิตใจที่เย็นชามาโดยตลอดก็ปฏิเสธอาหารสามจานนี้ นางไม่กล้ากินจริง ๆ!

มู่เฉียนซีแสร้งทำเป็นโกรธเกรี้ยว “เสี่ยวไป๋ นี่เจ้าคิดว่าพลังของเจ้าฟื้นฟูกลับมาแล้วเจ้าก็ไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาแล้วอย่างนั้นเหรอ”

กู้ไป๋อีกล่าว “ข้าอยากจะขอคำชี้แนะเรื่องทักษะโยวหลัวที่คุณหนูใหญ่ฝึกมาใหม่สักหน่อย แต่ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่จะขอคำชี้แนะได้”

“นี่เจ้าถูกอาหารสามจานนี้บีบบังคับจนอยากตายอย่างนั้นเหรอ?”

“รสชาติมันแย่มากจริง ๆ! ข้ามีชีวิตมานานหลายปีก็เพิ่งจะเคยเจออาหารที่รสชาติแย่มาก ๆ ก็ที่นี่นี่แหละ” กู้ไป๋อียืนยันเสียงแข็ง

“ข้าไม่เชื่อว่ามันจะโหดร้ายปานนั้น!” คิดว่าพ่อครัวในตำนานจะทำอาหารได้รสชาติแย่และดำไหม้กว่าจิ่วเยี่ยอย่างนั้นเหรอ

ในเมื่อบีบบังคับกู้ไป๋อีไม่ได้ มู่เฉียนซีจึงทำได้เพียงแค่ลองด้วยตัวเอง!

ผลลัพธ์ที่ได้จากการชิมนั้นทำให้มู่เฉียนซีรู้สึกแย่มาก

นางพบว่าจิ่วเยี่ยไม่ใช้จ้าวแห่งอาหารดำไหม้รสชาติแย่แล้ว แต่เป็นพ่อครัวผู้นี้ต่างหาก!

ช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว!

กู้ไป๋อีเห็นมู่เฉียนซีหน้านิ่วคิ้วขมวดเช่นนี้ก็รู้สึกทนไม่ได้

มู่เฉียนซีวางตะเกียบของตนเองลง พร้อมกับหรี่ตามองหน้ากู้ไป๋อีด้วยรอยยิ้ม และนั่นทำให้กู้ไป๋อีเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีขึ้น

มู่เฉียนซีขยับตัวเข้าใกล้กู้ไป๋อีและหยิบตะเกียบของกู้ไป๋อีขึ้นมาก่อนจะกล่าวว่า “เสี่ยวไป๋ หากเจ้าไม่กิน ข้าจะป้อนเจ้าแล้วนะ!”

“หากข้าป้อนเจ้า เจ้าคงจะไม่ปฏิเสธหรอกกระมัง!”

นางคีบอาหารดำไหม้ในจานนั้นขึ้นมาข้างปากของเขา พร้อมกับกล่าวว่า “เสี่ยวไป๋ กินเถอะ!”

ภายใต้สายตาของผู้คนมากมาย เขาที่เป็นบุรุษผู้หนึ่งถูกสตรีป้อนอาหารเช่นนี้ มันช่าง…

ใบหน้าของกู้ไป๋อีแข็งทื่อ เขารับตะเกียบในมือมู่เฉียนซีมาและกล่าวว่า “ไม่จำเป็นต้องให้คุณหนูใหญ่ลงมือ ข้ากินเอง!”

ครั้นแล้วกู้ไป๋อีจึงกวาดอาหารทั้งสามจานลงท้องอย่างรวดเร็วที่สุด

ตนเองไม่ต้องกินอาหารดำไหม้เหล่านี้แล้ว มู่เฉียนซีจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก

เมื่อเห็นกู้ไป๋อีต้องทุกข์ทนจนหน้าดำคล้ำเขียวขึ้น มู่เฉียนซีจึงยื่นขวดยาให้เขาขวดหนึ่ง “นี่เป็นยาช่วยย่อยอาหาร ไม่ว่าอาหารจะย่อยยากเพียงใด เสี่ยวไป๋เจ้ากินยานี่เข้าไปก็จะไม่ปวดท้องแน่นอน วางใจได้!”

ถึงแม้กู้ไป๋อีจะดื่มยาขวดนั้นของมู่เฉียนซีลงไปแล้ว แต่เขาก็ยังคงไม่ได้สติกลับมา

“ในที่สุดท่านทั้งสองก็กินหมดแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้ามาเถอะ ประเดี๋ยวสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ท่องนภาก็จะออกเดินทางไปยังทะเลทรายดำแล้ว” ในตอนนี้เอง เถ้าแก่ก็เดินเข้ามาพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม

มู่เฉียนซีกล่าว “เจ้ารีบนำทางไปเถอะ หอดำนี่ของพวกเจ้าข้าไม่อยากจะอยู่แม้แต่วินาทีเดียว”

“เชิญท่านทั้งสองตามข้ามา”

ทางที่เถ้าแก่นำไปนั้นไม่ใช่นอกร้าน แต่กลับเป็นส่วนด้านในของร้าน

เถ้าแก่กล่าวว่า “ท่านทั้งสองผลักประตูนี้แล้วเดินเข้าไป ในนั้นจะมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ท่องนภารอพวกท่านอยู่”

กู้ไป๋อีเดินนำ เขาผลักประตูออกและมู่เฉียนซีก็เดินตามเข้าไป

ทันทีที่เข้ามาก็รับรู้ได้ถึงพลังที่อยู่รอบ ๆ มู่เฉียนซีกล่าวขึ้นด้วยความตกใจเล็กน้อยว่า “นึกไม่ถึงว่าที่นี่จะมีพลังธาตุมิติอยู่ด้วย”

หลังจากที่เถ้าแก่ส่งพวกเขาเสร็จ เขาก็ไปยังห้องครัวด้านหลัง!

เถ้าแก่ยืนอยู่ที่ประตูและกล่าวว่า “ท่านพ่อครัว แขกในวันนี้ล้วนแต่ถูกส่งออกไปทั้งหมดแล้ว”

เสียงอันแหบแห้งเสียงหนึ่งดังขึ้น “แล้วมีแขกคนใดบอกว่าอาหารของข้าอร่อยบ้างหรือไม่?”

มุมปากของเถ้าแก่กระตุกเล็กน้อยก่อนจะกล่าวว่า “เอ่อ ดูเหมือนจะไม่มี”

“ไหนเจ้ามาชิมหน่อยซิว่าฝีมือของข้าก้าวหน้าขึ้นหรือยัง”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เถ้าแก่ก็ตัวสั่นขึ้นเล็กน้อย

“เอ่อ ท่านพ่อครัว ขะ…ข้า…ข้ายังมีเรื่องที่ต้องไปจัดการน่ะ ไม่มีเวลามาชิมอาหารฝีมือท่านจริง ๆ ขะ…ข้าว่า วันหลังก็แล้วกันนะ วันหลัง!”

กล่าวจบ เถ้าแก่ก็รีบเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ยังมีเถ้าแก่ร้านไหนที่ตกใจกลัวจนอกสั่นขวัญหายเช่นนี้อีก หากไม่ระวังตัวเกรงว่าจะถูกพ่อครัวอาหารดำไหม้ของตนเองวางยาพิษตาย

ในขณะที่มู่เฉียนซีและกู้ไป๋อีเมื่อเดินออกมาจากประตูบานนั้นก็ได้พบว่าการออกเดินทางในครั้งนี้ไม่ได้มีแค่พวกเขาสองคนเท่านั้น

ผู้คนที่อยู่ตรงหน้าอย่างน้อยก็สิบคน มีทั้งคนวัยหนุ่มสาว ไปจนถึงวัยกลางคน

เมื่อพวกเขาเห็นชายหญิงรูปร่างหน้าตาโดดเด่นและมีเอกลักษณ์สองคนนี้เดินมาก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย มีคนกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “นึกไม่ถึงเลยว่าคุณชายและคุณหนูเช่นนี้ก็ไปแสวงหาความโหดเหี้ยมทารุณที่เมืองเฮยตูด้วย!”

“ช่างแปลกประหลาดเสียจริง ชิ๊!”

วู้ว วู้ด!

ในทันใดนั้นเองบริเวณรอบ ๆ ก็เกิดเสียลมพัดกระโชกแรงฟังดูน่ากลัวขึ้น

เมื่อเงยหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้า ก็เห็นสัตว์ที่มีปีกสีดำสนิทกำลังกระพือปีกบินว่อนอยู่กลางอากาศ ลักษณะภายนอกดูเหมือนเป็นมังกรปีกทมิฬ

มู่เฉียนซีกล่าวด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยว่า “สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับหก!”

กู้ไป๋อีกล่าว “นี่คือมังกรปีกทมิฬ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ท่องนภาระดับหก มีสายเลือดของเผ่ามังกร และมีแค่มันเท่านั้นที่สามารถบินไปถึงทะเลทรายดำได้ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์อื่นไม่สามารถบินไปถึงที่แห่งนั้นได้”

มู่เฉียนซีกล่าวถาม “เพราะเหตุใด?”

“เพราะว่าที่แห่งนั้นมีพลังบางอย่างที่ทำให้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์เกรงกลัว มีเพียงแค่มังกรปีกทมิฬที่มีสายเลือดของเผ่ามังกรเท่านั้นที่ไม่เกรงกลัวต่อพลังดังกล่าว ทั่วทั้งดินแดนสี่ทิศ มีเพียงแค่มังกรปีกทมิฬนี้เท่านั้นที่ข้าเคยเห็น”

มู่เฉียนซีกล่าว “นึกไม่ถึงเลยว่าหอดำแห่งนี้จะมีของดีเช่นนี้ด้วย มิน่าล่ะถึงได้ลึกลับมาก”

สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับหกนั้นใช่ว่าจะจ่ายเงินแล้วจะสามารถใช้นำทางได้ง่าย ๆ

เมื่อมังกรปีกทมิฬลงสู่พื้นดิน มันก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจ้าพวกมนุษย์ทั้งหลาย ขึ้นมาเถอะ”

เมื่อเผชิญหน้ากับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่มีพลังแข็งแกร่งกว่าพวกเขามากถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของเผ่ามังกรอีก แน่นอนว่าพวกเขาไม่กล้าอืดอาดยืดยาด รีบกระโดดขึ้นไปบนหลังของมันอย่างรวดเร็ว

มังกรปีกทมิฬกระพือปีกขึ้น ภายในชั่วพริบตาพวกเขาก็พุ่งทะยานขึ้นสู่เวหาแล้ว

มู่เฉียนซีรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง ความเร็วช่างเร็วยิ่งนัก!

ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูปพวกเขาก็ได้เห็นทะเลทรายดำปรากฏอยู่เบื้องหน้าแล้ว

จากนั้นฉากที่ค่อนข้างน่าหวาดเสียวก็ได้ปรากฏขึ้น

ปัง ปัง ปัง!

ร่างของมังกรปีกทมิฬได้ก่อตัวเป็นระลอกคลื่น และเหวี่ยงพวกเขาลงมาจากกลางอากาศ ช่างหยาบคายเป็นอย่างยิ่ง

กู้ไป๋อีที่เคยมีประสบการณ์มาก่อนแล้ว เขาจึงรีบโคจรพลังวิญญาณและจับมู่เฉียนซีเอาไว้

“คุณหนู…”

มู่เฉียนซีโกรธเกรี้ยวขึ้น “เจ้ามังกรปีกทมิฬนี่โหดร้ายเกินไปแล้ว ไม่ปลอดภัยไม่ว่า แต่นี่ไม่มีการเตือนอะไรก็โยนพวกเราลงมาเช่นนี้แล้ว”

“ชิ!” เมื่อได้ยินคำดุด่าว่ากล่าวของมู่เฉียนซี มังกรปีกทมิฬก็ทำเสียงชิชะขึ้น

ช่างเป็นสาวน้อยที่ไม่รู้อะไรเอาซะเลย แค่นำพาเหล่ามนุษย์กลุ่มนี้มาถึงที่นี่ก็อารมณ์เสียมากพออยู่แล้ว ยังจะให้มันเกรงใจพวกเขาอีก ไม่มีทาง!

ตุบ!

ถึงแม้พวกเขาจะถูกโยนลงมาอย่างหยาบคาย แต่ทุกคนล้วนตกลงมาอย่างปลอดภัย ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด

ส่วนมังกรปีกทมิฬนั้นทันทีที่มันขยับก็ได้อันตรธานหายไปต่อหน้าพวกเขาแล้ว

ดังนั้นทุกคนจึงตกใจผงะไปครู่หนึ่ง นี่มัน…

พวกเขามาถึงทะเลทรายดำแล้ว ทว่า จะเข้าไปยังเมืองเฮยตูได้เช่นไรกันเล่า มังกรปีกทมิฬก็ไม่ได้บอกอะไรเลย

เมื่อมองไปยังทะเลทรายดำอันกว้างใหญ่ พวกเขาก็หาตำแหน่งที่ตั้งอยู่ของเมืองเฮยตูไม่พบเลย

พรึ่บ!

ในตอนนี้เอง มีบางอย่างสีดำขลับได้พุ่งพรวดออกมาจากใต้ทะเลทราย

ทุกคนเตรียมป้องกันและลงมือทันที!

ตูม!

ทว่า บางอย่างสีดำที่ว่านั้นก็มีความเร็วที่รวดเร็วอย่างน่าประหลาดใจมาก และในที่สุดพวกเขาก็มองเห็นชัดเจนว่ามันคือสิ่งใด

มันคือหนูทะเลทรายตัวน้อยสีดำตัวหนึ่ง

มันโผล่ออกมาจากใต้ทะเลทรายอย่างนุ่มนวล ดวงตามองไปที่พวกเขา และกล่าวว่า “สวัสดีพวกมนุษย์ทั้งหลาย! ลงมือกับข้าเช่นนี้ ช่างไร้มารยาทเสียจริง!”

“เจ้าเป็นสิ่งใดกันแน่?” มีคนผู้หนึ่งกล่าวถามขึ้น

หนูทะเลทรายตัวนี้ไม่ได้มีกลิ่นอายที่แข็งแกร่งมากนัก แต่กลับสามารถพูดได้

หนูทะเลทรายตัวน้อยกัดฟันพลางกล่าวว่า “ข้าน่ะเหรอ! ข้าก็คือผู้นำทางของเมืองเฮยตู อยากจะเข้าไปในเมืองเฮยตู หากไม่มีข้านำทางก็เข้าไปไม่ได้!”