GGS:บทที่ 1081 ของขวัญอีกสองชิ้น
หัวหน้าโค๊ชของทีมนักธนูได้หยุดยั้งทุกคนที่หมายปองที่จะได้ลองลิ้มรสความรู้สึกที่ได้ยิงกลางเป้าติดต่อกันลงจนได้ แต่ตัวเขาเองกลับอดใจไม่ได้ที่จะลิ้มรสความรู้สึกนี้ด้วยตัวเองเสียอย่างนั้น
ถึงแม้ในตอนนี้ คนอื่นๆจะไม่สามารถยิงธนูด้วยคันธนูนี้ได้ก็ตามแต่พวกเขาก็อดที่จะยืนดูไม่ได้ ทุกคนไม่ว่าจะมองยังไงก็ไม่รู้สึกถึงความพิเศษของคันธนูทั้งสองนี้แม้แต่น้อย มันเหมือนกับแค่คันธนูและลูกธนูไม้ธรรมดาทั่วไปเท่านั้น
ให้พูดตรงๆล่ะก็พวกเขาจะไปรู้จักไม้ที่ทำคันธนูและลูกธนูนี้ได้ยังไงกัน ไม้ที่ใช้ในการทำนั้นก็คือแก่นของไม้เมลโลที่พวกเอลฟ์ในห้วงเวลาและกาลอวกาศลอร์ดออฟเดอะริงใช้กัน แน่นอนว่าสายธนูนี้เองก็ไม่ธรรมดาเช่นเดียวกัน สายธนูนี้ก็คือเส้นผมของเอลฟ์ จะพูดให้ถูกอีกอย่างก็คือคันธนูนี้ก็คือธนูเวทย์มนต์นี่เอง
ถึงแม้ว่าเมื่อมองดูเพียงแรกเห็นนั้นมันค่อนข้างที่จะคุ้นเคยและไม่ต่างจากธนูปีกโค้งกลับบนโลก แต่ความจริงแล้วมันค่อนข้างจะแตกต่างในรายละเอียดไปเล็กน้อยยยย….ไม่สิมากพอสมควรเลยทีเดียว
ยิ่งไปกว่านั้นคันธนูนี้ได้รับคำอวยพรจากภูตในด้านเพิ่มความแม่นยำ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเสี่ยวหมิงและเสี่ยวหยุนรู้สึกแปลกๆตอนที่ใช้ธนูทั้งสองคันนี้
“คุณซูนี่ช่างมหัศจรรย์จริงๆ” หัวหน้าโค๊ชทีมนักธนูอดที่จะเชื่อในความมหัศจรรย์ของซูจิ้งไม่ได้จนส่ายหัวให้กับท่าทีของตัวเองก่อนหน้านี้และถอนหายใจออกมาสั้นๆ
คันธนูสองคันนี้เรียกได้ว่าเกทับตำราความรู้ที่เขาได้รับมาจนหมดสิ้น เขาได้แต่ยอมรับและพูดต่อว่า “เสี่ยวหมิง เสี่ยวหยุน ฉันขอมอบคันธนูสองคันนี้ให้พวกเธอ ฝึกฝนและดูแลให้ดีๆล่ะ”
“ห้ะ ขอบคุณครับ/ค่ะโค๊ช” ทั้งเสี่ยวหมิงและเสี่ยวหยุนต่างก็ตอบรับออกมาด้วยความประหลาดใจในทันที นี่ทำให้คนอื่นๆต่างอิจฉา ริษยา และตาร้อนกันในทันที จนทำให้บังเกิดความรู้สึกว่า ก่อนหน้านี้ไม่น่าไปดูถูกคันธนูและลูกธนูพวกนี้ไว้เลย
“จบเรื่องแล้วสินะ ว่าแต่….. ของขวัญอีกสองชิ้นล่ะ” หัวหน้าโค๊ชทีมยกน้ำหนักและทีมเดินวิ่งนั้นในตอนนี้เริ่มคาดหวังไปกับของขวัญของตัวเองในทันที
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้เมื่อได้เห็นของขวัญของทีมยิงธนูแล้วก็อดที่จะถอดใจไม่ได้ แต่ในตอนนี้ ทั้งสองกลับรู้สึกคาดหวังอย่างที่สุด และตื่นเต้นจนอดลนทนไม่ได้อีกต่อไป
“เฮ้เฮ้เฮ้ นี่โค๊ชยังคิดถึงของขวัญสองกล่องนั่นด้วยหรือครับเนี่ย” เฉียนไจหยวนอดที่จะล้อเล่นออกมาด้วยรอยยิ้มไม่ได้ก่อนที่เขาจะนำของขวัญทั้งสองกล่องนั้นออกมาจากกระเป๋าของเขา
“ลองแกะออกมาดูเลยแล้วกันว่าอะไรอยู่ข้างใน” พวกเขาในตอนนี้อดใจไม่ไหวจึงได้แกะกล่องเพื่อดูของข้างในในทันที แต่เมื่อทุกคนได้เห็นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะนิ่งอึ้งไปเหมือนกัน
กล่องที่ได้เขียนไว้ว่ามอบให้นักกีฬาทีมยกน้ำหนักนั้น ข้างในกล่องคือผลไม้บางอย่างที่มีสีแดงจำนวนหนึ่งซึ่งเป็นผลไม้ที่พวกเขานั้นไม่รู้จัก
ส่วนอีกกล่องหนึ่งที่มอบให้กับทีมเดินวิ่งนั้นเต็มไปด้วยเนื้อแห้ง และอีกเช่นกัน ไม่มีใครรู้เลยว่าเนื้อนี่คือเนื้ออะไร
“นี่หมายความว่ายังไงกัน” หัวหน้าโค๊ชทีมยกน้ำหนักและทีมเดินวิ่งอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา แม้แต่จิงติงเย่และคนอื่นๆเองก็มาท่าทางโง่งมในทันที
“อ้าว เห็นอย่างนี้ก็น่าจะรู้แล้วนี่ครับว่าพวกมันมีเอาไว้กิน” เฉียงไจหยวนได้พูดออกมา
“ เออ อันนั้นน่ะฉันรู้ว่ามันเอาไว้กินแต่กินไปแล้วมันจะได้อะไรกัน” หัวหน้าทีมนักยกน้ำหนักได้พูดออกมาด้วยความรู้สึกที่ว่ากำลังโดนซูจิ้งหยอกเล่นอยู่
“กับข้าวสีน้ำเงินนั่นฉันรู้ว่าเมื่อกินไปแล้วนั้นมันดีต่อร่างกายแบบสุดๆ แต่เจ้าของชิ้นเล็กๆพวกนี้มัน…มันเหมือนกับว่าให้คนๆเดียวกันได้แค่นั้น..” หัวหน้าทีมเดินวิ่งพูดออกมาในขณะที่ถือกล่องเล็กๆไว้ในมือออกมาส่องซ้ายส่องขวาราวกับจะหาว่ามีอะไรอย่างอื่นซ่อนอยู่รึเปล่า
“โอ้…ผมไม่ค่อยแนะนำนะ เอาเป็นว่าผมพูดอย่างนี้จะดีกว่า หากว่าโค้ชให้คนเพียงคนเดียวกินเจ้าพวกนี้จนหมด ผลลัพธ์ที่ออกมาจะดีเกินงามเลยทีเดียว
ผมขอบอกความจริงเลยนะว่าเป็นเพราะผมได้กินผลไม้ลูกน้อยๆของพี่จิ้งเพียงไม่กี่ลูกถึงได้มีเหมือนทุกวันนี้ได้โดยใช้เวลาเพียงไม่ถึงเดือนดี หากเป็นผมในก่อนหน้านี้ไม่มีทางแม้แต่การเป็นตัวจริงของจังหวัด
ลองดูผมในตอนนี้สิว่าแข็งแกร่งขนาดไหนกัน” เฉียนไจหยวนพูดออกมาโดยมยกเรื่องราวตัวเองมาอ้างเพื่อให้ทุกคนมั่นใจ
เหล่าผู้คนที่ได้ยินต่างก็แทบจะไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเลยทีเดียว นั่นก็เพราะสำหรับพวกเขาแล้วเฉียนไจหยวนเองก็เป็นอีกหนึ่งตัวตนที่เป็นตำนานในวงการกีฬา
ก่อนหน้านี้เขาเองก็ได้เป็นข่าวคราวในการทำลายสถิติโลกเมื่อไม่นานมานี้ถึงสองสถิติแทบจะในทันทีที่ได้ร่วมทีมชาติ
ทุกคนต่างก็คิดว่าก่อนหน้านี้เป็นเพราะเฉียนไจหยุนนั้นมีอัจฉริยะทางด้านนี้จึงไม่คิดจะสืบหาที่มาถึงความเก่งกาจแม้แต่น้อย จึงไม่แปลกที่เมื่อได้ยินคำพูดนี้ทุกคนจะไม่อยากจะเชื่อเลยสักนิด
“เอาเถอะ อย่างน้อยฉันก็มั่นใจได้แล้วว่าคุณซูนั้นไม่คิดจะทำร้ายพวกเราอย่างแน่นอน ตอนนี้เราก็ได้แค่ลองดูเท่านั้น” หัวหน้าโค๊ชทีมเดินวิ่งได้แสดงท่าทียอมรับก่อนเป็นคนแรก
เขาเองก็ได้เห็นความวิเศษของของขวัญจากซูจิ้งมาแล้วกับตาหนึ่งอย่าง แน่นอนว่าของทั้งสองอย่างนี้ก็สมควรจะไม่ธรรมดาเช่นเดียวกัน
“ดี งั้นเราลองหาใครสักคนมาลองดูละกัน” หัวหน้าโค้ชทีมยกน้ำหนักเองก็เห็นด้วยในทันทีจนพยักหน้าออกมา
“คุณซูบอกมาแล้วว่าของทั้งสองกล่องนี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะทีมยกน้ำหนักและทีมเดินวิ่ง เอาเป็นว่าตอนนี้ฉันจะแบ่งให้พวกนายทั้งสองคนละสี่ส่วนไปก่อนเพื่อทดลองดูแล้วกัน ฉันขอเก็บเอาไว้หกส่วนก่อน หลังจากนั้นค่อยตัดสินใจอีกว่าจะทำยังไงกับมันต่อ” จิงติงเย่พูดออกมาก่อนที่จะแบ่งของจากทั้งสองกล่องออกมาหกส่วน
หัวหน้าโค้ชทีมยกน้ำหนักได้นำผลไม้สี่ส่วนกลับไปหานักกีฬาของตนเอง เช่นเดียวกับหัวหน้าทีมเดินวิ่งได้นำเนื้อสี่ส่วนกลับไปยังสนามซ้อมวิ่ง
จนในที่สุด ทั้งสองก็ได้คัดเลือกนักกีฬาของตนที่มีฝีมือระดับกลางๆมาทดสอบดูก่อน
หลังจากนักกีฬาได้กินของทั้งสองลงไปแล้ว หลังจากจับตาดูการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด หนึ่งชั่วโมงก็แล้ว สองชั่วโมงก็แล้ว สามชั่วโมงก็แล้ว จนถึงตอนเย็นวันนั้นที่เป็นช่วงเลิกฝึก พวกเขาก็ยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
นี่ทำให้หัวหน้าโค้ชทั้งคู่ต่างก็รู้สึกคิดผิดจริงๆที่ไปคาดหวังกับของขวัญจากซูจิ้ง หรือเป็นซูจิ้งเองที่ตั้งใจเล่นตลกกับพวกเขาจริงๆกันแน่
เอาจริงๆแค่ฟังดูก็รู้แล้วว่าไม่น่าจะเป็นไปได้แม้แต่น้อยที่การกินแค่ผลไม้และเนื้อเพียงชิ้นเล็กๆจะทำให้ผู้คนพัฒนาความสามารถของตัวเองไปได้
โลกใบนี้ไม่มีของดีขนาดนั้นหรอก ยังไงซะนักกีฬาจะมีฝีมือดีขึ้นมาได้นั้นยังไงซะก็ต้องอาศัยร่างกายและแรงใจของตัวเองเท่านั้นในการพัฒนาฝีมือ ของพวกนี้จะไปช่วยอะไรได้
ในวันนั้น ในตอนกลางคนหัวหน้าทีมยกน้ำหนักได้หลับใหลเป็นตายโดยไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น จนกระทั่งเช้ามืดวันถัดมา เขาก็ต้องตื่นขึ้นมาด้วยเสียงโทรเข้าของโค้ชในทีมยกน้ำหนักคนอื่นที่โทรหาเขาแต่เช้าตรู่
เมื่อรับสาย ที่ปลายสายได้พูดออกมาด้วยความตื่นเต้นว่า “ไอ้ม้าแก่ นี่มันมหัศจรรย์เกินไปแล้วนะ แกรีบมาที่นี่เดี๋ยวนี้เลยนะ แล้วแกจะได้เห็นว่าของที่แกเอามานั้นมันมหัศจรรย์ขนาดไหน”
“เกิดอะไรขึ้นอีกวะนั่น”หัวหน้าโค้ชทีมยกน้ำหนักได้รีบถามออกมาในทันทีที่พอจะจับต้นชนปลายได้ฃ
“ก็ไอ้เจ้าเสี่ยวหุ่ยน่ะสิ ยกน้ำหนัก 190 กิโลกรัมได้แล้ว”
“…..ห้ะ 190 กิโลกรัม… ก็ไม่ใช่ว่าเสี่ยวหุ่ยมันยกน้ำหนักท่าคลีนแอนด์เจิร์กได้มากกว่า 190 กิโลกรัมอยู่ก่อนแล้วรึไง” หัวหน้าโค้ชที่ได้ยินก็อดจะสงสัยไม่ได้ว่ายกได้แค่นี้จะตกใจกันทำไม
“ไม่ใช่คลีนแอนด์เจิร์กโว้ย ท่าสแน็ช”
“ห้ะ เป็นไปได้ยังไงกัน” หัวหน้าทีมยกน้ำหนักที่กำลังนอนงวงเงียงงๆอยู่บนเตียงได้ผุดลุกขึ้นมาในทันทีพร้อมใบหน้าที่ตกตะลึงแล้วพูดออกมาว่า “190 กิโลกรัมนั่นมันสถิติโลกไม่ใช่เหรอ”
“พังไปเรียบร้อยแล้วต่างหาก เด็กนี่มันเพิ่มน้ำหนักมากกว่าสถิติไปสามกิโลกรัม ยิ่งไปกว่านั้น เสี่ยวหุ่ยยังยกค้างไว้ได้มากกว่าหนึ่งนาทีอีก ในตอนนี้เสี่ยวหุ่ยยกน้ำหนักท่าสแน็ชได้ 193 กิโลกรัมแล้วจริงๆ พระเจ้าทรงโปรด”
“ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้” หัวหน้าโค้ชได้รีบพูดออกมาก่อนจะวางสายแล้วรีบไปแปรงฟันและล้างหน้าแบบส่งๆก่อนที่จะพุ่งไปยังหอฝึกซ้อมในทันที
ทีมนักยกย้ำหนักทีมชาติของจีนนี้เรียกได้ว่าเป็นขวัญใจในท่ามกลางกีฬาทั้งหมดที่มีการแข่งขันมาโดยตลอด เรียกได้เลยว่าดรีมทีมเลยก็ยังได้
แต่หากพูดกันตามตรงแล้ว ทีมนักยกน้ำหนักของชายนั้นค่อนข้างจะด้อยกว่าทีมยำน้ำหนักของฝั่งหญิงอยู่บ้าง แต่พวกเขาเองแม้จะด้อยกว่าแต่ก็คว้ารางวัลมาได้ไม่น้อยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ด้วยการยกน้ำหนักในร่ำ 85 กิโลกรัมนั้นถือได้ว่ากับรุ่นนี้ ทีมนักกีฬาของจีนยังด้อยอยู่และถือได้ว่าเป็นจุดอ่อนของทีม ดูได้จากหลังจากปี2008เป็นต้นมา ประเทศจีนไม่เคยได้เหรียญจากการแข่งกีฬารุ่นนี้เลย
เสี่ยวหุ่ยนั้นเป็นนักยกน้ำหนักของรุ่น85กิโลกรัมนี้ ก่อนหน้านี้ ความแข็งแกร่งทางร่างกายโดยรวมของเขานั้นอยู่แค่ระดับกลางๆเท่านั้น
ด้วยสมรรถนะของร่างกายแบบนี้บอกได้เลยว่าไม่คุณสมบัติพอที่จะผ่านรอบคัดเลือกของโอลิมปิกซะด้วยซ้ำ แต่การที่อยู่ๆเสี่ยวหุ่ยสามารถที่จะทำลายสถิติโลกได้ขนาดนี้ จะไม่ให้หัวหน้าโค้ชดีใจขนาดนี้ได้ยังไง
แน่นอนว่าตอนนี้ใจจริงแล้วเขาเองก็ยังไม่เชื่อเหมือนกัน เขากลัวว่าสิ่งที่เขาได้ยินนั้นจะเป็นเพียงการสะลึมสะลือแล้วคิดมากจนฟังผิดไปเท่านั้น เขากลัวจริงๆว่าหากรีบดีใจไปจะเป็นดีใจไปเก้อๆๆ
เพราะยังไงซะสิ่งที่เขาได้ยินและได้ทำไปเมื่อวานกับของที่ซูจิ้งมอบมาให้เป็นของขวัญนั้น มันน่าเหลือเชื่อมากเกินกว่าจะยอมรับได้อยู่แล้ว