GGS:บทที่ 1080 มึนงง

“โค๊ช”
“โค๊ช”
“โอ้… ผู้ดูแลกลับมาแล้ว”
ในสนามยิงธนู ในตอนนี้มีนักกีฬายิงธนูกำลังพักกันอยู่มีบางคนกำลังฝึกซ้อมอยู่เช่นเดียวกัน เมื่อทุกคนได้เห็นโค้ชของตัวเองมากับผู้ดูแลอย่างจิงติงเย่และโค้ชคนอื่นๆจึงได้กล่าวทักทายพร้อมสีหน้าที่มึนงง
“เฮ้ หมิงน้อย อาหยุน นายสองคนลองเอาคันธนูนนี้ไปใช้หน่อยสิ” โค้ชนักกีฬายิงธนูคนหนึ่งได้พูดออกมา ชายหนุ่มและหญิงสาวได้ขานรับแล้วเดินเข้ามารับคันธนูสองชิ้นนี้ไป นี่สร้างความสนใจให้คนที่อยู่โดยรอบในทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาได้เห็นคนธนูทั้งสอง ก็อดไม่ได้ที่จะหรี่ตามองในทันที
“…..นั่น…คันธนูไม้ไม่ใช่เหรอนั่น”
“มันดูขลังดีจริงๆ”
“สายนั่นจะไม่เล็กไปหน่อยเหรอ”

ทุกคนที่เห็นต่างก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้ต้องลองใช้คันธนูทั้งสองอันนี้ คันธนูนั้นเป็นอุปกรณ์ทุกๆคนนั้นต้องใช้เวลาอย่างยาวนานถึงจะปรับแต่งได้เหมาะสมกับตัวนักกีฬาเองมากที่สุดนี่นา
แถมการแข่งครั้งนี้เป็นการแข่งกีฬาโอลิมปิคที่ถือว่าเป็นรายการใหญ่มาก ต่อให้คันธนูนี้ดียังไงก็ไม่ควรจะเปลี่ยนกลางคันแบบนี้ โดยเฉพาะกับธนูไม้แบบนี้ไม่ว่ามองยังไงก็ไม่น่าใช้เลยด้วยซ้ำ

“โค๊ช นี่โค๊ชล้อผมเล่นใช่ไหมเนี่ย” ชายหนุ่มที่ชื่อเสี่ยวหมิงพูดออกมา
“โค๊ชคะ โค๊ชไปหาวัตถุโบราณสองชิ้นนี้มาจากไหนกัน” เสี่ยวหยุนพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“อย่าพูดจาไร้สาระน่า บอกให้ลองก็ลองไปเถอะ นี่ฉันพุดจริงนะ” หัวหน้าโค๊ชทีมนักยิงธนูพูดออกมา
เสี่ยวหมิงและเสี่ยวหยุนที่เห็นว่าหัวหน้าโค๊ชมีท่าทีจริงจังก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่านี่อาจจะเป็นวิธีการฝึกฝนแบบใหม่ก็ได้ นี่จึงทำให้ทั้งสองเงียบปากลงและเข้าสู่โหมดแข่งขันในทันที

ทั้งสองได้ไปยืนอยู่ ณ จุดยิงธนู ส่วนเพื่อนร่วมทีมคนอื่นเองต่างก็จ้องมองกันอย่างเป็นตาเดียวด้วยความตื่นเต้น ทั้งเสี่ยวหมิงและเสี่ยวหยุนนี้ต่างก็เป็นสุดยอดนักธนูของพวกเขาในประเภทชายและหญิง
พวกเขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าหากทั้งสองใช้ธนูไม้ธรรมดายิงดูแล้วจะอยู่ในระดับไหนกันแน่
เสี่ยวหมิงได้เริ่มยกคันธนูเอาไว้ด้านหน้า ก่อนที่จะง้างคันธนูและเล็ง ก่อนที่จะปล่อยลูกธนูออกไปด้วยท่าทีที่ไหลลื่นและไม่ติดขัดเลยแม้แต่น้อย

เพียงชั่วพริบตาลูกธนูก็ได้ไปปักอยู่ตรงพื้นที่สีน้ำเงินของเป้าที่อยู่เกือบจะถึงพื้นที่สีดำอยู่แล้ว หรือก็คือวงที่เรียกกันว่าวงที่หกนั่นเอง
“ธนูนี่ใช้ไม่ง่ายเลยแหะ สายธนูเองก็เล็กเกินไปหน่อย” เสี่ยวหมิงพูดออกมา
“เฮ้ ก่อนหน้านี้พี่ยังหัวเราะฉันอยู่เลยนะตอนที่ฉันยิงได้วงที่ห้าน่ะ นี่พี่เองก็ยิงได้วงที่ห้าเหมือนกันไม่ใช่เหรอ ฝีมือพี่ก็ไม่ได้ดีไปกว่าฉันเลยนี่นา” ชายหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ข้างสนามได้ตะโกนเข้ามาเพื่อแซวเสี่ยวหมิงด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ต้องพูดเลย ถ้านายคิดว่านายแน่ใจก็ลองมาใช้เองดูสิ หากเป็นนายยิงฉันว่าไม่เข้าเป้าด้วยซ้ำ” เสี่ยวหมิงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาสนิทกันมากจนเรียกได้ว่า สนิทกันจนแซวแรงได้อย่างหน้าตาเฉย
“ไม่ดีเหมือนที่คิดไว้จริงๆ นี่ขนาดเป็นเสี่ยวหมิงและเสี่ยวหยุนเลยนะ สองคนนี้ปกติแล้วถือได้ว่ายากที่จะยิงพลาดจากวงที่เจ็ดได้แบบนี้

แต่นี่เขายิงไปถึงวงที่หกจนเกือบจะวงที่ห้าเลยนะ นี่แสดงให้เห็นว่าคันธนูนี่ไม่เหมาะกับทั้งสองเลย” หัวหน้าโค๊ชทีมนักกีฬาทีมยกน้ำหนักพุดออกมา
“ก็ทั้งสองพึ่งจะลองเปลี่ยนคันธนูนี่นา ไม่แปลกหรอกที่จะพลาดได้ขนาดนี้ ลองให้ยิงต่ออีกหน่อยแล้วกัน” ถึงแม้จะพูดออกมาอย่างนั้นแต่หัวหน้าโค๊ชทีมยิงธนูเองเหมือนกับว่าจะไม่ได้ดูแคลนคันธนูทั้งสองนี้อีกแต่ไป
แต่กลับพูดออกมาด้วยคำพูดที่ไม่โทษใครแทน หากฟังดีๆจะรู้สึกได้ว่าเขาเองก็เริ่มชอบคันธนูสองอันนี้แล้วด้วยซ้ำ

นั่นก็เพราะต่อให้คันธนูจะดีขนาดไหนก็ตาม แต่กับการยิงครั้งแรกเป็นไปไม่ได้เลยที่จะยิงได้เข้าเป้าแบบนี้ ดีไม่ดียิงพลาดไปร้อยหลาเลยด้วยซ้ำ
แต่คันธนูนี้แค่เพียงใช้ครั้งแรกกลับพลาดเพียงไม่กี่ขอบวงคะแนน นี่ต่างจากคันธนูทั่วไปมากนัก
เสี่ยวหมิงเองได้ลองดูอีกครั้ง ลูกธนูดอกที่สองได้ยิงเข้าไปที่วงที่หก ลูกที่สามได้ยิงเข้าไปที่วงที่เจ็ด
ถึงแม้ว่าความแม่นยำในการยิงจะค่อยๆดีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ผลที่ออกมานี้ยังถือได้ว่าแย่กว่าก่อนหน้านี้อย่างมากเมื่อเทียบกับคะแนนที่ทั้งสองได้ตอนใช้อุปกรณ์ของตัวเอง

หากว่าทั้งสองนั้นได้คะแนนเพียงแค่นี้ แน่นอนว่าไม่มีทางเลยที่จะผ่านรอบคัดเลือกของกีฬาโอลิมปิกอย่างแน่นอน
หัวหน้าโค๊ชได้นิ่งคิดสักพักก่อนที่จะเรียกทั้งเสี่ยวหยุนและเสี่ยวหมิงเพื่อให้หยุดยิงได้ เพราะสำหรับเขาแล้วนี่ถือว่าเป็นการไว้หน้าซูจิ้งมากพอแล้ว อย่างที่คิดไว้จริงๆว่าคันธนูและลูกธนูของซูจิ้งไม่ดีอย่างที่คิด ไม่แปลกใจเลยที่สองคนนี้จะใช้ได้ไม่ดี
เฉียนไจหยวนที่ได้ยินเองก็ได้แต่ถอดถอนหายใจ เขาเองนั้นคิดว่าคันธนูและลูกธนูของซูจิ้งนั้นต้องมีอะไรบางอย่างที่ๆดีๆแอบซ่อนอยู่อย่างแน่นอน นี่เขาคิดผิดไปเองอย่างนั้นเหรอ นี่เขาต้องกลืนคำพูดของตัวเองที่พูดหว่านล้อมไปก่อนหน้านี้จริงๆหรือนี่

แต่ไม่ว่าเขาคิดยังไงเขาก็ยังคงไม่เชื่อยู่ดีว่าซูจิ้งจะส่งมาเพียงลูกธนูและคันธนูแบบธรรมดามาเท่านั้น ความจริงเขาเองก็อยากลองใช้ด้วยตัวเองด้วยซ้ำ แต่นั่นก็ไม่ช่วยอะไรอย่างแน่นอน
ในขณะที่เฉียนไจหยวนกำลังใช้ความคิดที่จะหาทางพิสูจน์อยู่นั้น อยู่ๆทั้งเสี่ยวหมิงและเสี่ยวหยุนได้พูดออกมาว่า “โค๊ช หนูขอลองอีกหน่อยได้รึเปล่าครับ หนูมีความรู้สึกแปลกๆเวลาใช้คันธนูนี้ยังไงก็ไม่รู้”
“นี่เธอก็รู้สึกเหมือนกับฉันสินะ ฉันเองตอนใช้ธนูนี้เองก็มีความรู้สึกที่ยากจะอธิบายเหมือนกัน ยิงใช้มากเท่าไหร่ก็มีความรู้สึกควบคุมและคุ้นมือกับคันธนูนี่มาขึ้นเท่านั้น

ตอนที่ยิงด้วยความรู้สึกนี้ ลูกธนูที่ยิงออกไปถึงได้เข้าใกล้เป้าตรงกลางมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันว่าต้องใช้เวลานานหน่อยกว่าจะเข้ามือ ถ้ายังไงพวกเราขอลองดูอีกหน่อยเถอะครับ” เสี่ยวหมิงเองก็ใช้ความคิดอยู่นานกว่าจะหาคำพูดที่จะใช้อธิบายคำพูดของตัวเองออกมาได้
“…….งั้นลองต่อไปก็ได้” หัวหน้าทีมนักธนูเองได้คิดอยู่นานก่อนที่จะพูดออกมา
เสี่ยวหมิงเองที่ได้ยินดังนั้นก็ได้เริ่มกระหน่ำยิงลูกธนูกว่าโหลไปเรื่อยๆอย่างไม่ช้าและไม่เร็วนัก จากวงที่หก เจ็ด แปด เก้า สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ
เสี่ยวหยุนเองก็ไม่รอช้าเหมือนกัน เธอได้รีบยิงลูกธนูออกไปในทั้นที จากวงที่หก เจ็ด แปด เก้า สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ สิบ
ทั้งเสี่ยวหมิงและเสี่ยวหยุนนั้น ในตอนนี้ยิ่งทั้งสองยิงก็ยิงประหลาดใจในฝีมือของตัวเอง ส่วนเฉียนไจหยวนเองก็รู้สึกเบาใจขึ้นมาและได้แสดงออกมาด้วยสีหน้าแห่งความตื่นเต้น
กับคนอื่นๆ โดยเฉพาะผู้ดูแลอย่างจิงติงเย่และหัวหน้าโค๊ชนักกีฬายิงธนูเอง แม้แต่เหล่านักกีฬาคนอื่นๆที่มามุงดูต่างก็ตกใจกันไปถ้วนหน้า
ผลที่ออกมาจากการใช้ธนูของซูจิ้งนี้ได้พลักกลับราวกับฟ้าและเหวในทันที
คันธนูและลูกธนูที่ทั้งสองใช้อยู่ก่อนหน้านี้นั้นถือว่าดีที่สุดในประเทศแล้ว แน่นอนว่ากับนักธนูประเทศอื่นเองก็มีอุปกรณ์ที่ดีไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันสักเท่าไหร่

นี่ทำให้ในการแข่งขันจริงๆนั้น ความต่างที่นักกีฬาใช้แข่งขันกันนั้นจะขึ้นอยู่กับสมรรถนะร่างกายของแต่ละคน ไม่ใครที่ไหนมานั่งใส่ใจเรื่องอุปกรณ์สักเท่าไหร่นัก นี่ถือว่าเป็นสามัญสำนึกของกีฬาประเภทนี้
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้สามัญสำนึกที่ว่ามานี้ได้พังทลายลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถึงแม้ว่าเสี่ยวหมิงและเสี่ยวหยุนจะมือฝีมือที่ดีที่สุดในประเทศก็จริง แต่ทั้งสองเองก็ไม่เคยจะยิงได้เข้าวงที่สิบเลยสักครั้ง
แต่นี่ทั้งสองสามารถยิงเข้าวงที่สิบได้อย่างต่อเนื่องและรวดเร็วเพียงเพราะเปลี่ยนคันธนูเท่านั้นเอง
“เป็นไปได้ยังไงกัน” หัวหน้าโค๊ชทีมนักยิงธนูอดไม่ได้ที่จะถามออกมา หากคนอื่นรู้เข้าล่ะก็มีหวังโลกได้ปั่นป่วนกันหมดอย่างแน่นอน

เขาได้พูดออกมาว่า “เสี่ยวหมิง เสี่ยวหยุน พวกเธอสองคนลองแข่งกันดุสิ คิดซะว่านี่เป็นการแข่งจริงไปเลย แสดงผลการฝึกทั้งหมดออกมาให้เห็นหน่อย”
เมื่อได้ยินดังนั้น ทั้งสองได้มองหน้ากันก่อนที่จะเริ่มยิงโดยเริ่มจากเสี่ยวหมิงก่อน
เสี่ยวหมิงยิงดอกแรก วงที่สิบ
เสี่ยวหยุนยิงดอกแรก วงที่สิบ
เสี่ยวหมิงยิงดอกที่สอง วงที่สิบ
เสี่ยวหยุนยิงดอกที่สอง วงที่สิบ
เสี่ยวหมิงยิงดอกที่สาม วงที่เก้า
เสี่ยวหยุนยิงดอกที่สาม วงที่สิบ
เกมแรก เสี่ยวหมิงได้ยิงไปได้ทั้งหมดยี่สิบเก้า ถือพ่ายแพ้ไป หลังจากนั้นทั้งสองก็ได้ประลองกันอีกครั้ง ผลก็คือคะแนนที่ทั้งสองได้นั้นไม่ตกอยู่ที่วงที่เก้าไม่ก็วงที่สิบเท่านั้น

คราวนี้พวกเขาต่างก็เริ่มเชื่อขึ้นมาในทันทีจากที่ก่อนหน้านี้ไม่มีใครเชื่อเลยสักคน หากว่าทั้งสองยังรักษาระดับการยิงเอาไว้แบบนี้ต่อไปล่ะก็ ต่อให้ต้องไปเจอกับยอดนักแม่นธนูอย่างเกาหลีใต้ก็ยังต้องสยบให้พวกเขา
จากที่นักกีฬายิงธนูประเภทชายของพวกเขาที่ไม่เคยได้รางวัลมาเลยสักครั้ง ในครั้งนี้การที่จะได้เหรียญทองนั้นจะไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไปแล้ว
“พระเจ้าช่วย คันธนูสองอันนี้มันอะไรกันแน่เนี่ย”
“คันธนูที่สุดยอดแบบนี้ทำมาจากไม้ได้ยังไงกัน”
“ขอลองหน่อยสิ”
โค๊ชนักกีฬาประเภทอื่นสองคนได้ก้าวไปสนามเพื่อที่จะลองใช้คันธนูของซูจิ้ง
“เฮ้เฮ้เฮ้ อย่าไปยุ่งสิเฟ้ย ออกไปไกลๆเลย” หัวหน้าทีมนักกีฬายิงธนูได้รีบพูดออกมาด้วยเสียงอันดังลั่น และพุ่งเข้าไปที่คันธนูทั้งสองก่อนที่จะห้ามปรามคนอื่นๆ

หากว่าอยู่ๆคันธนูทั้งสองนี้ไปลองเล่นแล้วพังขึ้นมาพวกเขาจะเอาหน้าไปไว้ไหน พวกเขาไม่มีทางยอมปล่อยเหรียญทองที่ตัวเองจะได้ตรงหน้ามาแบบนี้เพียงเพราะให้คนอื่นเอาไปเล่นกันเป็นอันขาด