GGS:บทที่ 1079 ธนูและลูกธนู

 

สองวันต่อมา เฉียนไจหยวนและชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งได้รีบไปยังจุดรับของที่นัดหมายกันไว้ ชายที่มีกับเฉียนไจหยวนผู้นี้มีชื่อว่าจิงติงเย่ เขาเป็นชายวัยกลางคนที่รูปร่างค่อนข้างท้วมโดยเขานั้นได้เดินนำหน้าเฉียนไจหยวนราวกับว่าของที่กำลังไปเอานี้เป็นของตัวเองก็ไม่ปาน

“คูณซูบอกจริงๆเหรอว่าเขาจะมอบข้าวสีน้ำเงินเกรดธรรมดาหนึ่งหมื่นชั่งกับเกรดคัดพิเศษหนึ่งพันชั่งให้พวกเราจริงๆเหรอ”

 

“จริงสิครับ แล้วก็พี่จิ้งไม่ใช่คนที่หลอกใครเล่นง่ายๆอย่างแน่นอน เขาพูดเองด้วยซ้ำว่าหากว่าผลการฝึกฝนของนักกีฬาของพวกเราดีไปได้เรื่อยๆล่ะก็ เขายินดีที่จะมอบข้าวสีน้ำเงินทั้งสองเกรดนี้กับพวกเราเรื่อยๆ” เฉียนไจหยวนพูดออกมา

“ถ้าเป็นแบบนั้นจริงล่ะก็ มันจะต้องเป็นเรื่องที่สุดยอดมากจริงๆ” จิงติงเย่อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาด้วยจิตใจอันเปี่ยมสุข เขาเองก่อนหน้านี้ได้ลองซื้อข้าวสีน้ำเงินให้นักกีฬามาก่อน และผลลัพท์นั้นเป็นอะไรที่ยอมรับได้แบบสุดๆ

แต่ด้วยการที่เงินในการสนับสนุนนักกีฬาทีมชาตินั้นมีจำกัด แถมข้าวสีน้ำเงินนั้นมีราคาสูงเสียดฟ้าจนทำให้พวกเขานั้นทำได้เพียงกินก๋วยเตี๋ยวจากข้าวสีน้ำเงินแทนเท่านั้นเอง

พวกเขาเองแม้จะเป็นกังวลอยู่ว่าหากเป็นอย่างนี้ต่อไป ทีมนักกีฬาจีนคงล้าหลังกว่านักกีฬาชาติอื่นไปไกลแต่พวกเขาก็ไม่ได้มีทางเลือกมากนัก

 

แต่มาในตอนนี้ ซูจิ้ง ชายที่เป็นทั้งคนที่รวยล้นฟ้าและเจ้าของข้าวสีน้ำเงินได้เสนอตัวสนับสนุนข้าวสีน้ำเงินด้วยตัวเองแบบนี้ สำหรับพวกเขาแล้วไม่ได้มีอะไรดีกว่านี้อีกแล้ว

กับเรื่องนี้พวกเขาคงทำได้เพียงถอนใจอย่างโล่งอกเท่านั้นที่ประเทศของเขาเองเป็นผู้ผลิตข้าวสีน้ำเงิน โดยเฉพาะมีเจ้าของผลผลิตข้าวสีน้ำเงินที่เป็นพ่อบุญทุ่มแบบนี้

เอาจริงๆที่ซูจิ้งทำนี่ถือได้ว่าทำเพื่อตัวเองล้วนๆเลยทีเดียว ที่เขาทำแบบนี้นั้นเพียงเพราะไม่ชอบที่จะเห็นประเทศของตัวเองต้องล้าหลังกว่าประเทศอื่นในทุกๆด้านโดยเฉพาะด้านกีฬาที่ได้ผลกระทบเชิงลบจากข้าวสีน้ำเงินของเขามากกว่าใครแบบนี้

แต่อีกทางหนึ่งนั้น สำหรับเขาแล้วนี่เองก็เป็นวิธีการโปรโมตข้าวสีน้ำเงินของเขาเองอีกทางหนึ่งด้วยเช่นกัน หรือก็คือเขาทำเพื่อเงินและค่าการใช้ประโยชน์ก็เท่านั้นเอง

 

ไม่นานทั้งสองก็ได้มาถึงประตูด้านตะวันออกของโรงยิมเก็บตัวนักกีฬา พวกเขาเซ็นรับของและไล่เปิดกล่องใบใหญ่เพื่อตรวจดูของข้างใน

ถึงแม้จากหีบห่อภายนอกจะดูแล้วไม่เหมือนข้าวก็ตาม แต่จากกลิ่นหอมหวลนี้พวกเขาบอกได้เลยว่านี่คือข้าวสีน้ำเงินอย่างแน่นอน

พวกเขามั่นใจมากเพราะเคยมีโอกาสได้กินข้าวนี้มาแล้วครั้งสองครั้งในระหว่างเก็บตัวนักกีฬา นี่เป็นกลิ่นที่พวกเขาจดจำได้อย่างไม่มีวันลืม

 

“สุดยอดจริงๆ คุณซูนี่คือยอดคนโดยแท้” จิงติงเย่พูดออกมาพลางหัวเราะลั่น

“ด้วยสิ่งนี้ เปรียบดั่งพวกเราได้รับคำอวยพรของพระเจ้าแห่งชัยชนะแล้ว” ชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งพูดออกมา

“ผู้ดูแลโรงฝึกครับ ตรงนี้ยังมีอีกสามกล่อง” เฉียนไจหยวนพูดออกมา นอกจากกล่องที่บรรจุข้าวสีน้ำเงินเอาไว้กว่าพันหนึ่งร้อยชั่งแล้ว ยังมีกล่องที่ส่งแยกออกมาอีกสามกล่อง โดยมีสองกล่องที่ขนาดเล็กมากๆ แต่อีกกล่องหนึ่งนั้นใหญ่กว่ากล่องอื่นมากนัก

“ของในกล่องพวกนี้รึเปล่าที่คุณซูบอกว่าเป็นของพิเศษน่ะ” จิงติงเย่วถามออกมา ด้วยคำถามนี้ทำให้หลายๆคนในที่นั้นหันไปสนใจในทันที

 

พวกเขานั้นต่างก็เป็นโค้ชของนักกีฬาทีมชาติประเภทยิงธนู ยกน้ำหนัก และเดินเร็ว ที่พวกเขามาที่นี่นั้นเป็นเพราะว่าเฉียนไจหยวนได้ถ่ายทอดคำพูดของซูจิ้งออกมาทำให้ทั้งสามได้ฝังกัน

อย่างไรก็ตามซูจิ้งยังบอกว่าของเหล่านี้ไม่ได้จำเพาะเจาะจงเฉพาะนักกีฬาของสามประเภทนี้เท่านั้น หากนักกีฬาประเภทอื่นต้องใช้ก็ใช้ได้อย่างไม่มีปัญหา

“ลองเปิดดูก่อนแล้วกัน”  จิงติงเย่พูดออกมา โดยพวกเขานั้นเริ่มจากเปิดก่องใหญ่ก่อน กลิ่นของมันนั้นเป็นกลิ่นไม้ที่หอมจนทำให้รู้สึกผ่อนคลายอย่างมาก

เมื่อเขาได้เห็นของข้างในนี้แล้วต่างก็นิ่งอึ้งกันไปหมด ของที่อยู่ข้างในนี้สมควรจะเป็นของขวัญให้กับทีมนักธนู แต่ที่พวกเขาอึ้งกันไปหมดนั่นก็เพราะข้างในคือคันธนูสองชิ้นและลูกธนูอีกหนึ่งกล่อง

“นี่คงเป็นของขวัญของพวกเราทีมยิงธนูสินะ” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งพูดออกมาก่อนที่จะหยิบคันธนูอันนั้นขึ้นมาดู

เมื่อหยิบขึ้นมา เขารู้สึกได้ทันทีว่าคันธนูนี้ค่อนข้างหนัก คันธนูมีส่วนโค้งที่สวยงาม แขนธนูที่สัมผัสกับแขนของธนูนี้ทำรู้ได้ทันทีว่าคันธนูชิ้นนี้เป็นแบบปีกโค้งกลับ

สิ่งที่เรียกว่าคันธนูแบบปีกโค้งกลับนี้เป็นคันธนูอีกชนิดหนึ่ง มันมีความแตกต่างจากธนูยาวของอังกฤษตรงที่แขนของธนูจะมีความโค้งงอที่มากกว่าธนูยาว โดยบางแบบจะสามารถถอดแยกระหว่างแขนธนูและคันธนูได้

ที่ปลายแขนของธนู หากไม่ได้มีการผูกเอ็นเอาไว้จะโค้งงอออกซึ่งจะแตกต่างจากธนูยาวหากไม่ได้ผูกเอ็นเอาไว้ ส่วนปลายแขนจะโค้งงอเข้าด้านในลู่ไปตามแนวแขน

 

คันธนูแบบปีกโค้งกลับนี้จะสามารถรองรับพลังงานที่ใช้ในการผลักดันลูกธนูได้มาก และยังมีขนาดที่กระทัดรัดมากกว่าธนูยาวทำให้มีความเหมาะสมในการใช้ในเหตุการณ์ที่ธนูยาวใช้ได้ไม่ค่อยสะดวกอย่างบนหลังม้า หรือในป่า

นอกจากนี้ คันธนูแบบปีกโค้งกลับ ยังถือได้ว่าเป็นคันธนูที่ถูกกำหนดให้ใช้ในกีฬาโอลิมปิกอีกด้วย

เท่าที่โค้ชของนักกีฬาดูแล้วก็พบว่าคันธนูทั้งสองชิ้นนี้มีความเหมาะสมกับการนำไปลงแข่งจริงๆ แต่ยิ่งเขาตรวจสอบดูอย่างละเอียดก็ยิ่งทำให้โค้ชนักกีฬาต้องมึนงง นั่นก็เพราะนอกจากส่วนเชือกแล้ว ส่วนประกอบทั้งหมดของธนูนี่คือไม้นั่นเอง

“ลูกธนูพวกนี้ก็ทำมาจากไม้เหมือนกันนะ” ชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งพูดออกมา

ในทุกวันนี้ทั้งคันธนูและลูกธนูนั้น หากพูดถึงวัสดุที่ใช้ทำแล้วต่างก็ทำมาจากโลหะผสมพิเศษทั้งสิ้นอย่าง อัลลอยด์ คาร์บอน คาร์บอนอัลลอยด์ และโลหtอย่างอื่น

แต่มีน้อยคนมากที่ยังคงใช้คันธนูที่เป็นไม้เท่านั้น หากว่าเขายอมใช้คันธนูนี่ไม่เป็นสิ่งที่เรียกว่าถอยหลังลงคลองรึไงกัน

ไหนจะเส้นเอ็นนี่อีก ไม่ว่าเขาจะดูยังไงก็ตามมันเหมือนกับเส้นผมสีทองมากกว่า หากว่าใช้จริงๆล่ะก็ ยังไงซะมันต้องขาดตั้งแต่ยังไม่ปล่อยลูกธนูออกไปอย่างแน่นอน

เมื่อทุกคนได้ลองคิดที่จะดูยี่ห้อ เพื่อจะหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตก็ยิ่งต้องอึ้งมากกว่าเดิมเข้าไปอีกจนทำให้พูดอะไรกันไม่ออก

นั่นก็เพราะยี่ห้อที่ตราเอาไว้บนคันธนูนี้ไม่ใช่ยี่ห้อยอดนิยมอย่างHoyt MK หรือ WinWin แต่อย่างใด ตรายี่ห้อที่แสดงไว้บนคันธนูอันนี้เป็นของกลุ่มทุนห้วงเวลา นี่พวกเขามาเปิดการตลาดสายนี้รึไงกัน

ในตอนนี้ทุกคนต่างรู้สึกได้ทันทีว่าที่ซูจิ้งยอมมอบข้าวสีน้ำเงินมากมายขนาดนี้นั้นเป็นเพราะต้องการโฆษณาบริษัทตัวเองอย่างแน่นอน

“ฉันก็เข้าใจนะว่าคุณซูอยากจะอวยบริษัทตัวเองน่ะ แต่นี่มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ”

“พวกเราสามารถให้เครดิตของเขาเรื่องข้าวสีน้ำเงินหรือแม้แต่เอ่ยชื่อกลุ่มทุนห้วงเวลาฯเลยก็ได้นะ แต่การที่ต้องใช้คันธนูนี้ในการแข่งอาจจะเกินไปหน่อยจริงๆ”

“เห็นด้วย เราไม่ได้คิดจะแข่งยิงธนูกันเล่นๆนะ”

ด้วยทั้งวัสดุที่ใช้ทำธนูและยี่ห้อของธนูนี้หากพวกเขายอมใช้ล่ะก็ไม่ได้ต่างจากยอมรับความพ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้สู้

ตอนแรกที่พวกเขาได้ยินมาว่าซูจิ้งนั้นส่งของขวัญมาให้กับนักกีฬาสามประเภทนี้ต่างก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก แต่เพียงแค่กล่องแลกนี้ก็ทำให้พวกเขานั้นต้องคิดหนักเกี่ยวกับกล่องที่เหลือเลยทีเดียว

มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้รู้สึกแบบนี้เลย นั่นก็คือเฉียนไจหยวน เมื่อเขาได้เห็นคนที่อาการคลับคล้ายคลับคลาตรงหน้าตัวเองแบบนี้ก็อดที่จะรีบพูดออกมาไม่ได้ว่า “นี่พวกโค้ชคิดจะตัดสินใจกันโดยที่ยังไม่ได้ลองใช้ดูก่อนหรือครับ”

“ห้ะ ลองดู? จะให้ฉันลองใช้ธนูกับลูกธนูที่ทำจากไม้นี่งั้นเหรอ นี่นายคิดว่าไม้จะเทียบกับโลหะผสมได้รึไงกัน ไม่ว่ามองยังไงมันก็สู้คันธนูที่ผลิตจากวัตถุดิบสมัยนี้ไม่ได้อย่างแน่นอน

อีกอย่าง กลุ่มทุนห้วงเวลาฯเองก็ไม่ได้มีประสบการณ์ในการผลิตคันธนูมาก่อนอย่างแน่นอนอยู่แล้ว ไม่มีทางเลยที่จะสามารถสร้างคันธนูดีดีออกมาได้” หัวหน้าโค้ชทีมนักกีฬายิงธนูได้พูดพลางส่ายศรีษะออกมา

“ก็ถ้าหากเป็นคนอื่น ผมเองก็คงไม่คิดจะมากล้าพูดแบบนี้หรอกครับ แต่นี่คือคุณซูที่ลบคำสบประมาทคนมานักต่อนักแล้วนะครับ

เป็นไปได้ว่าคันธนูและลูกธนูนี้เองก็สมควรจะมีความพิเศษไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าของเหล่านั้นเป็นแน่ ผมว่าเราน่าจะลองดูกันหน่อยดีกว่า” เฉียนไจหยวนพยายามหาคำพูดที่ดีที่สุดในการหว่านล้อมเหล่าโค้ชนักกีฬาตรงนี้

“ฉันเองก็คิดว่าเราควรจะลองดูกันก่อนนะ” จิงติงเย่พูดออกมาพลางพยักหน้ารับ เขาเองก็รู้ดีว่าหากพูดถึงความมหัศจรรย์ของซูจิ้งแล้วนั้นมากมายเหลือคณานับ

ยิ่งไปกว่านั้นเขาส่งข้าวสีน้ำเงินมามากมายขนาดนี้ ไม่มีทางหรอกที่คนแบบนั้นจะให้ของมามากมายเพียงเพื่อที่จะกรุยทางให้ผลิตภัณฑ์ใหม่

เพราะเอาจริงๆแล้วการใช้คันธนูและลูกธนูพวกนี้หรือไม่นั้นก็เป็นสิทธิ์ของพวกเขาอย่างเต็มที่ และตอนนี้ต่อให้ลองใช้ดูสักหน่อยก่อนแล้วค่อยตัดสินใจกันก็ยังไม่สาย

“ก็ได้” หัวหน้าโค้ชทีมนักกีฬาทีมชาติได้พูดออกมา ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกเสียเวลากับเรื่องนี้แต่เห็นแก่ข้าวสีน้ำเงินเองก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าต้องลองดูสักครั้งเช่นเดียวกัน

“เอาล่ะ งั้นเรามาจัดที่ทางกันก่อนแล้วกัน จ้าว นายเอาคันธนูกับลูกธนูพวกนี้ไปยังสนามซ้อม แล้วให้นักกีฬาลองใช้คนธนูสองอันนี้ซะ” จิงติงเย่พูดออกมา

ทุกคนได้ช่วยกันขนข้าวสีน้ำเงินพวกนี้ไปเก็บ และได้ให้คนนำคันธนูและลูกธนูไปยังสนามซ้อมยิงธนูในทันที