บทที่ 754 คืนเงินให้แก่เจ้าของ

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 754 คืนเงินให้แก่เจ้าของ

“ไปเตรียมน้ำอุ่นซะ ข้าอยากอาบน้ำ”

หลินเป่ยเฉินเดินตรงเข้าไปในส่วนลึกของกระโจม ก่อนจะถอนหายใจออกมายาวแรง และออกคำสั่ง “หลังจากนี้ครึ่งชั่วยาม ให้คนไปตามตัวอาจารย์ฉู่ พี่ไต้ และคนอื่นๆ มาเข้าพบข้าด้วย”

วันพรุ่งนี้จะถึงกำหนดสำคัญที่เขาต้องเผชิญหน้ากับเหลียงหยวนเตาแล้ว หลินเป่ยเฉินจึงอยากเตรียมการทุกอย่างให้มีความพร้อมมากที่สุด

“รับทราบเจ้าค่ะ”

สองสาวรับใช้แยกย้ายกันไปปฏิบัติตามคำสั่ง

หลินเป่ยเฉินมักใช้เวลานอนแช่น้ำประมาณครึ่งชั่วยาม ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง

ทุกคนคุ้นชินดีแล้ว

แต่เด็กหนุ่มเพิ่งจะนอนแช่น้ำได้เพียงก้านธูปเดียวเท่านั้น เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นที่ด้านนอกกระโจม

ตามมาด้วยเสียงตะโกนของเหลียงซือมู่ “ข้ามีเรื่องสำคัญจริงๆ ได้โปรดอนุญาตให้ข้าเข้าพบคุณชายหลินด้วยเถิด มิฉะนั้น ทุกคนจะต้องเดือดร้อนกันหมด…”

นี่คือการรบกวนความสงบสุขของนายท่านอย่างร้ายกาจ ไม่เคยมีใครกล้าปีนต้นไม้ขึ้นมาส่งเสียงโวยวายหน้ากระโจมที่พักของหลินเป่ยเฉินมาก่อน แต่ยังไม่ทันที่เฉียนเหมยจะลากคอเหลียงซือมู่จับโยนกลับลงไปจากต้นไม้ นางก็ได้ยินเสียงหลินเป่ยเฉินดังออกมาจากด้านในกระโจมว่า

“ให้เขาเข้ามา…”

เฉียนเหมยจึงปล่อยให้เด็กหนุ่มเดินเข้าไป

เหลียงซือมู่ได้แต่หันไปมองค้อนสาวรับใช้อย่างพูดอะไรไม่ออก ก่อนจะวิ่งเข้าไปด้านในกระโจม พบเห็นหลินเป่ยเฉินกำลังนอนแช่น้ำอยู่ในอ่างน้ำสีขาวรูปทรงแปลกประหลาดขนาดใหญ่และกำลังจ้องมองมาที่เขาด้วยหัวคิ้วขมวดมุ่น

“มีอะไรจะพูดก็รีบพูด เจ้าจะยืนมองหาพระแสงอะไร?”

หลินเป่ยเฉินพูดด้วยเสียงรำคาญใจ

เหลียงซือมู่กัดฟันกรอด ก้มหน้ากล่าวว่า “ข้าได้ข่าวจากคนสนิทว่าบิดาของข้า… ได้สั่งให้หน่วยมือปราบอินทรีธูมรณะเตรียมตัวยกขบวนมาโจมตีที่นี่ตั้งแต่เช้าตรู่ขอรับ คุณชายหลินต้องเตรียมตัวเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ บิดาของข้าคงไม่มีเจตนาดีต่อท่านอย่างแน่นอน”

หลินเป่ยเฉินประหลาดใจไม่น้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“เจ้ายังมีคนสนิทเหลืออยู่อีกหรือ?”

เขาถามด้วยความเหลือเชื่อ

เหลียงซือมู่ใบหน้ากระตุกเล็กน้อย

นี่มันดูถูกกันชัดๆ

ตลอดเวลาที่ผ่านมา เหลียงซือมู่มีคนสนิทจำนวนมากแฝงตัวอยู่ในหน่วยมือปราบอินทรีธูมรณะ เช่นเดียวกับในกลุ่มขันทีที่คอยรับใช้บิดา ซึ่งคนสนิทบางส่วนสามารถซื้อหาได้ด้วยเงินทอง และบางส่วนสามารถซื้อหาได้ด้วยผลประโยชน์อย่างอื่น

….แม้ขณะนี้ เหลียงซือมู่จะกลายเป็นผู้ที่มีความผิดใหญ่หลวง แต่เขาก็ยังพอเหลือคนสนิทให้ใช้งานได้อยู่ไม่ใช่น้อย

“คนสนิทของเจ้า สามารถไว้ใจได้หรือไม่?”

หลินเป่ยเฉินสอบถามออกมาอีกครั้ง

เหลียงซือมู่กัดฟัน ตอบกลับไปว่า “ก็น่าจะ… เชื่อใจได้ขอรับ”

เมื่อเห็นสีหน้าแววตาของเหลียงซือมู่ หลินเป่ยเฉินก็เข้าใจทุกอย่างขึ้นมาทันที

เหลียงหยวนเตาคงไม่ใช่ตัวโง่งมหรอกกระมัง?

เหลียงซือมู่ส่งคนสนิทของตนเองไปเป็นสายลับสืบข่าวข้างกายบิดา มีหรือที่ปีศาจหมูตอนเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวอย่างเหลียงหยวนเตาจะไม่รู้ตัว?

ดีไม่ดีเหลียงหยวนเตาอาจตั้งใจเจตนาปล่อยข่าวปลอมมาปั่นหัวพวกเขาก็เป็นได้

หากเป็นเช่นนั้นจริง เหลียงซือมู่ก็คงเสียใจไม่ใช่น้อย

หลินเป่ยเฉินพยักหน้าตอบรับว่า “ประเสริฐ ข้าเข้าใจแล้ว เจ้ากลับไปได้”

“หน่วยมือปราบอินทรีธูมรณะ พวกนั้นน่ากลัวมาก ท่านไม่ควร…”

เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มรุ่นน้องไม่ค่อยสนใจข้อมูลของเขาสักเท่าไหร่ เหลียงซือมู่ก็อยากจะย้ำเตือนให้เห็นถึงความสำคัญ

แต่หลินเป่ยเฉินไม่อยากรับฟังอีกแล้ว เขายกมือโบกสะบัดเล็กน้อย

แล้วเฉียนเหมยที่ยืนรออยู่ด้านนอก ก็รีบพุ่งตัวเข้ามาลากคอเหลียงซือมู่ออกไปโยนลงจากยอดต้นสนที่มีความสูงมากกว่า 100 เมตรราวกับเป็นเพียงเศษขยะชิ้นหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น

แต่หลินเป่ยเฉินยังไม่ทันได้พักหายใจ แขกที่ไม่ได้รับเชิญคนใหม่ก็ปรากฏตัว

คราวนี้เป็นองค์ชายเจ็ดที่กลับมาคอเอียงอีกครั้ง

เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่วัน องค์ชายเจ็ดมีสภาพไม่ต่างจากขอทานคนหนึ่ง

เนื่องจากเงินที่เขาหยิบยืมจากหลินเป่ยเฉินเพื่อไปว่าจ้างยอดฝีมือเหล่านั้น กลับไม่สามารถบันดาลให้สิ่งที่องค์ชายต้องการเป็นจริงได้สำเร็จ

ไม่ว่าองค์ชายจะยื่นข้อเสนอที่ดีมากเพียงใด ไม่ว่าจะให้ค่าคุ้มกันสูงมากขนาดไหน แต่กลับไม่มียอดฝีมือท่านใดคิดอยากจะออกไปจากค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่งเลยสักคน

และกาลเวลาก็ไม่เคยรอคอยผู้ใด

แต่ละวันที่ผ่านพ้นไป องค์ชายเจ็ดก็ยิ่งเป็นห่วงภรรยาและบุตรสาวของตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้าย เขาจึงต้องเข้ามาขอความช่วยเหลือจากหลินเป่ยเฉินอีกครั้ง

“หลินเป่ยเฉิน ข้าขอยืมยอดฝีมือของเจ้าไปคุ้มกันข้าระหว่างเดินทางสักหนึ่งเดือนได้หรือไม่ ตราบใดที่ข้าสามารถเดินทางกลับไปถึงวังหลวงได้อย่างปลอดภัย องค์จักรพรรดิจะต้องตอบแทนเจ้าอย่างงามแน่นอน”

องค์ชายเจ็ดถึงกับเอ่ยชื่อบิดาของตนเองมาเป็นข้ออ้างแล้ว

หลินเป่ยเฉินสวมใส่เสื้อคลุมอาบน้ำและพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เหตุไฉนองค์ชายจึงได้พูดกับหม่อมฉันเหมือนพวกเราเป็นคนห่างไกลกันถึงเพียงนี้ พระองค์บอกว่าพวกเราเปรียบเสมือนพี่น้องร่วมสาบาน แล้วทำไมหม่อมฉันถึงต้องช่วยเหลือพระองค์เพื่อหวังสิ่งตอบแทนด้วย?”

เมื่อองค์ชายเจ็ดได้ยินคำพูดของเด็กหนุ่ม ใบหน้าของเขาก็ปรากฏความละอายใจขึ้นมาวูบหนึ่ง

จริงด้วยสินะ

เขาเอาแต่คิดว่าหลินเป่ยเฉินเป็นพวกหน้าเงินเห็นแก่ผลประโยชน์มากเกินไป

ทั้งๆ ที่หลินเป่ยเฉินไม่ใช่คนประเภทนั้นสักหน่อย

หมายความว่าเขาประเมินจิตใจของหลินเป่ยเฉินต่ำทรามมากเกินไปหรือนี่?

ช่างหยาบคายเหลือเกิน

องค์ชายเจ็ดรู้สึกว่าตนเองต้องขอโทษ

ทันใดนั้น องค์รัชทายาทก็ได้ยินหลินเป่ยเฉินพูดต่อ “เอาละ หม่อมฉันจะให้พระองค์ยืมยอดฝีมือไปคุ้มกันระหว่างเดินทางสิบคนพ่ะย่ะค่ะ…”

องค์ชายเจ็ดยิ้มกว้างด้วยความดีใจ

แต่หลินเป่ยเฉินก็กล่าวต่อไปว่า “หม่อมฉันจะคิดค่าคุ้มกันอย่างเป็นกันเองแล้วกัน ยอดฝีมือหนึ่งคนมีค่าจ้างหนึ่งแสนเหรียญทองคำ รวมสิบคนก็เป็นเงินหนึ่งล้านเหรียญทองคำพอดี แต่ในเมื่อองค์ชายกับหม่อมฉันเป็นเสมือนพี่น้องร่วมสาบาน หม่อมฉันจะคิดส่วนลดให้เป็นพิเศษ เอาเป็นว่า องค์ชายจ่ายหม่อมฉันมาเพียงเก้าแสนเหรียญทองคำก็พอพ่ะย่ะค่ะ…”

องค์รัชทายาทใบหน้ากระตุกระริก

ยอดฝีมือเหล่านั้นคิดค่าจ้างคุ้มกันคนละหนึ่งแสนเหรียญทองคำ?

นี่หรือที่บอกว่าคิดราคาอย่างเป็นกันเอง?

ไม่คิดจะไว้หน้ากันบ้างเลยหรือไงนะ?

แบบนี้มันไม่มากเกินไปหน่อยหรือไง?

แต่องค์ชายเจ็ดก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีกแล้ว

เพราะนี่คือความหวังสุดท้ายของเขา

หลังจากลังเลอยู่พักใหญ่ องค์ชายหนุ่มก็กัดฟัน รับคำว่า “ไม่มีปัญหา”

เขาได้แต่ส่งมอบเงินเก้าแสนเหรียญทองคำให้แก่หลินเป่ยเฉิน

ล้วนเป็นเงินที่หยิบยืมมาจากหลินเป่ยเฉินเองทั้งสิ้น

ไม่ต่างจากคืนเงินให้แก่เจ้าของ

หลินเป่ยเฉินรับเงินด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “องค์ชายเป็นผู้ที่รักในความยุติธรรมเสมอ มิหนำซ้ำ ยังให้ความร่วมมือกับหม่อมฉันอย่างง่ายดาย เดี๋ยวหม่อมฉันจะคัดเลือกยอดฝีมือที่ดีที่สุด มาคุ้มกันองค์ชายเดินทางสู่ชมพูทวีป… เอ๊ย เดินทางสู่วังหลวงเองพ่ะย่ะค่ะ”

องค์ชายเจ็ดได้แต่ร่ำไห้อยู่ในใจ

ก่อนหน้านี้ เขายืมเงินมาจากหลินเป่ยเฉินเป็นจำนวนหนึ่งล้านเหรียญทองคำ ซ้ำเงินที่ได้รับยังไม่เต็มจำนวนเพราะถูกหักค่าดอกเบี้ยล่วงหน้า แต่ปรากฏว่าถือเงินอยู่ได้ไม่กี่วันเท่านั้น เขาก็ต้องส่งเงินทั้งหมดกลับคืนไปให้หลินเป่ยเฉินอีกครั้ง

หลังจากคิดคำนวณดูแล้ว องค์ชายเจ็ดถึงได้รู้ตัวว่าตนเองยังคงเป็นหนี้หลินเป่ยเฉินอยู่อีกหนึ่งล้านเหรียญทองคำ

และนั่นยังไม่รวมค่าดอกเบี้ยด้วยซ้ำ

นี่มัน…

สำนักเงินกู้นอกระบบยังไม่ใจร้ายขนาดนี้เลย!!

องค์ชายเจ็ดอยากจะร้องไห้ออกมาเสียเหลือเกิน

ชีวิตของเขาช่างขมขื่นจริงๆ!