บทที่ 755 ความทุกข์ใจของสองพ่อลูกตระกูลเฉียน

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 755 ความทุกข์ใจของสองพ่อลูกตระกูลเฉียน

แต่อย่างน้อยองค์ชายเจ็ดก็โชคดีที่หลินเป่ยเฉินเป็นคนพึ่งพาได้เสมอ

เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งก้านธูป ยอดฝีมือจำนวน 10 คนซึ่งนำโดยฉู่เหินก็มาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าองค์ชายเจ็ด

ขณะนี้ องค์ชายเจ็ดจึงยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจ

เขาจำได้ดีว่าฉู่เหินคือหนึ่งในสมาชิกผู้ติดตามคนสำคัญของหลินเป่ยเฉิน

หลินเป่ยเฉินถึงกับยอมส่งตัวฉู่เหินมาทำหน้าที่คอยรักษาความปลอดภัยให้แก่เขาระหว่างการเดินทาง เพราะฉะนั้น องค์ชายหนุ่มจึงรู้สึกว่าเงินเก้าแสนเหรียญทองคำที่เสียไปนั้น มีความคุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง

“อาจารย์ฉู่ขอรับ ท่านต้องทำภารกิจคุ้มกันองค์ชายกลับสู่วังหลวง แต่ขากลับ อย่าลืมซื้อของฝากให้พวกเราด้วยเน้อ ขอให้เดินทางโดยปลอดภัยนะขอรับ”

หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงเป็นงานเป็นการ

ฉู่เหินหันกลับมามองหน้าเด็กหนุ่มอย่างพูดอะไรไม่ออก

แค่ให้ทำหน้าที่คุ้มกันองค์ชายเจ็ดกลับสู่วังหลวงก็น่าลำบากใจมากพอแล้ว ยังจะต้องให้ซื้อของฝากอะไรอีก?

หลินเป่ยเฉินคิดว่าที่นี่เป็นเมืองหยุนเมิ่งหรืออย่างไร?

ฉู่เหินไม่เข้าใจเลยว่าเด็กหนุ่มสมองเสื่อมผู้นี้กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่?

หรือว่าหลินเป่ยเฉินตั้งใจจะสื่อสารความหมายเป็นนัยยะแอบแฝงอะไรบางอย่าง?

“ไม่มีปัญหา”

ฉู่เหินกลัวว่าตนเองจะกลายเป็นตัวโง่งมในสายตาของหลินเป่ยเฉิน จึงเสแสร้งแกล้งพยักหน้า ทำเหมือนเข้าใจนัยยะที่อีกฝ่ายต้องการจะบอก พลางกล่าว “ไม่ต้องเป็นห่วง ข้ารู้ว่าควรทำอย่างไร รับรองงานนี้ไม่มีความผิดพลาดเด็ดขาด”

พูดจบ ชายชราก็ยักคิ้วหลิ่วตาให้หลินเป่ยเฉินเพื่อเป็นการยืนยันว่า ‘ข้าเข้าใจความหมายที่เจ้าต้องการจะบอกแล้ว’

เอ๋?

หลินเป่ยเฉินเห็นดังนั้นก็ได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

อยู่ดีๆ ทำไมอาจารย์ฉู่ถึงได้มายักคิ้วหลิ่วตา มองหน้าเขาแปลกๆ อย่างนี้นะ?

หลินเป่ยเฉินไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น

ไม่กี่อึดใจต่อมา ฉู่เหินและคณะองครักษ์พิทักษ์องค์ชายเจ็ดก็แยกย้ายกันไปเก็บข้าวของของตนเอง

ครึ่งชั่วยามต่อมา องค์ชายเจ็ดภายใต้การคุ้มครองความปลอดภัยโดยคณะของฉู่เหิน ก็เดินคอเอียงร่ำลาทุกคนและเดินทางออกจากค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่งไปด้วยความตื่นเต้น

และด้วยความช่วยเหลือของแม่ทัพเฉียนเหมย ซึ่งประจำการอยู่บนกำแพงเมืองเขตตะวันตก พวกเขาจึงสามารถลอบออกไปจากเมืองได้โดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้

ส่วนเรื่องราวหลังจากนี้ ไม่มีสิ่งใดให้หลินเป่ยเฉินต้องเป็นกังวลอีกแล้ว

เมื่อเห็นว่าเป็นเวลาเย็นย่ำใกล้มืดค่ำ หลินเป่ยเฉินก็เรียกประชุมพานเว่ยหมิน หลิวฉีไห่ ฉุยเฮาเฟิง ฉุยหมิงโหลว จวงปู้โจว อู๋เฟิ่งกู เหลียวหยงจง เถียนเถียน เยว่หงเซียง หวังซินอวี่ และบรรดา ‘คนสนิท’ คนอื่นๆ มารวมตัวกัน เพื่อวางแผนรับมือสำหรับเหตุการณ์วันพรุ่งนี้

วันพรุ่งนี้ คือกำหนดการที่หลินเป่ยเฉินต้องเผชิญหน้ากับ ‘ปีศาจหมูตอน’ เหลียงหยวนเตา

นี่แหละคือเรื่องใหญ่ที่สุด

หลินเป่ยเฉินไม่ห่วงความปลอดภัยของตนเองสักเท่าไหร่หรอก

แต่เขากลัวว่าไอ้หมูตอนนั่นจะทำร้ายผู้คนในค่ายผู้อพยพต่างหาก

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ทีไร เด็กหนุ่มก็จะมีสีหน้าเคร่งเครียดทุกครั้ง

เขาชำเลืองมองใบหน้าทุกคนอย่างรวดเร็ว

หลินเป่ยเฉินรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง

เวลาผ่านไปเพียงพริบตาเดียว หลังทะลุมิติมาอยู่ในโลกแห่งวรยุทธ์ได้หลายเดือน บัดนี้ เขาถึงกับมีเพื่อนแท้อยู่จำนวนหลายคน

และในบรรดาคนกลุ่มนี้ก็มีจำนวนไม่น้อยเป็นระดับยอดฝีมือ หลินเป่ยเฉินไม่อาจรู้ได้เลยว่าในอนาคตข้างหน้า ทุกคนจะกลายเป็นมือกระบี่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังจนกลายเป็นตำนานหรือไม่?

สงสัยคงต้องสงบจิตใจสักหน่อยแล้วสิเรา

หลินเป่ยเฉินสูดหายใจลึก พยายามเรียบเรียงคำพูดเรื่องการเผชิญหน้าระหว่างตนเองกับเหลียงหยวนเตา ซึ่งจะเกิดขึ้นภายในวันพรุ่งนี้ ให้ทุกคนรับทราบอย่างละเอียดครบถ้วนที่สุด

นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะบอกกล่าวออกมา

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับก็คือเหลียงหยวนเตาอยู่ในตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลเฟิงอวี่มาอย่างยาวนาน ใครก็ตามที่คิดอยากเป็นศัตรูกับเขา ก็เท่ากับเป็นศัตรูต่อจักรวรรดิเป่ยไห่ในสายตาของสาธารณชนไปโดยปริยาย

พลัน ระหว่างที่หลินเป่ยเฉินกำลังใช้ความคิดอยู่นี้เอง นอกกระโจมก็เกิดเสียงครวญครางขึ้นมาว่า

“คุณชายหลินขอรับ ได้โปรดมอบความเป็นธรรมให้แก่ข้าน้อยด้วย…”

“พวกเราถูกรังแก พวกเราถูกรังแก คุณชายขอรับ…”

ปรากฏว่าเป็นเฉียนซื่อกับเฉียนซานเซิ่งสองพ่อลูกมายืนส่งเสียงโวยวายอยู่นอกกระโจมใหญ่ พวกเขาส่งเสียงร้องไห้และขู่ว่าถ้าหลินเป่ยเฉินไม่ยอมให้พวกตนเองเข้าพบ สองพ่อลูกก็จะคว้านท้องฆ่าตัวตาย…

หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับด้วยความปวดหัว

พ่อลูกคู่นี้มีอะไรอีกล่ะเนี่ย?

ถึงกับบุกมารบกวนเขาระหว่างการประชุมครั้งสำคัญ ถือว่าใจกล้าไม่น้อย

หรือว่าสองพ่อลูกตระกูลเฉียนไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกแล้ว?

หลินเป่ยเฉินถอนหายใจ

ก่อนยกมือส่งสัญญาณและพูดว่า “ปล่อยให้สองคนนั้นเข้ามาได้…”

ไม่กี่ลมหายใจต่อมา

“คุณชายหลินขอรับ คุณชายหลินต้องคืนความยุติธรรมให้แก่พวกเราด้วย คนของตระกูลเฉียน 300 คนถูกสังหารหมดสิ้น เลือดไหลนองเต็มพื้นดินยิ่งกว่าแม่น้ำโลหิต…”

เฉียนซื่อเดินโซเซเข้ามารายงานก่อนจะคุกเข่าลงโขกหน้าผากกระแทกพื้นอย่างแรงจนหัวแตกมีเลือดไหลซิบ ระหว่างที่พูดก็แทบจะกระอักเลือดออกมาด้วยความอัดอั้นตันใจ

ทุกคนที่นั่งประชุมอยู่ในกระโจมได้แต่หันหน้ามองกันเลิ่กลั่ก

เกิดอะไรขึ้น?

“ท่านว่าอย่างไรนะ?”

เมื่อได้ยินคำพูดของเฉียนซื่อ หลินเป่ยเฉินก็ไม่ติดใจเอาความเรื่องที่ถูกขัดจังหวะการประชุมอีกต่อไป เขารีบตรงเข้าไปประคองชายชราและสอบถามว่า “ใต้เท้าเฉียน เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ตั้งสติให้ดีแล้วค่อยๆ พูดออกมา… ไม่ต้องโขกหน้าผากกับพื้นก็ได้ เดี๋ยวพื้นข้าแตก มันราคาแพงด้วย เกรงว่าท่านคงไม่มีปัญญาจ่ายค่าซ่อมแซม”

“คุณชายหลินขอรับ พวกมือปราบอินทรีธูมรณะมันยกขบวนมาบุกจวนตระกูลเฉียนของพวกเรา…”

เฉียนซานเซิ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างก้มหน้ารายงานเสียงสลด “นี่คือการแก้แค้นที่บิดาข้ารายงานข้อมูลเรื่องป้อมอสรพิษให้คุณชายหลินรับทราบ ท่านเจ้าเมืองเหลียงรู้เข้าก็เกิดความไม่พอใจ… คุณชายหลินขอรับ บัดนี้ มีมือปราบอินทรีธูมรณะกลุ่มหนึ่งมารวมตัวกันอยู่หน้าสถานศึกษากระบี่หยุนเมิ่งแล้ว พวกมันหวังที่จะจับตัวข้ากับน้องๆ และบิดาของข้ากลับไปรับโทษ…”

ว่าไงนะ?

ได้ยินดังนั้น หลินเป่ยเฉินก็ใบหน้ากระตุกด้วยความโกรธแค้นสุดขีด “พวกมันกล้าดีอย่างไรถึงกระทำเรื่องราวเช่นนี้? ยามคนเราจะตีหมายังต้องเกรงใจเจ้าของ ในเมื่อพวกมันกล้าทำกับพวกท่านถึงขนาดนี้ ก็เท่ากับว่าไม่มีความเกรงใจข้าเลยสักนิด”

บรรดายอดฝีมือที่อยู่รอบโต๊ะประชุมต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปทันทีเช่นกันเมื่อได้ยินคำพูดของเฉียนซานเซิ่ง

ให้อภัยไม่ได้เด็ดขาด

แม้พวกเขาจะเคยได้ยินมาพอสมควรว่าท่านเจ้าเมืองเหลียงหยวนเตามีนิสัยใจคอโหดร้ายอำมหิต แต่ทุกคนก็คิดไม่ถึงเลยว่าตระกูลขุนนางใหญ่โตเช่นตระกูลเฉียนจะพลอยได้รับความเดือดร้อนไปด้วย

การมีบุคคลจิตใจต่ำทรามดำรงตำแหน่งผู้ว่าการเมือง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอีกไม่นาน นครเจาฮุยก็คงถูกพวกชาวทะเลบุกยึดได้สำเร็จเป็นแน่แท้

เฉียนซานเซิ่งร้องไห้น้ำตาไหลพราก

เนื่องเพราะเขากำลังจะแต่งงานใหม่กับหญิงสาวคราวลูกคนหนึ่ง

นางมีความงดงามเฉิดฉายราวกับดอกไม้แรกแย้ม

แต่กลับต้องมาถูกฆ่าตายโดยยังไม่ทันได้เข้าเรือนหอด้วยซ้ำ

“คุณชายหลินขอรับ ตระกูลเฉียนของพวกเราย่ำแย่แล้วจริงๆ…”

เฉียนซานเซิ่งถือกำเนิดเกิดมาในตระกูลที่ร่ำรวย ตลอดชีวิตเขาค้นพบสัจธรรมอยู่ข้อหนึ่งว่า เมื่อมีอำนาจและความร่ำรวย คนเราก็สามารถกระทำเรื่องราวได้ทุกอย่างโดยไม่ต้องสนใจสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น ชายหนุ่มไม่เคยรับรู้รสชาติของความเจ็บปวดมาก่อน เขาไม่รู้เลยว่าโลกใบนี้โหดร้ายอำมหิตเพียงใด

ดังนั้น เมื่อเกิดเหตุการณ์เลวร้ายขึ้นกับตระกูลของตนเอง เฉียนซานเซิ่งจึงทำอะไรไม่ถูก และได้แต่ร้องไห้ไม่หยุดเท่านั้น

สองพ่อลูกตระกูลเฉียนไม่มีทางเลือก นอกจากมาขอความช่วยเหลือจากหลินเป่ยเฉิน

เพราะว่าภายในนครเจาฮุยขณะนี้ ทุกคนล้วนแต่ทำงานให้แก่ท่านเจ้าเมืองเหลียงหยวนเตาทั้งสิ้น

มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถแตกหักกับปีศาจหมูตอนผู้นั้น

หลินเป่ยเฉินคือหนึ่งในนั้น