ตอนที่ 945 ผู้ควบคุมหมาก

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 945 ผู้ควบคุมหมาก

ทันทีที่เสียงฟ้าร้องของฤดูใบไม้ผลิดังขึ้น สายฝนแห่งวสันตฤดู ณ ที่ราบฮวาจ้งก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น

บัดนี้แผนการตื่นจากจำศีลดำเนินไปได้ 13 วันแล้ว

สงคราม ณ ที่ราบฮวาจ้งกินเวลานานถึงสามวันสามคืน

นี่คืออนุสรณ์สถานแห่งหนึ่งในใต้หล้า

ในสงครามครานี้ราชวงศ์อู๋ทุ่มกองทัพที่สองจำนวน 100,000 นาย กองทัพที่สามจำนวน 80,000 นายและกองทัพที่สี่จำนวน 100,000 นาย รวมทั้งสิ้น 280,000 นาย

ราชวงศ์หยูทุ่มกองทัพชายแดนใต้ 300,000 นายและกองทัพสวรรค์ฆาตอีก 300,000 นาย

ณ สถานที่แห่งนี้มีกองทัพขนาดใหญ่จำนวน 880,000 นายสู้รบอยู่ที่นี่อย่างสุดชีวิต ยามรุ่งอรุณวันที่สี่ของการสู้รบ ผู้ที่ยังเหลือรอดชีวิตอยู่มีเพียงหนึ่งแสนกว่านายเท่านั้น

แน่นอนว่าพวกเขาคือเหล่าทหารบกของราชวงศ์อู๋

นี่คือสงครามที่เกริกก้องเกรียงไกรมากที่สุดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ในสงครามครานี้ ราชวงศ์อู๋สูญเสียทหารไป 180,000 นายเพื่อกวาดล้างกองกำลังหลักของราชวงศ์หยูให้สูญสิ้นโดยสมบูรณ์ เพื่อที่จะสถาปนาและสร้างรากฐานอันมั่นคงของประเทศต้าเซี่ยขึ้นมา

สงครามนี้ในประวัติศาสตร์ถูกขนานนามว่า… สงครามแห่งการสถาปนาราชวงศ์ใหม่

ธงประจำกองทัพทั้งสามด้ามถูกปักรวมกัน ณ ใจกลางของที่ราบฮวาจ้ง ภายใต้ธงกองทัพที่ดุดันเฮ้อซานเตากระอักโลหิตออกมาเป็นฝอย จากนั้นก็ส่งหนึ่งหมัดทุบเข้าที่หน้าอกของเว่ยอู๋ปิ้ง อีกหนึ่งหมัดทุบเข้าที่หน้าอกของเฉินป๋อ

เขาเช็ดโลหิตและน้ำฝนออกจากใบหน้าแล้วฉีกยิ้มออกมา

“หัวหน้า พวกเราชนะแล้ว ! ”

เฉินป๋อจ้องมองไปยังศพที่นอนเกลื่อนกลาดและพยักหน้าเล็กน้อย ผ่านไปชั่วครู่ใบหน้าเคร่งขรึมก็พลันคลี่ยิ้มออกมา ราวกับดอกไม้ที่ไร้นามได้ผลิบานขึ้นบนทุ่งหญ้าก็มิปาน อาจมิสวยงามมากนัก ทว่าก็เป็นความภาคภูมิใจของฤดูใบไม้ผลิ “ใช่ ! พวกเราชนะแล้ว ! ! ”

ทันใดนั้นเว่ยอู๋ปิ้งก็เดือดดาลเป็นเจ้าเข้าราวกับสายฟ้าฟาด เขาถีบเข้าที่สะโพกของเฮ้อซานเตาจนอีกฝ่ายกระเด็นออกไปราวสองจ้างและกลิ้งลงไปในบ่อน้ำ

“เจ้าสุนัขเฮ้อซานเตา มัวไปทำบ้าอันใดอยู่กัน เหตุใดถึงได้มาสายตั้ง 1 ชั่วยาม ข้าต้องสูญเสียพวกพ้องไปอีก 3,000 นาย เจ้าเห็นหรือไม่ ! ”

เฮ้อซานเตาลุกขึ้นจากบ่อน้ำ เนื้อตัวเปียกโชก ทว่าก็ได้ล้างโลหิตบนใบหน้าออกจนสะอาดเกลี้ยงเกลา

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ…” เฮ้อซานเตาหัวเราะร่า “หากข้ามาช้ากว่านี้อีก 2 ชั่วยาม เจ้าคงโดนเฟ่ยอันสังหารไปแล้ว ! ”

“มารดาเจ้าสิ ! หาคำอธิบายมาให้ข้าประเดี๋ยวนี้ 3,000 นายเชียวนะ สุนัขเยี่ยงเจ้าทราบบ้างหรือไม่ ! ? ”

เฉินป๋อโบกมือเป็นพัลวัน แม้ว่าบัดนี้พวกเขาจะเป็นผู้บัญชาการกองทัพบกเหมือนกัน ทว่าเฉินป๋อเป็นครูฝึกของพวกเขา ถึงเยี่ยงไรทั้งสองย่อมมิกล้าสร้างปัญหาต่อหน้าเฉินป๋อ

“ที่ซานเตามาสายย่อมมีเหตุผลอย่างแน่นอน จงเอ่ยมาเถิด”

เฮ้อซานเตาสะบัดศีรษะไปมา สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม

“เกิดเหตุมิคาดฝันเล็กน้อย… ฝ่าบาทเสด็จไปยังเมืองเปียนเฉิง ! ”

เฉินป๋อและเว่ยอู๋ปิ้งตื่นตกใจขึ้นมาทันใด “ไปทำอันใดที่เมืองเปียนเฉิงกัน ? ”

“บัดนี้ข้าเพิ่งเข้าใจว่าเหตุใดถึงเรียกแผนการนี้ว่าตื่นจากจำศีล และเหตุใดถึงเรียกว่าแผนการชุนเหลย”

เฮ้อซานเตาทรุดตัวนั่งบนพื้นหญ้า หาได้สนใจว่าหญ้าที่โดนนั่งทับจะมีน้ำทะลักออกมาหรือไม่

เขาดึงหญ้าขึ้นมาหนึ่งเส้นใส่ปากเคี้ยว ทว่าสายตาจ้องมองไปยังสายฝนแห่งวสันตฤดูที่ไร้ขอบเขต

“สงครามตรงนี้คือแผนตื่นจากจำศีล ทว่าสถานที่ซึ่งบังเกิดฟ้าร้องลั่นในฤดูใบไม้ผลิกลับมิใช่ตรงที่พวกเรายืนอยู่ แต่เป็นที่เมืองเปียนเฉิงต่างหากเล่า ! ”

เฉินป๋อและเว่ยอู๋ปิ้งนั่งลงเช่นเดียวกัน “จงอธิบายด้วยภาษามนุษย์ประเดี๋ยวนี้ ! ”

“ฝ่าบาททรงชักนำกองกำลังทหารทั้งหมดของราชวงศ์หยูมายังที่ราบฮวาจ้ง แล้วให้พวกเรารวบรวมพลังทั้งสามกองทัพเพื่อกำจัดพวกเขาทั้งหมดลงที่นี่ ข้าคาดว่าผู้คนในใต้หล้าล้วนจับจ้องสนามรบแห่งนี้ ทว่าแท้จริงแล้วในขณะที่สงครามกำลังปะทุขึ้นมา ภายในป่าท้อของเมืองเปียนเฉิง ฝ่าบาทก็ได้วางสนามรบอีกแห่งหนึ่งเอาไว้”

“สงครามนั้นมีผู้รู้เห็นเพียงมิกี่คนเท่านั้น ทว่ามันอันตรายเป็นอย่างมาก เกรงว่าจะน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งกว่าที่ราบฮวาจ้งเสียด้วยซ้ำ”

เฮ้อซานเตามิได้ติดตามทหาร 10,000 นายไปเมืองเปียนเฉิงเพื่อจับกุมหยูเวิ่นเต้า ดังนั้นเขาจึงมิทราบว่าแท้จริงแล้วเกิดอันใดขึ้นที่เมืองเปียนเฉิงบ้าง

แท้ที่จริง… บัดนี้ก็มิมีผู้ใดทราบว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นที่เมืองเปียนเฉิงจริง ๆ

เฮ้อซานเตาเพียงคาดเดาเท่านั้น ซึ่งสิ่งที่เขาคาดเดามิถูกต้องเลยสักนิด เนื่องจากนี่มิใช่แผนการชุนเหลยที่ฟู่เสี่ยวกวนต้องการ

…..

บัดนี้องค์จักรพรรดิฝานจื่อกุยแห่งแคว้นฝานกำลังท่องพระคัมภีร์อยู่ในวัดป๋ายหม่า ทว่าจิตใจมิอาจสงบสุขได้ เขาจึงเดินออกไปด้านนอกวัดแล้วเหม่อมองไปยังทิศทางของเมืองเปียนเฉิง สายตาก็พลันหยุดนิ่งอยู่เยี่ยงนั้นราวกับว่ามิอาจดึงกลับมาได้

เขาบ่นพึมพำว่า “ฟ้าร้องในฤดูใบไม้ผลิ น่าจะดังขึ้นแล้ว ! ”

ณ เมืองจินหลิงแห่งราชวงศ์หยู องค์พระเจ้าหลวงหยูไป๋ไป๋ได้กลับมายังจินหลิงแล้ว บัดนี้กำลังยืนอยู่บนหอคอยป้องกันเมือง จ้องมองไปยังทิศทางเมืองเปียนเฉิง ราวกับอยากเห็นด้วยตาของตนว่าเกิดอันใดขึ้นที่เมืองเปียนเฉิงแห่งนั้น

“ท่านพี่… ท่านกำลังมองอันใดอยู่กัน ? ” องค์หญิงใหญ่ยืนอยู่ข้างกายหยูไป๋ไป๋ นางค่อนข้างเป็นกังวลเพราะจนถึงบัดนี้ก็ยังไร้ข่าวคราวของซั่งรั่วซุ่ย

นางคิดว่าพี่ชายกำลังคิดถึงซั่งรั่วซุ่ย ทว่าคาดมิถึงว่าสิ่งที่หยูไป๋ไป๋เอ่ยออกมาจะมิเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นเลยสักนิด

“น้องสาวเอ๋ย ที่เมืองเปียนเฉิงนั้น” เขายื่นนิ้วชี้ออกไป “สรรพสัตว์ได้ตื่นจากการจำศีลแล้ว เมืองเปียนเฉิงจะเกิดฟ้าร้องในฤดูใบไม้ผลิขึ้นมาหนึ่งสาย หลังผ่านพ้นเสียงฟ้าร้องนั้นไป…ผืนปฐพีนี้ก็จะสงบสุข”

สีหน้าของหยูซูหรงดูสับสนเล็กน้อย หยูไป๋ไป๋กลับยกยิ้มขึ้นและมิอธิบายอันใดต่อ

หยูซูหรงมองเห็นความหวังจากรอยยิ้มบนใบหน้าที่เหี่ยวย่นของพี่ชาย ทั้งยังมีความรู้สึกที่ยากจะบรรยายอยู่ด้วย หากให้หาคำใดมาบรรยายก็น่าจะเป็น… การหลุดพ้น !

มิว่าสถานการณ์หลังจากฟ้าร้องที่ว่านั่นจะเป็นเช่นไร ภายในจิตใจของหยูไป๋ไป๋คือการหลุดพ้นอย่างแท้จริง

…..

ภายในเรือนชิงเสียนซึ่งตั้งอยู่ที่เขตชานเมืองฝานหนิงแห่งราชวงศ์อู๋ น้ำชาบนโต๊ะได้เย็นชืดไปแล้ว ทว่าบุคคลทั้งสองที่นั่งอยู่ด้านข้างของโต๊ะน้ำชายังคงเอียงศีรษะมองไปยังทิศทางของเมืองเปียนเฉิงแห่งนั้น

“ฟ้าร้องลั่น…น่าจะดังขึ้นมาแล้ว”

เสียงฟ้าร้องดังสนั่น โจวถงถงเงยหน้าขึ้นมองไปยังท้องนภามืดครึ้ม “น่าจะดังแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เห็นได้ชัดว่าฟ้าร้องในฤดูใบไม้ผลิดังขึ้นมาแล้ว ทว่าพวกเขายังคงเอ่ยว่า ‘น่าจะดังแล้ว’

“แค่ก ๆ ๆ…” บุรุษร่างผอมที่อยู่ตรงกันข้ามกับโจวถงถงไอออกมาอย่างรุนแรง เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดปาก ส่วนโจวถงถงก็กระวีกระวาดเดินเข้ามาคุกเข่าลงข้างกายของเขา พลางช่วยลูบหลังให้เขาอย่างแผ่วเบา

“องค์จักรพรรดิพระเจ้าหลวง ถึงเวลาเสวยพระโอสถแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เขาคือจักรพรรดิพระเจ้าหลวง !

ท้ายที่สุดแล้วจักรพรรดิพระเจ้าหลวงแห่งราชวงศ์อู๋คือจักรพรรดิเหวินหรือจักรพรรดิอู๋กันแน่ ?

ในเมื่อชายอ้วนยังกระโดดโลดเต้นอยู่ในคฤหาสน์ที่แคว้นฝาน บุคคลผู้นี้ย่อมเป็นจักรพรรดิเหวินไปโดยปริยาย

อู๋ฉางเฟิงสะบัดมือไปมา จากนั้นก็ไอขึ้นมาอีกครา เขาดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาดูพบว่าบนผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นเปื้อนคราบโลหิต

“พวกเราไปกันเถิด”

“ไปที่ใดพ่ะย่ะค่ะ ? ”

อู๋ฉางเฟิงลุกขึ้นยืน โดยมีโจวถงถงช่วยประคอง เขาเดินไปข้างหน้าต่างและเหม่อมองไปยังภูเขาฉีซาน

“จักรพรรดิพระเจ้าหลวงพ่ะย่ะค่ะ พระองค์…พระองค์มิกังวลว่าฝ่าบาทจะควบคุมสายฟ้าครานี้ไว้มิอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”

“เขาย่อมควบคุมได้อย่างแน่นอน หากมิทำเยี่ยงนี้แล้วปล่อยให้พระนักรบเหล่านั้นเข้าสู่เมืองกวนหยุนก็จะเกิดการสูญเสียอีกมากมายตามมา เมืองเปียนเฉิงจึงเป็นสถานที่ที่ดีที่สุด นอกจากนี้ยังมีปรมาจารย์อันดับหนึ่งในใต้หล้าเยี่ยงท่านผู้สังเกตอยู่ด้วย ตราบใดที่ท่านผู้สังเกตได้รับข่าวจากพวกเราและรีบไปที่นั่นอย่างรวดเร็วก็มิเป็นอันใดแล้ว”

โจวถงถงมิกล้าเอ่ยแย้งอันใด ลอบคิดไปว่าหากท่านผู้สังเกตได้รับข่าวล่าช้าเล่า ?

เยี่ยงนั้นก็จะมีชีวิตของพระพันปีสวี่หยุนชิงและจักรพรรดิฟู่เสี่ยวกวนเป็นเดิมพัน !

“ในใต้หล้านี้ไร้ซึ่งแผนการที่สมบูรณ์แบบ บุตรชายของข้า… เขารับมือได้อย่างแน่นอน พวกเราไปกันเถิด”

อู๋ฉางเฟิงมองไปยังภูเขาฉีซานด้วยแววตาล้ำลึก ภายในแววตาเต็มไปด้วยความอาวรณ์ ความคะนึงหา ความผูกพัน ทั้งยังมีความแค้นที่มิมีผู้ใดสัมผัสได้

เขาโบกมือไปยังทิศทางนั้น มุมปากกระตุกขึ้น บนใบหน้าที่ซีดเซียวมีรอยเลือดฝาดขึ้นมา ทั้งยังมีแววขบขันเล็กน้อยอีกด้วย

นี่คือแผนการที่ยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตของเขา ในใต้หล้านี้นอกจากโจวถงถงและจี้หยุนกุยก็มิมีผู้ใดทราบว่า… เขาต่างหากคือผู้ควบคุมหมากของแผนการยิ่งใหญ่ที่สุดของผืนปฐพีนี้

“พวกเราจะไปที่ใดพ่ะย่ะค่ะ ? ”

“…ไปที่สุสานจักรพรรดิ”

โจวถงถงตื่นตกใจขึ้นมาทันใด อู๋ฉางเฟิงหอบหายใจอีกสองเฮือก “เดิมทีข้าสมควรตายเนิ่นนานแล้ว ทว่าก็ยังมีชีวิตอยู่ได้อีกนานหลายปี ทั้งยังได้ฟังเรื่องสำคัญของบุตรชายมามากมาย ข้าพึงพอใจมากแล้ว เอาล่ะ ! ไปกันเถิด”

ไปกันเถิด… รถม้าหนึ่งคันเดินทางออกจากเรือนชิงเสียน โดยมีโจวถงถงเป็นผู้บังคับรถม้าให้พุ่งทะยานไปเบื้องหน้าท่ามกลางสายฝนแห่งวสันตฤดู

ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยหยดน้ำจนแยกมิออกว่านั่นคือน้ำฝนหรือน้ำตากันแน่