ตอนที่ 946 จบสิ้น

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 946 จบสิ้น

รัชสมัยเทียนเต๋อปีที่สาม วันที่ยี่สิบแปด เดือนสอง สงคราม ณ ที่ราบฮวาจ้งได้จบลงโดยชัยชนะตกเป็นของราชวงศ์อู๋

เดิมทีทุกคนคิดว่าทหารทั้งหลายของราชวงศ์อู๋จะได้พักผ่อนเสียที ทว่าในรัชสมัยเทียนเต๋อปีที่สาม วันที่ยี่สิบเก้า เดือนสอง ทหารดาบเทวะจำนวน 100,000 นายที่ประจำการอยู่ ณ ที่ราบฮวาจ้ง ได้รับพระราชโองการจากจักรพรรดิเต๋อจงว่าให้พวกเขาใช้เวลาเพียง 1 วันในการจัดระเบียบทหารดาบเทวะกองทัพที่สองขึ้นมาใหม่ และแต่งตั้งให้เฮ้อซานเตาเป็นผู้บัญชาการกองทัพ

รัชสมัยเทียนเต๋อปีที่สาม วันที่หนึ่ง เดือนสาม ทหารดาบเทวะกองทัพที่สองเดินทางออกจากทางเดินฉีซานมุ่งตรงไปยังเขตชนบทของราชวงศ์หยู

ส่วนเฉินป๋อและเว่ยอู๋ปิ้งยังคงอยู่ในราชวงศ์อู๋เพื่อจัดตั้งกองทัพที่สามและสี่ขึ้นมาใหม่

ระหว่างนั้นกวนเสี่ยวซีจากเขตปกครองตนเองชื่อเล่อชวนก็ได้พาทหารดาบเทวะกองทัพที่หนึ่งจำนวน 60,000 นายเข้าไปในแคว้นอี๋และเดินทางถึงเมืองไท่หลินซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นอี๋ในวันที่ยี่สิบสอง เดือนสอง

เนื่องจากกองทัพอาฆาตของแคว้นอี๋ถูกส่งออกไปแล้ว ส่งผลให้เมืองไท่หลินว่างเปล่า ดังนั้นเขาจึงเข้ายึดครองและจับตัวองค์จักรพรรดิเยียนหานยวี่ได้โดยมิสิ้นเปลืองแรง ทั้งยังมิสูญเสียทหารไปแม้แต่นายเดียว

กวนเสี่ยวซีสั่งให้กองพลที่หนึ่งอยู่คุ้มกันเมืองไท่หลินเอาไว้ ส่วนเขาพาอีกห้ากองพลที่เหลือมุ่งหน้าไล่ตามกองทัพของเฟิงเสียนชูและสามารถตามทันที่ด่านยินซาน

สายตาของทุกคนมิได้จับจ้องไปยังสงครามด่านยินซานนี้เลย สงครามในที่ราบฮวาจ้งต่างหากจึงจะเป็นสนามรบสำคัญ

ดูเหมือนสงครามครานี้จะจบสิ้นแล้วใช่หรือไม่ ?

“มิใช่ ! สำหรับแคว้นฝานเพิ่งเริ่มต้น ! ”

ฝานเทียนหนิงจ้องมองไปยังพระบิดา ดูเหมือนว่าตั้งแต่ข่าวสงครามที่เมืองเป่ยจวิ้นและที่ราบฮวาจ้งพ่ายแพ้ถูกส่งมา กอปรกับข่าวเมืองเปียนเฉิงถูกโจมตี เสด็จพ่อก็ชราภาพไปนับสิบปีภายในราตรีเดียว

“นี่คือความสามารถของพวกท่านเยี่ยงนั้นหรือ ? การที่สามารถโจมตีเมืองเปียนเฉิงได้ก็นับว่าเป็นโอกาสที่สวรรค์ประทาน เนื่องจากถ้าสามารถสังหารฟู่เสี่ยวกวนได้ที่เมืองเปียนเฉิง ต่อให้สงครามในที่ราบฮวาจ้งจะพ่ายแพ้ก็มิเป็นไร”

“ทว่าบัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนยังมีชีวิตอยู่ ตรงกันข้ามเป็นหยูเวิ่นเต้าที่ตกตาย”

“หยูเวิ่นเต้าตกตายไปแล้ว บัดนี้ราชวงศ์หยูจึงไร้ซึ่งผู้นำ พวกท่านคิดว่าราชวงศ์หยูจะเกิดเหตุจลาจลเยี่ยงแคว้นอี๋ใช่หรือไม่…”

“ข้าจะบอกพวกท่านว่า…ราชวงศ์หยูและแคว้นอี๋จะมิเกิดความวุ่นวายขึ้นอย่างแน่นอน ! ”

“ชื่อเสียงของฟู่เสี่ยวกวนในราชวงศ์หยูสูงส่งมากยิ่งนัก เกรงว่าเมื่อราษฎรในราชวงศ์หยูได้ทราบข่าวนี้คงดีใจเสียมากกว่า”

“อีกอย่างเขาได้วางแผนเอาไว้ในเมืองจินหลิง ข้าเกรงว่าบัดนี้เมืองจินหลิง…ก็จะตกอยู่ในกำมือของเขาแล้ว”

“เสด็จพ่อ… พระองค์ทรงเป็นพระบิดาที่ลูกเคารพยิ่ง นับจากนี้สิ่งที่เสด็จพ่อต้องทำคือใช้กำลังทหารทั้งหมดที่มีอยู่รับมือการแก้แค้นจากฟู่เสี่ยวกวน ส่วนลูกคือหนิงชินอ๋องซึ่งมีที่ดินศักดินาอยู่ที่รัฐหยุน บัดนี้ลูกกลับไปได้แล้วหรือยัง ? ”

จากนั้นฝานเทียนหนิงก็มุ่งหน้าไปยังรัฐหยุนด้วยความรู้สึกหดหู่

เขามิได้รับรายงานใด ๆ อีกเลย และมิรู้ว่าสิ่งที่เขาคาดการไว้จะกลายเป็นจริงหรือไม่

ย้อนไปเมื่อรัชสมัยเทียนเต๋อปีที่สาม วันที่ยี่สิบห้า เดือนสอง ในวันที่สงคราม ณ ที่ราบฮวาจ้ง เปิดฉากสู้รบ กองทัพเรือก็ได้ปรากฏตัวขึ้นบนแม่น้ำฉินหวาย

ไป๋ยู่เหลียนพากองนาวิกโยธินจำนวน 50,000 นายเทียบท่าและขึ้นฝั่งในเมืองจินหลิง พวกเขาใช้เวลาเพียง 1 ก้านธูปก็สามารถยึดครองเมืองจินหลิงไว้ได้แล้ว ส่วนฮั่วหวยจิ่นได้รับพระราชโองการลับจากหยูเวิ่นเต้าที่เมืองเจี้ยนเหมินในเจี้ยนหนานเต้า ทว่าในขณะเดียวกันเขาก็ได้พบกับบุคคลหนึ่ง ซึ่งนั่นก็คือ…จี้หยุนกุย

ทั้งสองสนทนากันตลอดทั้งคืน กระทั่งจี้หยุนกุยจากไป ฮั่วหวยจิ่นจึงมุ่งหน้าไปยังชายแดนตะวันตก เพื่อเข้าควบคุมกองทัพชายแดนตะวันตกจำนวน 300,000 นาย ทว่าเขามิได้นำทัพกลับไปยังเมืองจินหลิงแต่อย่างใด

เขาปักหลักพักอยู่ที่ค่ายทหารของกองทัพชายแดนตะวันตกแล้วรอฟังข่าวจากจี้หยุนกุย

เดิมทีการคุ้มกันของเมืองจินหลิงมิได้อ่อนแอ ทว่าเหล่าทหารผู้แข็งแกร่งแสร้งทำเป็นต่อต้าน จากนั้นก็มีคนเปิดประตูเมืองปล่อยให้กองนาวิกโยธินเข้ามาในเมืองได้

ราษฎรในเมืองจินหลิงมิมีผู้ใดคิดว่ากำลังถูกโค่นล้มราชวงศ์อยู่เลยสักคน พวกเขาคิดเพียงแค่ว่าน่าจะเป็นติ้งอันป๋อที่หวนกลับคืนมา

ติ้งอันป๋อ… มิใช่สิ ! เขาเป็นเจิ้นกั๋วกง หมายความว่าเจิ้นกั๋วกงกลับมาแล้ว แน่นอนว่าชีวิตต่อจากนี้จะมีแต่ดีขึ้นเรื่อย ๆ

……

……

ณ เรือนซีซาน

ซั่งรั่วซุ่ยบังเกิดอาการเปลือกตากระตุกอย่างรุนแรง

สายตาของต่งคังผิงดูเรียบนิ่ง ทว่าใบหน้าดูเหมือนจะหดหู่ลงเล็กน้อย

“ราชวงศ์หยู…พ่ายแพ้แล้ว”

ต่อให้คาดเดาไว้ล่วงหน้าว่าจะเป็นเช่นนี้ ทว่าซั่งรั่วซุ่ยก็ยังอดตกตะลึงมิได้ “เขา… เขาสังหารเวิ่นเต้าหรือไม่ ? ”

ต่งคังผิงนิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน “ฮ่องเต้หยวน…ทรงปลิดชีพพระองค์เอง ! ”

ภาพเบื้องหน้าของซั่งรั่วซุ่ยมืดมนลงทันใด ร่างของนางเอนไปด้านหลังจนเกือบจะหงายหลังล้มตึง ทว่าถูกต่งคังผิงเข้ามาประคองไว้ได้ทันท่วงที ใบหน้าซีดเผือด เหงื่อท่วมกาย ร่างกายไร้เรี่ยวแรงในทันใด

“พยุงไทเฮาไปพักผ่อนก่อนเถิด”

เมื่อต้องเผชิญเรื่องเลวร้ายเยี่ยงนี้ ต่อให้เป็นสตรีผู้แข็งแกร่งเพียงใดก็มิอาจแบกรับไหว แท้ที่จริงแล้วยังมีอีกหนึ่งเรื่องที่ต่งคังผิงมิได้เอ่ยออกมา เนื่องจากซั่งรั่วซุ่ยมิได้เอ่ยถาม…

ช่วงเวลาที่ไป๋ยู่เหลียนบุกเข้าไปในเมืองจินหลิงและก้าวเข้าสู่พระราชวัง หยูไป๋ไป๋ได้กระโดดลงมาจากหอคอยของเขตพระราชฐานชั้นใน

เขาปลิดชีพตนเองโดยไร้ความอาวรณ์ในสิ่งใด ตอนที่เขากระโดดลงมานั้นมีเพียงหยูซูหรงน้องสาวของเขายืนอยู่ด้วย

ฉินปิ่งจงเดินเข้ามา จากนั้นก็นั่งลงฝั่งตรงข้ามกับต่งคังผิง

“จบสิ้นแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ต่งคังผิงพยักหน้าเล็กน้อย “จบสิ้นแล้ว”

“จบลงเร็วถึงเพียงนี้ นับว่าเป็นความโชคดีของผู้คนในใต้หล้า”

“อืม…เดิมทีข้ากังวลว่าสงครามครานี้จะขยายวงกว้าง” ต่งคังผิงส่ายศีรษะแล้วหัวเราะเยาะตนเอง “เจ้าเด็กนั่นจัดการปัญหาทุกอย่างให้จบลง ณ ที่ราบฮวาจ้ง”

“พระราชโองการของเขามาถึงแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“อืม…” ต่งคังผิงหยักหน้า “เหล่าฉิน… ผืนนานี้ข้ามิอาจปลูกได้สำเร็จ เพราะวันรุ่งขึ้นข้าต้องเดินทางกลับเมืองหลวงเพื่อจัดการเรื่องกรมคลัง”

“ด้านนอกนี้คือผืนนา… แท้จริงแล้วแคว้นหนึ่งก็มิได้แตกต่างไปจากผืนนามิใช่หรือ ? เสี่ยวกวนเอ่ยว่าการปกครองแคว้นใหญ่เปรียบเสมือนกับการปรุงอาหารซึ่งมีหลักการเดียวกันในทุกพื้นที่ ราชวงศ์หยูต้องถูกจัดระเบียบเสียใหม่ ดังนั้นพวกเจ้ายังมีเรื่องมากมายให้จัดการ”

“อ่า…จริงสิ ! เขาจะทำเยี่ยงไรกับนโยบายของราชวงศ์หยูกัน ? ”

“ยังมิได้เอ่ยให้ชัดเจน ทว่าสั่งให้ข้าทำตามแผนการเดิมและให้เยี่ยนซือเต้ารับหน้าที่เป็นอัครมหาเสนาบดีต่อไปเพื่อเตรียมพร้อมเรื่องการทำงานของราชสำนัก เนื่องจากเสี่ยวกวน…ยังมิมีเวลากลับเมืองจินหลิง”

“เขายังมีเรื่องใดต้องจัดการอยู่อีกหรือ ? ”

“ได้ยินมาว่า…ขบวนพระศพของจักรพรรดิเหวินระหว่างเดินทางจากแคว้นฝานมาถึงราชวงศ์อู๋ ในโลงพระศพนั้นมิพบศพของจักรพรรดิเหวินอยู่”

ฉินปิ่งจงขมวดคิ้วมุ่น จักรพรรดิเหวินสวรรคตในเหตุการณ์หิมะถล่มครานั้นมิใช่หรือ ?

ในเมื่อต่งคังผิงเอ่ยว่าพระศพของจักรพรรดิเหวินถูกส่งจากแคว้นฝานไปยังราชวงศ์อู๋ ก็เห็นได้ชัดว่ายังมิได้สวรรคตในเหตุการณ์นั้น

เรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่ ?

มีแผนการซับซ้อนอันใดซ่อนอยู่ใช่หรือไม่ ?

ฉินปิ่งจงมิได้เอ่ยถาม ทว่าชี้ไปทางห้องบรรทมของซั่งรั่วซุ่ย “แล้วนางเล่า…จะทำเยี่ยงไรต่อไป ? ”

“วันพรุ่งนี้ข้าจะให้คนส่งนางขึ้นเรือไปยังราชวงศ์อู๋”

“ที่ราชวงศ์อู๋มีหยูเวิ่นหวินบุตรีของนางอยู่ นี่คงเป็นวิธีเดียวที่สามารถจัดการได้ในเวลานี้

“อืม…ทำตามที่เจ้าเอ่ยเถิด”

เช้าวันต่อมา…เรือนซีซานอันเงียบสงบก็ถูกเสียงหนึ่งปลุกขึ้นมา จนทุกคนแตกตื่น

เมื่อต่งคังผิงและฉินปิ่งจงเดินมาถึงหน้าห้องบรรทมของซั่งรั่วซุ่ยก็ได้พบกับศพที่เย็นเฉียบ บริเวณลำคอของศพผูกด้วยผ้าสีขาวยาวราว 3 ฉื่อห้อยลงมาจากคาน

ต่งคังผิงหลับตาลง ส่วนฉินปิ่งจงได้แต่ถอนหายใจออกมา

พวกเขาเดินเข้าไปด้านในห้องบรรทม จากนั้นก็นำร่างของซั่งรั่วซุ่ยลงมาวางไว้บนเตียง

ต่งคังผิงเหลือบไปเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งซึ่งมีเนื้อความว่า

‘จบสิ้น’

ฮ่องเต้หวนคืนสู่ธรณี

ผู้หลงระเริงในรูปโฉมตน

คือรากเหง้าแห่งความพินาศ

วงศ์ตระกูลไร้ซึ่งผู้สืบสกุล

ควรกล่าวโทษสตรีอันดับแรก

ความเลวร้ายทั้งปวงเกิดจากความลุ่มหลง !

……

สองวันต่อมา ขบวนรถม้าก็ได้เดินทางออกจากเรือนซีซาน มุ่งหน้าไปยังเมืองหลินเจียง

ที่หลินเจียงมีท่าเรือส่วนตัวอยู่ มีชื่อเรียกว่าซ่างหลินโจว

เสียนชินอ๋องและบุตรชายหยูหงอี้ได้เข้าต้อนรับคณะเดินทางของต่งคังผิง และในวันเดียวกันนั้นเสียนชินอ๋องพร้อมหยูหงอี้ก็ได้ส่งพระศพของไทเฮาซั่งขึ้นเรือโดยสาร ณ ซ่างหลินโจว

เรือลำนั้นแล่นออกไปจากท่าเรือ ต่งคังผิงได้แต่มองไปยังหอวั่งเจียงโหลวที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ด้านบนชั้นสองมีป้ายที่ดูเหมือนใหม่เขียนเอาไว้ว่า

มองดูเจียงโหลว มองดูแม่น้ำเจียง มองดูแม่น้ำเจียงไหลไปอยู่บนเจียงโหลว เจียงโหลวนิรันดร์ แม่น้ำเจียงนิรันดร์ เป็นคู่ครองกันนับพันปี

วันที่เมฆหลากสี ท่ามกลางหมู่เมฆหลากสี บนท้องฟ้าหลากสีมีเมฆหลากสี ท้องฟ้าพันปี เมฆพันปี

อาทิตย์อัสดงดุจสีของโลหิต เมฆหลากสีปกคลุมทั่วท้องนภา วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียง 6 ปีเท่านั้น ทุกสรรพสิ่งก็เกิดการเปลี่ยนแปลงคราใหญ่ มีทั้งชีวิตที่ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่และมีอีกหลากหลายชีวิตที่ดับสูญไป คงมีเพียงแม่น้ำพันปีสายนี้และเมฆหลากสีเหล่านี้เท่านั้นที่ยังคงเหมือนเดิม’