ตอนที่ 559 เริ่มร่ายค่ายกลคาถา (2)

หมอดูยอดอัจฉริยะ

ตอนที่ 559 เริ่มร่ายค่ายกลคาถา (2) โดย Ink Stone_Fantasy

ยอดเขาวิคตอเรียในตอนเช้า ปกคลุมไปด้วยหมอกบางๆ ภูเขาที่ปรากฎขึ้นเป็นต้นไม้สีเขียวทึบ มองไกลๆ ก็จะเห็นก้อนเมฆลอยเกลียวขึ้นเป็นชั้นๆ ราวกับดินแดนของสวรรค์

ยอดเขาวิคตอเรียในอดีตไม่มีปรากฏการณ์แบบนี้ให้เห็น ตั้งแต่สร้างลูกบอลฮวงจุ้ยและเสาฮวงจุ้ยนั้นขึ้นมา ฮวงจุ้ยบนภูขาก็เหมือนจะดีขึ้นเยอะมาก โดยเฉพาะอากาศในยามเช้าตรู่ เห็นได้ชัดว่าสดชื่นผิดปกติ

เมื่อเวลาตีสามมาถึง เยี่ยเทียนที่นั่งอยู่บนเบาะทรงกลมที่อยู่จุดชมวิวในวิลล่าก็ลุกขึ้นยืน โก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นที่อยู่ด้านซ้ายและขวาทั้งสองฝั่งต่างมีปฏิกิริยาตอบรับที่รวดเร็ว และลืมตาขึ้นพร้อมกัน

ถึงแม้ยังไม่ได้เปิดค่ายกล แต่ปราณวิเศษของที่นี่มีอยู่มากมาย เมื่อเทียบกับเรือนสี่ประสานในเมืองปักกิ่งแล้วต่างกันเพียงเล็กน้อย ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาพวกเขาศิษย์พี่และศิษย์น้องต่างก็นั่งสมาธิที่นี่นี่ทั้งคืน

หลังจากการทำสมาธิหกเจ็ดชั่วโมง จิตวิญญาณของทั้งสามคนก็ได้ฟื้นฟูคืนสู่สภาพที่ดีที่สุด พวกเขารู้ว่าค่ายกลจะเปิดสำเร็จหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับวันนี้แล้ว

“ศิษย์น้องเล็ก ได้เวลาแล้วใช่ไหม?”

ดวงตาทั้งสองข้างของจั่วเจียจวิ้นเปรียบเสมือนไฟ ที่ส่องเปล่งประกายออกมา ร่างกายที่ผอมแห้งแฝงด้วยพลังที่น่ากลัวนั้น เห็นได้ชัดว่าสภาพของร่างกายเขาได้ปรับสภาพดีแล้ว

เมื่อเทียบกับจั่วเจียจวิ้นที่เผยสายตาที่ชัดเจนแสดงออกมาขนาดนี้ เยี่ยเทียนกับโก่วซินเจียกลับมีท่าทีที่สงบเหมือนเป็นปกติ ร่างกายไม่แสดงความผิดปกติอะไรออกมา แต่จั่วเจียจวิ้นก็รู้ว่า ศิษย์พี่น้องคู่นี้ ได้บรรลุถึงและได้เข้าสู่สภาพเดิมแล้ว

“ช่วงเวลาตีสามสี่สิบห้านาทีเป็นช่วงที่เสือร้ายออกมา ยังต้องรออีกสักพัก”

เยี่ยเทียนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่มืดสนิท อากาศของวันนี้ไม่ใช่จะดี มีเมฆดำจำนวนหนึ่งปกคลุมท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว

แต่สำหรับซินแสฮวงจุ้ยแล้ว นี่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร อย่างน้อยเยี่ยเทียนก็สัมผัสได้ถึงดาวไถเก้าดวงและมีอีกสองดวงที่ซ่อนอยู่ด้านใน

ดวงดาวที่มีลักษณะช้อนงอขึ้นกลายเป็นกลุ่มดาวไถ ชี้ให้เห็นพลังจักรวาลที่โคจรไปตามโลกอย่างไม่รู้ตัว กลุ่มดาวไถเจ็ดดวงก็เป็นดาวเทพเจ้าทั้งเจ็ดที่บูชาในลัทธิเต๋า ลัทธิเต๋าในสมัยโบราณ จึงมีความเชื่อมโยงกันทั้งหมด

หลังจากที่เงยหน้ามองดาวสักพัก เยี่ยเทียนจึงปริปากพูด “ศิษย์พี่สอง อีกสักพักผมจะเริ่มเปิดค่ายกลด้านล่าง พวกพี่ต้องรีบเคลื่อนค่ายกลรวบรวมดาวทั้งเก้า เพื่อให้สองอย่างนั้นประสานกัน…

แต่พลังวิญญาณที่ก่อตัวในค่ายกลด้านล่างนั้นดุเดือดอย่างมาก ถ้าศิษย์พี่ทั้งสองต้านไม่ไหว ก็ไม่ต้องฝืนครับ!”

ตอนที่เยี่ยเทียนพูดมีสีหน้าเคร่งขรึมอย่างมาก หลังจากที่สร้างค่ายกลทั้งสองนี้สำเร็จอานุภาพก็ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น แต่ถ้าหากการสร้างค่ายกลนั้นล้มเหลว พลังแว้งกัดก็จะมีอานุภาพที่โหดร้ายมากขึ้น

ต้องรู้ว่า ค่ายกลซานฉายของเสาฮวงจุ้ยกับค่ายกลรวบรวมพลังวิญญาณดวงดาวเก้าดวงของบนภูเขา ทั้งสองอย่างนี้เป็นค่ายกลที่ไม่เหมือนกัน

ค่ายกลซานฉายทำหน้าที่ดูดซับเปลี่ยนพลังฟ้าดินที่รุนแรนของทะเล แต่มันไม่มีช่องทางในการปลดปล่อย เมื่อความจุของมันถึงจุดสูงสุด พลังวิญญาณเหล่านั้นก็จะระเบิดออกมา เป็นผลร้ายที่เกิดความคาดหมาย

ส่วนค่ายกลรวบรวมพลังวิญญาณดาวเก้าดวง ก็คือเอาพลังวิญญาณที่เกิดจากค่ายกลซานฉายรับมันเข้ามาทั้งหมด เพื่อใช้การบำรุงบ้านหลังนี้ และภายใต้ผลของค่ายกล จึงทำให้พลังวิญญาณนั้นอ่อนโยนลงและสมดุลกัน

ค่ายกลทั้งสองคือการช่วยเสริมซึ่งกันและกัน ระหว่างนั้นจึงไม่อาจเกิดความผิดพลาดได้ และการเปิดค่ายกลซานฉายก็จะมีอันตรายอย่างมาก

แต่การก่อตัวของค่ายกลรวบรวมพลังวิญญาณดาวเก้าดวงในบ้านก็อันตรายเช่นกัน ถ้าหากพลังวิญญาณที่เกิดจากค่ายกลซานฉายนั้นเกิดความคลุ้มคลั่ง และค่ายกลรวบรวมพลังวิญญาณดาวเก้าดวงนี้จะประสบความสำเร็จไหม ก็เป็นบททดสอบที่ยิ่งใหญ่อีกอย่างหนึ่งของโก่วซินเจียกับจั่วเจียจวิ้น

หลังจากที่ได้ยินความกังวลของเยี่ยเทียน โก่วซินเจียจึงยิ้มขึ้นมาแล้วพูด “ศิษย์น้องเล็ก ฉันกับศิษย์น้องจั่วแยกกันแล้วยังสู้นายไม่ได้เลย แต่ถ้ารวมกันแล้ว วรยุทธก็ไม่ได้ด้อยไปกว่านายนะ แต่นายจะเปิดค่ายกลซานฉายเพียงคนเดียวมันอันตรายเกินไป…

จากที่ฉันดูนะ ให้เซี่ยวเทียนลงไปกับนายด้วย ถึงแม้วรยุทธของเขาจะอ่อนแเอไปหน่อย แต่เวลาคับขันก็น่าจะเป็นประโยชน์!”

ในชีวิตของโก่วซินเจียนี้ได้สัมผัสกับเหตุการณ์สำคัญเกือบทั้งหมดที่เกิดขึ้นในยุคจีนสมัยใหม่ จิตใจจึงเยือกเย็นเหมือนสายน้ำ แม้แต่ในการเผชิญหน้ากับค่ายกลทั้งสองที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ก็ไม่สามารถทำให้เขาเกิดอารมณ์ผันผวนได้

“เซี่ยวเทียน? เขาไม่ได้…”

เยี่ยเทียนได้ยินถึงกับส่ายหน้า พูดว่า “ถ้าไม่ใช่ว่าศิษย์พี่จั่วได้เข้าฝึกญาณจนแยกออกจากกันได้แล้ว ก็คงไม่ยื่นมือเข้ามาหรอก วรยุทธของเซี่ยวเทียนยังไม่ถึง จึงไม่สามารถต้านทานพลังชี่นั้นได้”

การสร้างค่ายกลแบ่งออกเป็นสามขั้นตอน ขั้นตอนแรกคือการสร้างโครงสร้างพื้นฐานของค่ายกล ซึ่งรวมถึงการแกะสลักและเครื่องรางของขลังต่างๆ บนวัสดุ ขั้นตอนนี้เรียกว่าการเตรียมงาน

ขั้นตอนที่สองคือการเตรียมวัตถุทุกอย่างให้เสร็จ ต้องจัดวางตามทิศทางของค่ายกล ขั้นตอนนี้ต้องปฏิบัติอย่างจริงจัง เพราะถ้าผิดพลาดเพียงเล็กน้อย อาจจะทำให้การเริ่มสร้างค่ายกลล้มเหลว

และแน่นอนว่าขั้นตอนที่สำคัญคือขั้นตอนที่สาม นั่นก็คือการเริ่มร่ายค่ายกลคาถา ขั้นตอนนี้ค่ายกลจะสามารถดำเนินการตามโครงสร้างที่คิดก่อนหน้านั้นได้สำเร็จหรือไม่ เรียกได้ว่าสำคัญมากๆ

ความยากง่ายในการเริ่มสร้างค่ายกลนั้น มักจะขึ้นอยู่กับสัดส่วนอานุภาพพลังที่เพรียบพร้อมของค่ายกล

ตอนนั้นที่เยี่ยเทียนสร้างค่ายกลรวบรวมพลังวิญญาณเฉียนคุณ แค่วรยุทธที่เป็นพลังแฝง แต่พื้นที่ที่เขาสร้างค่ายกลทั้งหมดไม่เกินหนึ่งพันตารางเมตร ก็ทำให้เยี่ยเทียนได้เลือดเป็นตัวแลกเปลี่ยน แต่ก็ยังทำให้ค่ายกลทำงานได้

แต่สิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้คือรวมกันของค่ายกลซานฉายเปลี่ยนสุริยันกับค่ายกลรวบรวมพลังวิญญาณดาวเก้าดวง ซึ่งอิทธิพลของมันกว้างมีผลอยู่ในระยะกว่าสิบกิโลเมตร ต่อให้ตอนนี้เยี่ยเทียนจะมีวรยุทธก้าวหน้าอีกหนึ่งขั้น ก็ไม่มั่นใจว่าการเปิดค่ายกลนั้นจะสำเร็จ

และวรยุทธของโจวเซี่ยวเทียน แน่นอนว่าไม่สามารถต้านทานพลังจักรวาลที่วุ่นวายตอนที่เริ่มเปิดค่ายกลได้ พอถึงตอนนั้นเกรงว่าเยี่ยเทียนจะต้องแยกสมาธิเข้าไปช่วยเขาอีก จึงเป็นการได้ไม่คุ้มเสีย

ดังนั้นวันนี้เยี่ยเทียนไม่ให้เขาอาศัยอยู่ในบ้าน และก็ให้หลิ่วติ้งติ้งอยู่เป็นเพื่อนพ่อกับแม่เขาที่บ้านจั่วเจียจวิ้นแทน เพราะกลัวว่าถึงตอนนั้นพวกเขาสามสี่คนจะสร้างความวุ่นวายได้

เยี่ยเทียนเงยหน้าขึ้นมองเห็นดาวสว่างดวงหนึ่งบนท้องฟ้า ทำให้หัวใจของเขาสั่นทันทีและพูดว่า “ศิษย์พี่ ไท่ไป๋ซิงขึ้นแล้ว ผมขอลงไปก่อน!”

ไท่ไป๋ซิงที่เทียนพูดถึง แท้จริงแล้วก่อนรุ่งสาง บนขอบฟ้าด้านตะวันออกจะมองเห็น “ดาวรุ่งยามเช้า” ที่สว่างไสวเป็นพิเศษเป็นบางครั้ง ชื่อทางวิทยาศาสตร์คือดาวศุกร์

แต่ดาวศุกร์ในตำนานลัทธิเต๋า มันกลับครองตำแหน่งที่สำคัญ ในลัทธิเต๋า ดาวศุกร์กล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในสมาชิกหลักและสถานะของมันอยู่ภายใต้เทพเจ้าซานซิง (เซียนไท้ซ่างเหล่าจวิน หยวนสื่อเทียนจุน และทงเทียนเจี้ยวจู่)

ดาวศุกร์ในตอนรุ่งสาง แสดงถึงวันแรกของการเกิด การที่ดาวศุกร์ขึ้น ทุกสรรพสิ่งจะเข้าหาพลังหยาง เมฆสีม่วงทางทิศตะวันออกก็ตกลงตรงดาวศุกร์ในชั่วพริบตา ถึงตอนนั้นก็คือเวลาที่เริ่มเปิดค่ายกลคาถาได้

เมื่อเห็นดาวศุกร์ขึ้นตรงขอบฟ้า เยี่ยเทียนจึงไม่อืดอาด หันไปเคารพศิษย์พี่ทั้งสอง จากนั้นก็กระโดดลงไปจากจุดชมวิว

หลังจากลงมากว่าสิบเมตร ปลายเท้าของเยี่ยเทียนก็แตะบนยอดไม้อย่างแผ่วเบา ร่างกายดูเหมือนจะเดินล่องลอยอยู่ในสายลม เสื้อผ้าสีขาวราวกับหิมะ ฉวัดเฉวียนล่องลอยอยู่รอบๆ หมอกบนภูเขา

สถานที่ของคฤหาสน์กับเสาฮวงจุ้ย ตั้งอยู่ในแนวเส้นตรง ตรงกลางยกเว้นภูเขาและป่าไม้แล้ว ก็ไม่มีอะไรเป็นตัวกั้น

ร่างของเยี่ยเทียนเคลื่อนไหวผ่านภูเขาและป่าไม้อย่างรวดเร็ว หลังจากที่เวลาสั้นๆ สิบกว่านาที เขาก็มาถึงศูนย์กลางของค่ายกลซานฉาย

เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อการร่ายค่ายกล เมื่อวานนี้จั่วเจียจวิ้นได้มีการติดต่อประสานงานกับรัฐบาลเกาะฮ่องกง ว่าภายในรัศมีหนึ่งกิโลเมตรของค่ายกลซานฉาย ต้องมีสายกั้นของตำรวจ นอกจากเยี่ยเทียนแล้ว ห้ามใครคนอื่นเข้าไปในนั้น

ข้างหน้าเยี่ยเทียนในตอนนี้ ก็คือเสาฮวงจุ้ยที่สูง 28 เมตร

เสาฮวงจุ้ยซึ่งใช้เวลาสามเดือนจึงจะเสร็จสมบูรณ์ เหมือนเสาหยกที่รองรับท้องฟ้าใต้เนินเขา เสาทั้งหมดด้านในเป็นทรงกลมด้านนอกทรงเหลี่ยม กลมคือท้องฟ้า เหลี่ยมคือดิน ดินต้องใหญ่กว่าท้องฟ้า

นอกจากนักปราชญ์สามคนแล้ว ด้านล่างของเสาสลักด้วยลวดลายของมังกร หงส์และกิเลน มีสี่ปรากฏการณ์ล้อมรอบค่ายกล ด้านหน้าทางทิศใต้มีหงส์แดง ด้านหลังทิศเหนือมีเต่าดำ ด้านซ้ายทางทิศตะวันออกมีมังกรฟ้าด้านขวาทิศตะวันตกมีเสือขาวที่ล้อมรอบทั้งสี่ด้าน

ตำแหน่งตรงกันข้ามมังกรฟ้าทางตะวันออก ก็คือพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก ทุกวันจะเกิดเมฆสีม่วงทางทิศตะวันออกเป็นอย่างแรก จะถูกมันดูดซึมเข้าไปในค่ายกล โดยเหตุนี้ปราณวิเศษที่อยู่ในค่ายกลรวบรวมพลังวิญญาณดาวเก้าดวงถึงมีความบริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น

และตำแหน่งที่เยี่ยเทียนยืนอยู่ตรงนี้ ก็คือตรงกลางดวงตาทั้งสองข้างของหยินหยางของค่ายกลจิ่วกงปากว้า ซึ่งเป็นดวงตาของค่ายกลซานฉายนั่นเอง

เยี่ยเทียนที่ใส่ชุดสีขาวที่ต้องรับบทบาทที่หนักอึ้งยืนอยู่ข้างล่างอย่างเงียบๆ ถึงแม้ว่าปริมาตรทั้งสองอย่างจะไม่ได้สัดส่วน แต่ร่างกายของเยี่ยเทียนกลับเหมือนเทพที่อยู่ในโลกมนุษย์ ไม่รู้สึกตัวเล็กเตี้ยเลย

เมื่อเงยหน้ามองดาวศุกร์บนท้องฟ้าที่สว่างขึ้นเรื่อยๆ แต่ดาวไถเจ็ดดวงกลับค่ายๆ มืดลง เยี่ยเทียนจึงหายใจเขาลึกๆ เพราะเขายังต้องรอต่อไป

เยี่ยเทียนกำลังรอช่วงเวลาที่ดาวไถเจ็ดดวงหนีไปก่อน ช่วงเวลานั้นพลังฟ้าดินก็จะสูงขึ้น เมฆสีม่วงทางทิศตะวันออกก็จะปรากฎขึ้น ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญของการเปิดค่ายกล

เมื่อเวลาช่วงตีสามถึงตีห้าผ่านไป ช่วงเวลาเช้าก็ขึ้นมาในพริบตา เท้าขวาของเยี่ยเทียนค่อยๆ ยกขึ้น ประนมสองมือตรงหน้าอก มีดสั้นอู๋เหินหนีบอยู่กลางฝ่ามือของเขา ทำตามแบบอินเดีย พร้อมส่งเสียงดังออกมา “เฉียน!!!”

หลังจากที่ส่งเสียงออกไป ทั้งร่างของเยี่ยเทียนจู่ๆ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลง

ถ้าคนภายนอกได้เห็น ก็จะพบว่าร่างกายของเยี่ยเทียนนั้นได้หลอมเข้าไปด้านหลังของภูเขาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ตั้งสูงตระกรานตาราวกับภูเขาไท่ซาน พลังที่เฉียบคมราวกับแสงดาบพุ่งทะยานเพิ่มขึ้นจากตัวของเขา

โก่วซินเจียที่อยู่ห่างออกไปเจ็ดแปดกิโลเมตรยังรู้สึกได้ถึงพลังนี้ จึงอดส่ายหน้าและถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “สุดยอด ถ้าจะพูดว่าใครในโลกนี้สามารถฝึกจิตบรรลุขั้นเซียนได้ เกรงว่าคงมีแต่เยี่ยเทียนแล้ว!”

“ศิษย์พี่ พวกเราก็เตรียมตัวกันได้แล้ว เกรงว่าค่ายกลซานฉายด้านล่างกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว!”

สีหน้าของจั่วเจียจวิ้นดูตื่นเต้นอยู่บ้าง ดวงตาทั้งคู่จ้องเขม็งไปที่เสาฮวงจุ้ยที่ด้านล่างภูเขา เหมือนอยากจะมองเห็นเยี่ยเทียนทำการร่ายเวทมนตร์คาถา

“ปิง!”

ตอนที่พลังนั้นถึงขั้นสุด มือทั้งสองข้างของเยี่ยเทียนจู่ๆ ก็เปลี่ยนไป เท้าขวายกขึ้นกระทืบเท้าลงบนพื้นอย่างหนัก

ปิง (อาวุธ) แสดงถึงกำลัง กำลังโจมตีหลัก ทันใดนั้นเท้าของเยี่ยเทียนก็หยุดลง ในระยะหลายร้อยเมตรดูเหมือนว่ามันจะสั่นสะเทือนไปรอบๆ และพลังแห่งฟ้าดินก็กระจัดกระเจิงขึ้น

เสื้อขาวของเยี่ยเทียนปลิวขึ้นขณะที่ยืนอยู่ด้านล่างเสาฮวงจุ้ย ร่างเหมือนเรือแบนในเกลียวคลื่นของทะเล แต่เท้าทั้งสองข้างของเขาเหมือนตะปูที่ตอกลงพื้นก็ไม่ปาน ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เลย

เมื่อดาวไถเก้าดวงได้ถูกซ่อนบนท้องฟ้าอย่างสมบูรณ์แล้ว เมื่อพลังหยางทางทิศตะวันออกพัดผ่านมา ดวงตาของเยี่ยเทียนก็สว่างขึ้น การจับข้อนับนิ้วของมือทั้งสองข้างเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง

……………………………………………………………..