บทที่ 1137 เส้นทางศัตรูที่แคบนัก

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰

บทที่ 1137 เส้นทางศัตรูที่แคบนัก

เมื่อมู่เฉินพุ่งออกมาจากหมอกพิษหนาแน่น

สิ่งที่เขารู้สึกได้อย่างแรกก็คือสายตาเฉียบคมที่จ้องมาหา เขาขมวดคิ้วเงยหน้าขึ้นก็ฟาดฟันสายตากับเซี่ยหยู่พอดี

เซี่ยหยู่เผยรอยยิ้มประดับที่มุมปากแต่ไม่ได้ปกปิดอาการถากถางและเย้ยหยัน เห็นได้ชัดว่าเซี่ยหยู่ ‘ประหลาดใจ’ เล็กน้อยที่เห็นมู่เฉินที่นี่

มู่เฉินก็รู้สึกประหลาดใจไม่แพ้กันที่เห็นเซี่ยหยู่ ก่อนที่จะกลับไปมีท่าทางสงบนิ่ง ทว่าก็มีแสงเฉียบคมวูบไหวในดวงตาเขา

เซี่ยหยูแสดงความคิดดำมืดตั้งแต่ในอุโมงค์เดินทางเข้าสู่วังสวรรค์บรรพกาล พยายามทำลายเส้นทางของพวกมู่เฉินหวังว่าจะฆ่าพวกเขาในมิติสับสนวุ่นวาย ซึ่งเป็นเรื่องเลวร้ายอย่างแท้จริง

“ฮ่าๆ พี่มู่ดูเหมือนเจ้าจะเก็บเกี่ยวของดีในเกาะตำหนักมังกรได้นะ ไม่รู้ว่ามาพูดคุยกันหน่อยได้ไหม?” เซี่ยหยูมองมู่เฉินที่อยู่ไกลพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยน

จอมยุทธ์หลายสิบที่อยู่รอบเซี่ยหยู่ก็มองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาไม่เป็นมิตร ราวกับกำลังดูเหยื่อที่ตกไปในหลุมพรางที่พวกเขาขุดไว้แล้ว

ก็เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะเกิดความมั่นใจเช่นนี้ ซึ่งเป็นเพราะการรวมตัวของพวกเขาที่มีพลังน่ากลัว เนื่องจากมีจอมยุทธ์ในทำเนียบสิบห้าอันดับแรกของทวีปเทียนหลัวอยู่เกือบสิบคน ซึ่งล้วนมีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเซี่ยหยู่ที่น่ากลัวยิ่งกว่าอะไรที่อยู่ในอันดับสี่พร้อมกับขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มซึ่งเป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงในหมู่คนรุ่นใหม่

ส่วนมู่เฉินเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้นเท่านั้น ซึ่งสามารถรับมือได้อย่างง่ายดาย!

ที่ด้านหลังเซี่ยหยู เซี่ยหงก็เขม่นมองมู่เฉินด้วยแววตาโหดเหี้ยมสะใจ เขากำลังคิดแล้วว่าจะจัดการกับมู่เฉินยังไงดี

ทิศทางอื่นของเกาะเมื่อทุกคนเห็นฉากนี้ก็ส่ายหัวมองมู่เฉินด้วยสายตาเวทนา ชายคนนี้ซวยจริงๆ ตกเป็นเป้าของพวกเซี่ยหยู่ตั้งแต่ก้าวออกมา

ด้วยนิสัยของเซี่ยหยู่ไม่ว่ามู่เฉินจะได้รับสมบัติอะไรจากเกาะมังกร เขาคงจะถูกถลกหนังหัวออกมาทั้งเป็นแน่

ท่ามกลางสายตาเห็นใจของผู้คน มู่เฉินก็ยิ้มอ่อนให้เซี่ยหยู่พลางส่ายหน้า “ข้าไม่ได้สนิทสนมอะไรกับเจ้า อย่าเลยดีกว่า”

พอได้ยินคำตอบของมู่เฉิน เซี่ยหยู่ก็อึ้งไปก่อนจะส่ายหัวพลางหัวเราะออกมา

“ไอ้โง่! แกคิดว่าพี่เซี่ยกำลังถามความคิดเห็นอยู่เรอะ?” จอมยุทธ์หนุ่มคนหนึ่งที่มีคลื่นผันผวนรอบกายก็มองมาที่มู่เฉินด้วยสายตาดุร้ายสาดรอยยิ้มน่าขนพองสยองเกล้า “ในเมื่อแกไม่เข้ามาดีๆ งั้นข้าก็มา ‘เชิญ’ เป็นการส่วนตัว”

“ตู้ม!”

คลื่นหลิงยิ่งใหญ่ระเบิดออกมาจากร่างชายคนนั้นเมื่อพิจารณาจากระดับก็อยู่ในขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดแล้ว นอกจากนี้ก็ยังไม่ใช่พวกอ่อน เนื่องจากอยู่ในอันดับที่สิบห้าของทำเนียบ

ชายคนนั้นก้าวออกมาปรากฏตัวเบื้องหน้ามู่เฉินพร้อมกับแสงหลิงพวยพุ่งจากฝ่ามือใหญ่ แสงขยายขนาดเป็นร้อยจั้งพุ่งออกมาด้วยความตั้งใจที่จะจับตัวมู่เฉิน

เมื่อชายคนนั้นเคลื่อนไหวก็ทำให้เกิดความปั่นป่วนในบริเวณนี้ “นั่นจอมยุทธ์อันดับที่ห้าสิบบนทำเนียบ—หลูฉิว!”

“พลังกายของหลูฉิวทรงประสิทธิภาพมาก ครั้งหนึ่งเขาเคยซัดจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าสามคนตายด้วยหมัดของเขา”

“เจ้านั่นไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำกล้าพูดอย่างนั้นกับเซี่ยหยู่ได้ ทีนี้ต่อให้เขาจะถวายสมบัติให้ ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตแล้ว”

ภายใต้เสียงอุทาน มู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่มือใหญ่พร้อมกับแสงเย็นวูบไหวในดวงตา อึดใจแสงสีทองก็พุ่งออกมาจากร่างกาย เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าดังกึกก้อง มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงปรากฏบนแขนขวาของเขาพร้อมกับกรงเล็บมังกรและปีกหงส์ฟ้ายื่นออกมาห่อหุ้มนิ้วทั้งห้าของมู่เฉิน

แรงน่ากลัวระเบิดออกมาคล้ายกับกระแสน้ำจากแขนของมู่เฉิน

เขาเหวี่ยงหมัดออกไปพร้อมกับใบหน้าไร้อารมณ์ แสงสีทองทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าปะทะกับฝ่ามือที่บีบกดลงมา

“รนหาที่ตาย!”

เมื่อหลูฉิวเห็นว่ามู่เฉินกล้าที่จะปะทะกันตรงๆ เขาก็เผยรอยยิ้มเหี้ยม แต่ทันใดนั้นม่านตาก็ต้องหดแคบลง

นั่นเป็นเพราะเขาตระหนักได้ว่ามีพลังที่น่ากลัวกำลังแผ่ออกมาจากหมัดของมู่เฉิน

มิหนำซ้ำยังได้ยินเสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าอย่างคลุมเครืออีกด้วย

ตู้ม!

คลื่นกระแทกที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าระเบิดขึ้นบนท้องฟ้าครอบคลุมรัศมีหนึ่งหมื่นจั้ง ผู้คนที่เห็นผลกระทบก็เกิดการเปลี่ยนแปลงในอากัปกิริยาราวกับว่าเห็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ

นั่นเป็นเพราะพวกเขาเห็นร่างหลูฉิวได้รับผลกระทบอย่างหนัก ถูกระเบิดซัดออกมาในสภาพที่น่าสมเพช!

หลูฉิวถูกมู่เฉินที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้นซัดหน้าหงายปลิวจากหมัดหลุ่นๆ!

“เป็นไปได้ยังไง?!” ผู้คนมีสีหน้าหวาดผวา ชัดว่าไม่อยากจะเชื่อว่าฉากเบื้องหน้าเป็นเรื่องจริง ในความคิดพวกเขาควรเป็นมู่เฉินที่ถูกหลูฉิวซัดจนสิ้นท่า!

ตู้ม!

ทว่าถึงพวกเขาจะรู้สึกไม่เชื่อมากแค่ไหนร่างหลูฉิวก็ปลิวออกไปแล้ว เซี่ยหยู่ก็ดวงตาหดลงกับภาพนี้ ทันใดนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปด้วยสีหน้าเฉยเมย ร่างหลูฉิวเหมือนได้รับการประคองจากมือขนาดใหญ่ ไม่ขยับออกไปอีก

“ฮะฮา น่าเกรงขามจริงๆ…” เซี่ยหยู่ยิ้มบางให้มู่เฉิน แต่ก็ไม่ได้มีระลอกคลื่นอะไรมาก เนื่องจากมู่เฉินไม่สามารถหลบหนีจากสถานการณ์ปัจจุบันได้

แม้ว่าหลูฉิวจะมีความสามารถ แต่ในกลุ่มของพวกเขา จอมยุทธ์ระดับนี้ยังมีอีกหลายคน

“มอบสมบัติเกาะมังกรมาซะแล้วตัดแขนไถ่โทษ จากนั้นข้าจะปล่อยเจ้าออกไป” เซี่ยหยู่หลุบตาลงขณะที่เขาพูดออกมาแบบไม่ใส่ใจ

มู่เฉินยิ้มอ่อนตอบสนองให้ แม้จะไม่พูดอะไร แต่ท่าทางของเขาบอกถึงการตัดสินใจแล้ว

ไอเย็นเยียบรวมตัวกันในดวงตาของเซี่ยหยู่ ในมุมมองของเขามู่เฉินโง่เง่าอย่างที่สุด ทั้งยังมองไม่เห็นสถานการณ์ปัจจุบันและแสดงท่าทีที่มั่นใจ ซึ่งเท่ากับเรียกร้องความตายจริงๆ

เขายกมือขึ้นตั้งใจที่จะให้คนอื่นจัดการ นั่นเป็นเพราะเขาไม่รู้สึกว่ามู่เฉินมีค่าเพียงพอสำหรับเขาที่จะเคลื่อนไหวด้วยตัวเอง

แต่ขณะที่เซี่ยหยู่ยกมือขึ้น หมอกพิษก็กระเพื่อมอีกครั้ง เงาร่างอีกสามร่างทะยานออกมาหยุดอยู่ข้างมู่เฉิน

“หุๆ มู่เฉิน เจ้านี่ดึงดูดปัญหาเก่งจริงๆ แค่นำหน้าพวกข้าออกมาก้าวเดียวก็ชนกับปัญหาอีกครั้งแล้วเหรอ?” เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นเมื่อเงาทั้งสามปรากฏตัว

หญิงสาวสามคนที่ปรากฏกะทันหันทำให้พวกแคว้นเซี่ยอึ้งไป แต่เมื่อเห็นว่าเป็นแค่หญิงสาวสามคน ก็โล่งใจขึ้นมา

“เฮ้ มีสามสาวงามตามมาด้วย ไอ้เวรแกคิดว่าพวกนางสามารถปกป้องแกได้เหรอ? ข้าว่าแกส่งมอบสมบัติจากเกาะมังกรมาซะจะดีกว่านะ?” ด้านข้างเซี่ยหยู่ จอมยุทธ์ที่มีรูปลักษณ์ขี้เหร่เห็นสาวสะคราญโฉมสามคน ดวงตาก็เปล่งประกายก่อนจะพูดขึ้นมา

เพียงแค่พูดประโยคเดียว แสงเย็นก็วูบวาบในนัยน์ตาของเซียวเซียวก่อนที่นางจะยกมือขึ้นสะบัดไปในอากาศ

เพียะ!

มิติแปรปรวน วินาทีต่อมาชายที่เพิ่งพูดก็โดนตบเข้าที่หน้าอย่างแรง รอยมือแดงก่ำปรากฏบนใบหน้า เขาหมุนตัวไปร้อยแปดสิบองศาจากการตบเดียว

“นังนี่!”

เมื่อจอมยุทธ์แคว้นเซี่ยเห็นภาพนี้ก็มองไปที่เซียวเซียวอย่างโกรธแค้น ไม่มีใครคิดว่าอีกฝ่ายจะกล้าลงมือจัดการภายใต้สถานการณ์นี้

ทว่ามีเพียงเซี่ยหยู่เท่านั้นที่หดดวงตาลง เนื่องจากเขาเห็นว่าการตบนั้นลึกลับเพียงใดแม้ว่าจะดูสบายๆ

หญิงสาวสะคราญโฉมผู้นี้ไม่ธรรมดาแน่

“คิกๆ พวกข้าได้รับสมบัติของเกาะมังกรจากความพยายาม ทำไมต้องให้พวกแกด้วย?” หลินจิ้งยิ้มบาง

เซี่ยหงที่มีแขนหายไปจากฝีมือมู่เฉินก็แสยะยิ้มน่ากลัวอยู่ข้างหลังเซี่ยหยู่ “ทำไมต้องให้? ก็เพราะพวกข้าแข็งแกร่งกว่าพวกเจ้าไง พี่ชายข้าเป็นศิษย์มังกรทองคำของวังสวรรค์บรรพกาลนะ!”

คำพูดนี่ทำให้เกิดความปั่นป่วน หลายคนมองไปที่เซี่ยหยู่ด้วยสายตาเคารพ นั่นเป็นเพราะใครก็ตามที่เข้ามาที่นี่จะได้รับป้ายประจำตัว ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ว่าศิษย์ระดับมังกรทองคำมีสถานะอย่างไรในวังสวรรค์บรรพกาล

เซี่ยหยู่ไม่ได้พูด แค่เพียงจ้องไปกลุ่มสี่คนของมู่เฉิน ทว่าก็แอบรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย

ทั้งสี่มองไปที่เซี่ยหยู่ด้วยความประหลาดใจเนื่องจากไม่คิดว่าเซี่ยหยู่จะได้รับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำซึ่งสูงกว่าซูชิงหยิงอีก…

ทว่าทั้งสี่คนก็ประหลาดใจเพียงสั้นๆ ไม่ได้มีแววเคารพในการสายตาเหมือนคนอื่น ในทางกลับกันพวกเขาสบตากันด้วยสีหน้าพิลึกพิลั่น

“ศิษย์ระดับมังกรทองคำเหรอ?” หลินจิ้งเปิดหัวเราะเป็นคนแรก เมื่อเห็นรอยยิ้มนี้มู่เฉินก็รู้ทันทีว่านางกำลังจะตบหน้าพวกเขาอย่างไม่ไว้หน้าแล้ว

ตามคาดประกายแสงสีทองปรากฏบนมือของหลินจิ้งจากนั้นก็โบกมือเบาๆ ทันใดนั้นเสาสีทองก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าโดยมีมังกรสีทองขดอยู่รอบเสา

เสาสีทองนี้ทำให้จอมยุทธ์แคว้นเซี่ยตกตะลึงก่อนที่จะฟื้นสติมองป้ายสีทองในมือหลินจิ้งด้วยความหวาดผวา

แม้แต่เซี่ยหยู่ก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนสีหน้าไป

“นะ…นั่นคือป้ายมังกรทองคำ?!”

ผู้คนอุทาน ใครจะคาดคิดว่าสาวสวยคนนี้จะเป็นศิษย์ระดับมังกรทองคำ!

เซียวเซียวกะพริบตาวิบวับกับฉากนี้พลางยิ้มให้เซี่ยหยู่อย่างทรงเสน่ห์ก่อนที่ป้ายสีทองจะปรากฏขึ้นในมือพร้อมกับเสาสีทองทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

เมื่อเห็นการกระทำของสหายทั้งสองคนมู่เฉินก็อดยิ้มไม่ได้ เขาเห็นสีหน้าเซี่ยหยู่ไม่น่าดูมากขึ้นและรู้สึกมีความสุขที่ได้ตีสุนัขตัวนี้ให้ล้มลงแล้วตามกระทืบซ้ำ ดังนั้นเขาจึงสะบัดนิ้วออกป้ายสีทองก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

ตู้ม!

เสาสีทองสามเสาทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าจากกลุ่มของมู่เฉิน ความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นน่าตกใจยิ่งนัก

ในทางกลับกันพวกแคว้นเซี่ยก็ตะลึงพรึงเพริดไปหมดแล้ว แม้แต่ใบหน้าของเซี่ยหงก็ซีดลง เขาคิดเพียงว่าต้องการใช้ตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำเพื่อระงับขวัญกำลังใจของอีกฝ่าย แต่ใครจะคิดได้ว่าไม่เพียง แต่ขวัญกำลังใจของอีกฝ่ายจะไม่ได้รับผลกระทบ พวกเขายังหยิบป้ายมังกรทองคำออกมาให้ดูถึงสามป้าย…

มู่เฉินยิ้มขณะมองไปที่เซี่ยหงที่หน้าซีดเซียวจากนั้นก็เลื่อนสายตาไปที่ใบหน้าไม่น่าดูของเซี่ยหยู เผยรอยยิ้มอ่อน “ศิษย์ระดับมังกรทองคำเหรอ? แหมบังเอิญจริงๆ พวกข้าก็เป็นเหมือนกัน…”