หนึ่งในใต้หล้า 大主宰

บทที่ 1138 กดดัน

เสามังกรทองสามเสาทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

แผ่รัศมีออกไปเป็นร้อยลี้ ทุกคนต่างอึ้งทึ่งไปเมื่อเห็นเสาเหล่านี้พร้อมกับความตกตะลึงอัดแน่นในดวงตา…

ศิษย์ระดับมังกรทองคำหายากเพียงใด เรื่องนี้พวกเขาเคยผ่านการทดสอบด้วยตนเองมาหมดแล้ว ดังนั้นจึงรู้ว่าการรับตำแหน่งศิษย์ระดับนี้หมายถึงอะไร นั่นหมายความว่าคนที่สามารถได้รับเป็นชั้นสูงของชั้นสูงกระทั่งในวังสวรรค์บรรพกาลที่เคยครอบครองทวีปเทียนหลัว

ทวีปเทียนหลัวในปัจจุบันตามการคาดการณ์ของทุกคนอาจมีเพียงจอมยุทธ์รุ่นใหม่สี่อันดับแรกเท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะรับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำ แต่…ภาพที่เบื้องหน้านี้ทำให้พวกเขารู้สึกยากจะเชื่อเพราะทั้งสามคนช่างไม่คุ้นหน้าเอาเสียเลย

“พวกเขาสามคนเป็นศิษย์ระดับมังกรทองคำทั้งหมดเลยหรอ?” ความเงียบเกิดขึ้นชั่วครู่ก่อนที่จะเกิดการอุทานนับไม่ถ้วน

“เป็นไปไม่ได้มั้ง? ศิษย์ระดับมังกรทองคำจะหาง่ายขนาดนี้ได้อย่างไร? หรือว่าพวกเขาจะมีกลโกง?”

“ถ้ามีวิธีหลีกเลี่ยงประตูมังกรทะยานสวรรค์ก็คงไม่ส่งผลให้ศิษย์ระดับมังกรทองคำหายากขนาดนี้หรอก”

“ทั้งสามคนไม่ธรรมดาแน่นอน”

“…”

ในบรรดาเสียงเหล่านี้ บางคนก็ตั้งข้อสงสัย แต่ส่วนใหญ่เลือกที่จะยอมรับความเป็นจริงเนื่องจากต่างเคยผ่านกับประตูมังกรทะยานสวรรค์มาแล้วและรู้ว่าทรงพลังเพียงใด ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพบช่องโหว่

ยามนี้ทั่วบริเวณตกอยู่ในความโกลาหล พวกแคว้นเซี่ยก็มีใบหน้าตกตะลึง ส่วนเซี่ยหงดูน่าเกลียดไปเลยทีเดียว นานก่อนที่เขาจะควบคุมตนเองและคำรามใส่มู่เฉิน “แกเนี่ยนะ? แกสามารถรับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำได้เรอะ?!”

ย้อนกลับไปตอนที่พวกเขาต่อสู้กัน มู่เฉินอยู่ในขุมพลังเกือบจะบรรลุรัดับจื้อจุนขั้นเก้าเท่านั้น แม้ว่าจะมีพลังในการต่อสู้ที่ไม่ธรรมดา แต่อย่างมากก็เทียบเคียงกับขั้นเก้าระยะปลายสุดเท่านั้น ทว่าการที่จะเป็นศิษย์ระดับมังกรทองคำอย่างน้อยก็ต้องอยู่ในขั้นเก้าระยะเต็ม นอกจากนี้ยังต้องมีไพ่ตายจำนวนมากถึงจะมีโอกาส

พวกแคว้นเซี่ยเงียบกริบลงเช่นกัน ไม่มีท่าทางกร่างอีกต่อไปเมื่อเผชิญหน้ากับศิษย์ระดับมังกรทองคำสามคน พวกเขาสูญเสียความมั่นใจหมดสิ้น

“หุบปาก!”

เซี่ยหยู่ถลึงตาใส่เซี่ยหงพลางคำรามก่อนที่จะฉายแววตาลึกซึ้งมองเซียวเซียวและหลินจิ้ง ขณะนี้เขารู้สึกถึงอันตรายเลือนรางที่ถูกปล่อยออกมาจากสตรีสองคนนั้น

และมู่เฉินอีกคน…แม้ไอ้นั่นจะดูเหมือนอยู่ในขั้นเก้าระยะต้นเท่านั้น แต่ด้วยการรับรู้ที่เฉียบแหลมเซี่ยหยู่สามารถสัมผัสได้ว่ามู่เฉินก็เป็นคนที่ซ่อนตัวลึกเช่นกัน

คราวนี้…เขาเตะแผ่นเหล็กเข้าอย่างจัง

ใบหน้าของเซี่ยหยู่กระตุกเล็กน้อยด้วยความเสียใจในใจ เขาเสียใจที่ทำไมไม่จัดการด้วยตัวเองเมื่อพบกับมู่เฉินในอุโมงค์เดินทาง ถ้าเขาทำอย่างนั้นก็มีความเป็นไปได้ที่เขาจะสามารถฆ่ามู่เฉินได้

แต่ขณะนี้มู่เฉินไม่รู้ไปหาผู้ช่วยเหลือลึกลับสองคนมาจากไหน เผชิญหน้ากับการรวมตัวนี้แม้แต่ตัวเขาก็ไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ หากต่อสู้กัน

เสามังกรทองคำทั้งสามเสาคงอยู่ในช่วงเวลาสั้น ๆ ก่อนจะจางหายไป ส่วนมู่เฉิน เซียวเซียวและหลินจิ้งก็เก็บป้ายพลางมองไปที่พวกเซี่ยหยู่ “ตอนนี้เจ้ายังอยากได้สมบัติของพวกข้าอยู่อีกไหม?”

สายตาของเซี่ยหยู่มืดครึ้ม จากนั้นดวงตาก็วูบไหว ก่อนที่จะส่งยิ้มอ่อนโยนให้กับเซียวเซียวและหลินจิ้ง “แม่นางทั้งสอง ไม่รู้ว่าพวกเจ้าสองคนมาจากไหน? ดูเหมือนว่าจะไม่เคยเห็นเจ้าทั้งสองในทวีปเทียนหลัวมาก่อน ตัวข้าชื่อว่าเซี่ยหยู่เป็นองค์ชายใหญ่แห่งแคว้นเซี่ย เรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างแคว้นเซี่ยของข้ากับมู่เฉิน หากแม่นางไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวในเรื่องนี้ แคว้นเซี่ยของข้าจะไม่ลืมพระคุณ”

แม้ว่ามู่เฉินจะเป็นศิษย์ระดับมังกรทองคำ แต่เซี่ยหยูก็ยังคงมั่นใจในการรับมือหากหญิงสาวทั้งสองไม่ยุ่งเกี่ยว เพราะตัวเขาก็เป็นศิษย์ระดับเดียวกัน เขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะแข็งแกร่งกว่าเขาไปได้

มู่เฉินไม่ได้ห้ามปรามอะไรเซี่ยหยู ตรงกันข้ามเขากลับหรี่ตามองไปที่อีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม เนื่องจากเขาไม่คิดว่าแค่แคว้นเซี่ยจะสามารถยั่วยุองค์หญิงทั้งสองที่มีภูมิหลังน่ากลัวได้…

ซึ่งก็ตามที่มู่เฉินคาดไว้ เซียวเซียวเหลือบมองเซี่ยหยู่อย่างเย็นชาก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่นราวกับว่าไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้

ทันใดนั้นหลินจิ้งก็เหมือนนึกบางอย่างขึ้นได้ นางหยิบม้วนกระดาษสีทองออกมาจากแขนเสื้อโบกไปมา “เจ้าคือองค์ชายใหญ่-รัชทายาทแห่งแคว้นเซี่ยเหรอ เยี่ยมเลย น้องชายเจ้าติดหนี้ของเหลวจื้อจุนร้อยล้านหยดกับข้าไว้เมื่อไม่นานมานี้และบอกว่าข้าสามารถไปที่แคว้นเซี่ยเพื่อขอได้”

เมื่อเซี่ยหงได้ยินเช่นนี้ใบหน้าก็เขียวคล้ำลงทันที

มุมริมฝีปากของเซี่ยหยู่ก็กระตุกก่อนที่จะปรายตามองไปที่เซี่ยหงด้วยท้าทางที่น่าเกลียด ของเหลวจื้อจุนร้อยล้านหยด? นั่นจะทำให้คลังหลวงของแคว้นเซี่ยร่อยหรอไปเลยทีเดียว ไม่ต้องพูดถึงเขาแม้แต่บิดาของพวกเขาก็ไม่ยินดีที่จะจ่าย

“ทำไม? แคว้นเซี่ยคิดจะเบี้ยวหนี้เหรอ?” เมื่อหลินจิ้งเห็นสีหน้าของเขา ใบหน้าของนางก็บูดบึ้งไม่น่าดู

เซี่ยหยู่หายใจเข้าลึกตอบว่า “เงินจำนวนนี้มหาศาลมาก ข้าไม่สามารถตัดสินใจได้ แม่นางคงต้องไปถามท่านพ่อของข้าดู”

เขาไม่มีทางยอมรับหนี้หรอก ถ้าหลินจิ้งกล้าแสดงใบแจ้งหนี้นี้กับบิดาของเขาจริงๆ ละก็ นางอาจถูกเก็บอย่างทันท่วงที ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีไม่กี่คนที่กล้ารีดไถเงินจากแคว้นเซี่ย

เมื่อหลินจิ้งได้ยินคำพูดของเขาก็พยักหน้าราวกับว่าไม่คิดถึงความหมายเบื้องหลังคำพูดของเซี่ยหยู “งั้นข้าจะไปเยี่ยมแคว้นเซี่ยในอนาคตแล้วกัน”

มุมปากของเซี่ยหยู่และเซี่ยหงกระตุกพลางมองไปที่หลินจิ้งด้วยสายตาคล้ายกับมองคนโง่

แต่เมื่อพวกเขามองไปที่หลินจิ้งด้วยแววตาแบบนั้น ฉับพลันพวกเขาก็ตระหนักได้ว่ามู่เฉินและจิ่วโยวกำลังมองพวกเขาด้วยสายตาที่คล้ายกัน ซึ่งทำให้พวกเขาอึ้งไปและรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

แต่มู่เฉินก็ไม่สนใจที่จะอธิบายให้พวกเขาฟัง เนื่องจากพวกเขาจะรู้ว่าตัวเองโง่เขลาเพียงใดในอนาคตเมื่อรับรู้ตัวตนของหลินจิ้ง พี่น้องจอมโง่คู่นี้คิดจริงๆ หรือว่าจะไม่มีใครกล้าไปที่แคว้นเซี่ยเพื่อทวงหนี้?

ถ้าพวกเขากล้าเบี้ยวหนี้ของธิดาเทพจักรพรรดิสงคราม เอาแค่ผู้อาวุโสเล็กๆ ของแคว้นนหวูก็เพียงพอแล้วที่จะสั่งสอนแคว้นเซี่ยว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไร

“พี่เซี่ยมีอะไรจะพูดอีกไหม ถ้าไม่เช่นนั้นพวกข้าก็ขอตัวก่อนแล้ว” มู่เฉินยิ้มให้เซี่ยหยู่

เขาไม่คิดที่จะต่อสู้กับพวกเซี่ยหยู่ที่นี่ เนื่องจากอีกฝ่ายมีคนมากและหากต้องต่อสู้ก็ต้องใช้เวลาพอสมควร ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือมุ่งหน้าไปที่ทะเลสาบสวรรค์และรับพิธีชำระล้าง ส่วนบัญชีกับเซี่ยหยู่ก็จัดการในอนาคตแล้วกัน

เมื่อเซี่ยหยู่เห็นรอยยิ้มของมู่เฉินก็กำหมัดแน่นขึ้นพร้อมกับเปลวไฟโหมกระหน่ำในใจ ตอนแรกมดอย่างมันที่เขาเซี่ยหยูสามารถบี้ได้อย่างง่ายดาย กลับไปมาอย่างสบายต่อหน้าเขา ซึ่งเขายังไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายด้วย

แต่ไม่ว่าจะรู้สึกโกรธแค่ไหน เซี่ยหยูก็ไม่กล้าที่พูดหรือยั่วยุอีกต่อไปเพราะเขารู้ดีว่าหากการต่อสู้เกิดขึ้นพวกเขาไม่ได้เปรียบแน่นอน

จอมยุทธ์แคว้นเซี่ยก็เงียบกริบ เพราะแม้แต่เซี่ยหยู่ยังไม่กล้าพูดแล้วพวกเขาจะกล้าได้ยังไง?

เมื่อทุกคนที่อยู่รอบๆ เห็นสิ่งนี้ก็อดไม่ได้ที่จะแอบหัวเราะในใจ ก่อนหน้าเซี่ยหยู่มีท่าทีสูงส่งกับมู่เฉินคิดว่าจะสามารถปราบปรามเขาได้อย่างง่ายดาย แต่ตอนนี้สถานการณ์กลับตาลปัตร ทำให้เขาดูน่าสังเวชมาก

เซี่ยหยู่สัมผัสได้ถึงสายตาทุกคนที่จ้องมองมาอย่างสะใจ ทว่าเขาได้แต่รับไว้ด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ

เมื่อมู่เฉินเห็นพวกเซี่ยหยู่นิ่งเงียบไป เขาก็ยิ้มอ่อนไม่สนใจอะไรทะยานออกไปพร้อมกับหญิงสาวสามคนติดตามไปอย่างใกล้ชิด

ทั้งสี่จากไปท่ามกลางสายตานับไม่ถ้วน แต่คราวนี้ไม่มีใครหยุดพวกเขาอีก มากจนพวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะแย่งสมบัติที่พวกเขาได้รับจากเกาะมังกร

สถานะของศิษย์ระดับมังกรทองสามคนเพียงพอที่จะข่มขู่พวกเขาทั้งหมด

พวกเซี่ยหยู่เฝ้าดูมู่เฉินจากไปอย่างเงียบๆ แต่ไม่มีใครกล้าพูด อากาศที่ครอบงำหายไปอย่างสมบูรณ์ ดูราวกับมะเขือเฉา

“พี่ใหญ่…” เซี่ยหงเปิดปากพูดอย่างไม่พอใจ ตอนแรกเขาคิดว่าจะสามารถจัดการกับมู่เฉินเพื่อแก้แค้นให้กับแขนที่ต้องเสียไป แต่ใครจะคิดว่ามู่เฉินจะทรงพลังมากถึงขนาดที่เซี่ยหยู่ยังกลัวจนไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหว

“หุบปาก!” ใบหน้าของเซี่ยหยู่มืดครึ้มขณะถลึงตาใส่เซี่ยหง ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้านี่สร้างความขุ่นเคืองกับมู่เฉิน พวกเขาจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าสมเพชเช่นนี้ได้อย่างไร?

เผชิญหน้ากับการรวมตัวของพวกมู่เฉิน แม้แต่คนที่ทรงพลังอย่างเซี่ยหยู่ก็รู้สึกกดดัน เนื่องจากเขามั่นใจว่าสามารถจัดการกับมู่เฉินได้ แต่เขาไม่มั่นใจว่าจะจัดการกับหลินจิ้งและเซียวเซียวผู้ลึกลับได้

เมื่อถูกตำหนิใบหน้าของเซี่ยหงก็มีสีเขียวสลับสีขาว อึดใจก็กัดฟัน “เราจะปล่อยเรื่องนี้ไปอย่างนี้เหรอ? ท่านพ่อย้ำก่อนออกเดินทางหนักหนา ชื่อเสียงของแคว้นเซี่ยจะปล่อยให้จอมยุทธ์กระจ้อยร่อยเหยียบย่ำไม่ได้เด็ดขาด”

ใบหน้าของเซี่ยหยู่มืดมน เขามองไปยังทิศทางที่พวกมู่เฉินไป อึดใจก็ตอบว่า “เรื่องนี้ไม่มีทางจบลงง่ายๆ หรอก หึ แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่ามันได้ผู้ช่วยเหลือที่ทรงพลังสองคนมาจากไหน แต่…มันคิดว่าข้าไม่มีความสัมพันธ์กับคนอื่นเรอะ? ข้าเชื่อว่าจาโหลหลัวและคนอื่นๆ ก็ต้องตั้งระวังสำหรับศิษย์ระดับมังกรทองคำที่ปรากฏตัวมาจากที่ไหนไม่รู้ ในเวลานั้นเราสามารถร่วมมือกับพวกเขากำจัดคนนอกเหล่านี้ ”

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ใบหน้าของเซี่ยหยู่ก็เปลี่ยนเป็นน่าขนพองสยองเกล้าขณะพูดขึ้นอย่างน่ากลัว “ในเมื่อมู่เฉินกล้าท้าทายแคว้นเซี่ย ก็ขอข้าดูหน่อยสิว่ามันมีความสามารถพอไหม!”