ส่วนที่ 4 ภาคความปรารถนาจากบูรพา ตอนที่ 154 สามนักปราชญ์รวมตัว

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ความมืดมิดนอกสุสานเทียนซูพลันสว่างขึ้น มิใช่เพราะว่าอรุณกำลังจะมาเยือน แม้จะย่ำรุ่งมากแล้วก็ตาม หากแต่เป็นเพราะประกายแสงสีเขียวครามที่ทอดลงมา เป็นสีเขียวอันเปี่ยมด้วยชีวิต มากจนต้นไม้ฤดูใบไม้ร่วงในสุสานเทียนซูต่างก็ดูเหมือนจะด้อยกว่า กิ่งก้านสาขาต่างโค้งลง

สิ่งนี้คือใบไม้คราม ใบสีเขียวครามที่พ่วงพีและอ่อนนุ่ม มองปราดเดียวก็บอกได้ว่าได้รับการดูแลอย่างดีไม่เคยขาดอาหารหรือน้ำ พื้นผิวใบไม้เรียบลื่นอย่างมาก มองแวบเดียวก็ดูออกว่าได้รับการประคบประหงมเป็นอย่างดี หากมีฝุ่นเพียงเล็กน้อยตกลงไป ก็จะถูกเช็ดออกอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ด้วยฝีมือของผู้เฒ่าที่ได้รับความนับถือที่สุด ใช้ผ้าที่แพงที่สุด

เฉินฉางเซิงคุ้นเคยกับใบไม้ครามนี้ดี ในพระราชวังหลี เขาได้เห็นอยู่มากมายหลายครั้ง

ใบไม้ครามมาปรากฏตัวในคืนนี้เพราะว่ามันตามสังฆราชมา

เสื้อคลุมเทพของสังฆราชพลิ้วไหวในสายลม

มงกุฎเทพบนศีรษะส่องประกายอันศักดิ์สิทธิ์ เจิดจ้าแวววาวอยู่ในความมืด

คลื่นแผ่ออกมาจากฝักกระบี่ของเฉินฉางเซิง เขารู้ว่ามันคือไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ที่สัมผัสได้ถึงสหายที่กำลังใกล้เข้ามา

……

……

สายฝนเหนือจิงตูหยุดลงแล้ว ทว่าสายฝนเหนือเมืองลั่วหยางกลับรุนแรงขึ้น

ในแดนร้างที่เปียกชุ่ม มีเพียงรอยเท้าจางๆ สองรอยเหลืออยู่ นักพรตจี้ได้เข้าสู่เมืองลั่วหยางแล้ว ภายใต้สายฝนที่ตกลงมา เขาได้มาถึงประตูหลังของอารามฉางชุน

มังกรดำที่ก่อตัวจากก้อนเมฆและแสงดาวในท้องฟ้าราตรีได้หายไปแล้ว บนถนนในเมืองลั่วหยางมีเสียงคำรามดังก้องอยู่ในอากาศเป็นระยะๆ บางครั้งก็มีประกายแสงสีดำ

เสียงคำรามก้าวร้าวนั้นพลันหายไป

ประกายแสงสีดำก็หายไปต่อหน้าอารามฉางชุน

หยกสมประสงค์ลอยอย่างเงียบงันอยู่ท่ามกลางสายฝน

แผ่นป้ายของอารามฉางชุนพลันสลายกลายเป็นผงและถูกสายฝนชะล้างไปในทันที

ประตูอารามเปิดออกอย่างไร้เสียงท่ามกลางสายฝน เช่นเดียวกับพลังค่ายกลที่พลันปกคลุมไปหลายช่วงถนน

นักพรตหลายสิบคนนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้สายฝน ดวงตาปิดสนิทในขณะท่องคัมภีร์เต๋า

ไอปราณนับไม่ถ้วนดูประหนึ่งจะกะพริบแทรกผ่านสายฝน ก่อตัวเป็นกำแพงชั้นแล้วชั้นเล่า ป้องกันไม่ให้หยกสมประสงค์จากไป

นักพรตจี้เดินออกจากสายฝน ย่างเท้าอยู่บนทางเดินอายุนับพันปีของอารามที่ปกคลุมไปด้วยหลุมบ่อจนกระทั่งมาถึงถนน

เขามองไปที่หยกสมประสงค์อย่างใจเย็น

ราวกับว่าเขากำลังมองนาง

……

……

ริมลำธารข้างวัดเก่าเมืองซีหนิง

ครืน

น้ำในลำธารที่เหมือนจะหยุดไหลกลับมาไหลรินอีกครั้ง

นั่นเป็นเพราะนักบวชได้หย่อนเท้าเปลือยเปล่าอีกข้างลงในน้ำ

เสียงน้ำไหลยังดังต่อเนื่อง

นักบวชเดินอย่างใจเย็นไปยังอีกฟากของลำธาร

ลำธารไม่ได้ลึกนัก ไม่ถึงเข่าด้วยซ้ำ น้ำก็ไม่ได้ไหลเชี่ยว ไม่อาจพัดพาดอกบัวโลหิตให้ลอยไป กระนั้นเขาก็ดูเหมือนจะเดินอย่างยากลำบากประหนึ่งว่าแต่ละก้าวนั้นต้องทะลวงผ่านอุปสรรคใหญ่หลวง

บางทีอาจเป็นเพราะนางยืนอยู่อีกฝั่งของลำธาร

นางดูสูงใหญ่ ทรงอำนาจและแรงกดดันส่งตรงถึงดวงจิต

นักบวชเดินต่อไปอย่างใจเย็น

เขามีพลังใจเข้มแข็งพอกับนาง ในยามนี้เมื่อเขาพยายามเข้าใกล้นางมากขึ้น เขาต้องทนทรมานกับความเจ็บปวดและแรงกดดันที่มากขึ้น ทำให้เขาตกอยู่ในความเสียเปรียบและอันตรายมากกว่าเดิม

ทว่าเขาก็ยังคงก้าวต่อไปอย่างมั่นคงและไม่หวาดเกรง

ในที่สุดเขาก็มาอยู่ตรงหน้านาง

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่มองเขาอย่างใจเย็นและถาม “คุ้มหรือ”

นักบวชตอบ “คุ้ม เพราะตอนนี้ท่านไม่อาจกลับไปแล้ว”

……

……

ภายใต้การจับจ้องจากสายตานับไม่ถ้วน จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ยกมือขวาขึ้นและผลักออกไปสู่ท้องฟ้าราตรี

เสียงครืนครั่นดังก้องไปทั่วจิงตู เป็นเสียงลมที่คลุ้มคลั่งอันเกิดจากการที่มวลอากาศถูกผลักออกไปอย่างรวดเร็ว

ต้นไม้ในสุสานเทียนซูไหวเอนไปตามสายลม

ทวนเหล็กพุ่งมาเป็นลำแสง แหวกผ่านความมืดมาถึงสุสานเทียนซู ตกลงในมือของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่

ทวนเหล็กนี้ดำสนิท ผิวทวนส่องประกายแสงสีทอง ไม่ให้ความรู้สึกองอาจทว่าเย็นเยียบหาใดเปรียบ

สีทองนี้ไม่ใช่ความแวววาวของทองคำ แต่เป็นสีของป่าฤดูใบไม้ร่วง

นอกเหนือจากความเย็นโหดเหี้ยมซึ่งบรรจุอยู่ในทวนและสีป่านี้แล้ว ก็ไม่มีอะไรที่พิเศษให้เห็นจากภายนอกของทวนเล่มนี้อีก

แต่ทุกคนที่เห็นทวนเล่มนี้ล้วนสัมผัสได้ว่ามันมีพลังไร้ขอบเขตและความแข็งแกร่งอันศักดิ์สิทธิ์

ฝูงชนตกตะลึงแล้วก็ตึงเครียด

ทวนหิมาลัยเทวา!

……

……

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่มองไปยังทวนหิมาลัยเทวาในมือ จับจ้องที่รอยมือบนด้ามทวน ในเวลาเดียวกันก็มองเห็นรอยสีเขียวเข้มเล็กๆ

คิ้วนางเลิกขึ้นเล็กน้อย ประกายความโกรธฉายขึ้นในดวงตา

เพียงใจนึก สีทองก็แผ่ออกมาจากฝ่ามือและเผาพิษหางนกยูงที่อยู่บนผิวทวนหิมาลัยเทวาไปในทันที

จากนั้นนางก็โยนทวนหิมาลัยเทวาไปยังต้นถนนเสิน

ครั้นเห็นนางทำเช่นนี้ เหล่ายอดฝีมือที่ล้อมสุสานเทียนซูก็ล้วนตกตะลึง รีบใช้วิชาที่แข็งแกร่งที่สุด เปลี่ยนเป็นภาพพร่าเลือนและหลบหนีไปอย่างสุดกำลัง

ชั่วขณะต่อมาพวกเขาก็ตระหนักว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ไม่ได้โจมตีใส่พวกเขา ดังนั้นการกระทำของพวกเขาจึงดูน่าขันอย่างเลี่ยงไม่ได้

ทวนหิมาลัยเทวาเปลี่ยนไปเป็นประกายแสงตกลงสู่ซากปรักหักพังที่ต้นถนนเสิน และขุนพลเทพฮั่นชิงก็รับเอาไว้

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ไม่ได้ให้คำสั่งใดกับเขา แต่หันกลับไปมองสังฆราชที่เดินออกมาจากความมืด

ฮั่นชิงทะลวงผ่านสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์เมื่อสองปีก่อน ความเข้าใจในกฎเกณฑ์ของโลกจึงยังขาดความลึกซึ้งอยู่บ้าง แม้กระนั้นเขาก็ยังสังหารจูลั่วได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นความยิ่งใหญ่ของเขายังสูงสุด เมื่อรวมกับทวนหิมาลัยเทวาในมือ เขาก็สามารถต่อสู้กับยอดฝีมือระดับแปดมรสุมได้ อาจเป็นฝ่ายได้เปรียบด้วยซ้ำ

เปี๋ยยั่งหงได้รับบาดเจ็บสาหัส เรียกได้ว่าไม่มีแรงจะต่อสู้อีกแล้ว อู๋ฉยงปี้ก็ถูกทำลายความกล้าหาญไปจนสิ้น ต่อให้นางรวบรวมความกล้ากลับมาได้ใหม่ในตอนนี้และแสดงกำลังเต็มที่ออกมา ต่อให้เหมาชิวอวี่ มู่จิ่วซือและเหล่าผู้อาวุโสของพรรคต่างๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดแสดงกำลังทั้งหมดออกมาได้อย่างเหนือความคาดหมาย เขาก็ยังสามารถยืนหยัดเอาไว้ได้จนถึงเวลานั้น

เวลาที่นางได้เอาชนะคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดทั้งสามคน

ใช่แล้ว นับตั้งแต่แรกเริ่ม จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ก็ตัดสินใจเช่นนี้เอาไว้แล้ว

นางลงมือกำจัดกวนซิงเค่อกับเปี๋ยยั่งหงที่เป็นปัญหาที่สุดไปก่อน ทำความสะอาดพื้นที่โดยรอบสุสานเทียนซู

จากนั้นนางก็เตรียมที่จะต่อสู้กับสังฆราช ซางสิงโจวและนักบวชที่มาจากดินแดนเซิ่งกวงอันห่างไกล

สังฆราช ซางสิงโจวและนักบวชที่ริมลำธารล้วนเป็นยอดฝีมือที่เหนือกว่าแปดมรสุม ในแง่ของความแข็งแกร่งตามหลักเกณฑ์ของต้าลู่ พวกเขาล้วนเป็นนักปราชญ์

เมื่อเผชิญหน้ากับขุมกำลังเช่นนี้ ต่อให้โจวตู๋ฟู เฉินเสวียนป้าหรือจักรพรรดิไท่จงกลับมาเกิดใหม่ ก็ต้องรู้สึกได้ถึงอันตรายอย่างมาก

แต่ถึงแม้ว่านางจะช่วยเปลี่ยนชะตาให้สังฆราชและไม่ได้อยู่ในสภาพที่แข็งแกร่งที่สุด นางก็ยังมั่นใจเต็มเปี่ยม

เสียงฟ้าร้องดังกังวานมาจากท้องฟ้าราตรี

สายลมพัดผ่านผืนป่า ผ่านน้ำฝนบนใบไม้แล้วม้วนตัวรอบร่างจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ พัดผมและเสื้อผ้าของนาง

นางยังยืนอยู่บนยอดเขาสุสานเทียนซู ทว่านางได้ไปยังที่อื่นแล้ว

เมื่อไม่มีเมฆมาบดบัง ดวงดาวบนท้องฟ้าราตรีก็งดงามเจิดจ้า  ทว่าตอนนี้ดวงดาวพลันหม่นแสงลง เพราะเงาที่ทอดตัวอยู่บนโลก

มันคือปีกสีดำขนาดใหญ่ที่เหมือนจะปกคลุมโลกเอาไว้ ทั้งมืดมัวและยิ่งใหญ่อย่างที่สุด

เสียงร้องของหงส์ดำดังราวกัมปนาท

หงส์สวรรค์สีดำและร่างสังฆราชได้หายตัวขึ้นสู่ชั้นเมฆที่อยู่สูงที่สุดบนท้องฟ้าราตรี

แสงดาวทั้งมวลล้วนถูกฉีกกระชากเป็นเศษซาก เมฆทั้งหลายตกอยู่ในความวุ่นวาย ฉีกกระชากกันและกัน

สายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนสาดแสงอยู่ในส่วนลึกของเมฆหนา

ฝูงชนมองเห็นร่างสองร่างกลางเมฆอย่างเลือนราง เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราวกับประกายฟ้าแลบ แต่ไม่อาจมองเห็นได้อย่างชัดเจน

จากนั้นก็มีเสียงฟ้าร้องนับไม่ถ้วน

สายฟ้าเป็นเจตจำนงของสวรรค์ที่ถูกนักปราชญ์ทั้งสองชักนำมา

เสียงฟ้าร้องคือวงคลื่นอันเกิดจากการสับเปลี่ยนของนักปราชญ์ทั้งสองนี้

……

……

เกิดแผ่นดินไหวขึ้นในลั่วหยางโดยพลัน

จากสวนโบตั๋นจนถึงศาลาปทุมคันธ์ สิ่งก่อสร้างในระยะยี่สิบกว่าลี้สั่นสะเทือนจนแทบจะถล่มลง รอยแตกปรากฏขึ้นบนถนน ฝุ่นก็ลอยขจรคลุ้งในขณะที่ชาวบ้านสะดุ้งตื่นส่งเสียงกรีดร้องและวิ่งแตกตื่นไปทุกทิศทาง ไม่รู้ว่าวิ่งไปทางใดท่ามกลางความมืด

นักพรตสิบกว่าคนนอนเหยียดยาวอยู่ท่ามกลางสายฝน ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ไม่อาจบอกได้ ร่างของพวกเขาเต็มไปด้วยเศษหินเศษไม้ อารามฉางชุนได้กลายเป็นเศษซากไปแล้ว

หยกสมประสงค์ไม่อาจจะทำลายค่ายกลออกไปได้ แต่มันก็ไม่เคยคิดที่จะทำลายค่ายกลออกไป เมื่อครู่หยกสมประสงค์ได้ทำลายม่านฝนและปะทะกับนิ้วของนักพรตจี้

ไอปราณที่แข็งแกร่งยากเข้าใจสองสายปะทะกัน วิชาเต๋าขั้นสูงได้แสดงกำลังทั้งหมดออกมา ปราณของลั่วหยางบิดเบี้ยวและสั่นไหวราวกับภูเขาที่กำลังจะถล่ม ทะเลกำลังจะแห้งเหือด แม้แต่ดวงดาวหลังเมฆฝนก็สั่นสะเทือน

พื้นดินสั่นสะเทือน สายฝนอันตรธานไป นิ้วนักพรตจี้สั่นระริก หยกสมประสงค์ก็สั่นสะเทือน ทำให้อนุภาคเล็กๆ หลุดลอกออกมา ร่วงหล่นสู่พื้นเกิดเป็นหลุมลึกจำนวนนับไม่ถ้วน

……

……

หลังวัดเก่าเมืองซีหนิง

นักบวชเดินข้ามลำธารเข้าหานาง

เขามองดูนางอย่างสุขุม ครั้นแล้วก็ยกมือขวาขึ้นแทงใส่หน้าผากนาง

……

……

การต่อสู้เกิดขึ้นในสุสานเทียนซู ที่เมืองลั่วหยาง ที่เมืองซีหนิงซึ่งห่างไปหลายหมื่นลี้

นักปราชญ์ทั้งสามโจมตีใส่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่พร้อมกัน

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ต่อสู้กับทั้งสามด้วยร่างกาย วิชาเต๋าและดวงจิต

แม้แต่ขุนนางที่มีความเชื่อมั่นในตัวนางที่สุดก็ยังเข้าใจดีว่าตอนนี้คือช่วงเวลาที่วิกฤตที่สุด

เฉินฉางเซิงอยู่ใกล้มาก อยู่ด้านหลังนาง ดังนั้นเขาจึงมองเห็นได้ชัดเจนที่สุด

เขาไม่ได้ทำอะไร เพียงแค่มองเท่านั้น

ว่าตามเหตุผล นั่นก็ถูกต้องแล้วเพราะเขาเป็นส่วนหนึ่งของนิกายหลวง เขาก็ควรอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ อย่างไรเสียเขากับนางก็ไม่ใช่แม่ลูก แต่กระนั้นนางก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปได้

คนอื่นคงไม่อาจรู้ได้ว่าจะเลือกเช่นไร

นับประสาอะไรกับเขาที่กำลังเหนื่อยล้าและไม่ต้องการตัดสินใจ

ใช่แล้ว เขามีชีวิตรอด และก็ดูเหมือนว่าเขาจะอยู่ต่อไปได้อีกนาน อย่างไรก็ตามโลกที่เขาอาศัยอยู่นี้เหมือนจะได้ตัดความสัมพันธ์ทั้งหมดกับเขาไปแล้ว

……

……

ความมืดมิดตรงหน้าสุสานเทียนซูถูกทำลายลงด้วยการปรากฏตัวของเงาร่างมากมาย

สายลมโหยหวนประดุจเสียงลูกศรจากหน้าไม้แกร่ง แสงดาวส่องลงมาและกลายสภาพ เสมือนหนึ่งว่าแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์กำลังทำสิ่งใด

อู๋ฉยงปี้วางเปี๋ยยั่งหงที่บาดเจ็บสาหัสลง ใบหน้าเปี่ยมด้วยความโกรธแค้น นางหันไปทางซากปรักหักพังที่ต้นถนนเสิน ถึงอย่างไรนางก็เป็นหนึ่งในแปดมรสุม และนางก็ยังมีความสามารถในการต่อสู้อยู่

เหมาชิวอวี่ มู่จิ่วซือและผู้ยิ่งใหญ่ของนิกายหลวงอื่นๆ ก็มายังหน้าถนนเสิน

สายลมพัดกระดาษขาว เซียวจางที่อาบชุ่มไปด้วยเลือดก็มาถึง

ยอดฝีมือจากตระกูลใหญ่และพรรคต่างๆ ที่ซ่อนกายต่างก็เฝ้ารออย่างเงียบงันอยู่ในความมืด

เหล่ายอดฝีมือในโลกมนุษย์อย่างน้อยครึ่งหนึ่ง ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าสุสานเทียนซู ต่อหน้าขุมกำลังเช่นนี้ ไม่ว่าฮั่นชิงจะแข็งแกร่งเพียงใด ต่อให้มีทวนหิมาลัยเทวาในมือ เขาจะต้านทานได้อย่างไรกัน

ทันใดนั้น ฮั่นชิงก็พบของสิ่งหนึ่งในซากปรักหักพังและใช้มือเช็ดฝุ่นออกจากสิ่งนั้น มันคือกล่องข้าวที่มีข้าวกับหมูแห้งผัดพริกไทยสด

จากนั้น เขาก็ทำสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด

เขาเริ่มกินข้าว

……