ส่วนที่ 4 ภาคความปรารถนาจากบูรพา ตอนที่ 153 บางทีนางอาจรู้อยู่แล้ว

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ราชันย์แห่งหลิงไห่มองชายชราที่เขาเคยถือว่าเป็นทั้งอาจารย์และบิดา ก่อนกล่าวว่า “เหนียงเหนียงได้ทำการท้าลิขิตพลิกโชคชะตาให้กับเฉินฉางเซิงแล้ว เหตุใดท่านยังต้องเลือกเช่นนี้อีก”

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเฉินฉางเซิง ไม่เกี่ยวกับศิษย์พี่ ทางเลือกเป็นของผู้เลือกเท่านั้น”

สังฆราชจ้องมองใบไม้ครามในกระถางแล้วพูดอย่างเสียใจ “ตลอดชีวิตข้า ข้าไม่เคยรู้ว่าต้องเลือกอะไร ข้าไหวเอนไปตามสายลมที่พัดผ่านเฉกเช่นหญ้าต้นหนึ่ง หลายร้อยปีก่อนก็เป็นเช่นนี้ ยี่สิบปีก่อนก็เป็นเช่นนี้ ศิษย์พี่พูดถูกแล้ว ข้าเป็นคนที่ไร้ประโยชน์อย่างแท้จริง มีแต่ตอนท้ายสุดเท่านั้นที่ข้าจะทำตามใจตนได้ ทว่าเมื่อเวลามาถึง ก็มักจะสายเกินไปแล้ว ดังนั้นศิษย์พี่และเหนียงเหนียงจึงแตกกัน จูลั่วกับกวนซิงเค่อต้องตายไป คิดดูแล้ว ทุกอย่างล้วนเป็นความผิดข้า”

ว่ากันว่า เพราะการเกิดใหม่ของสำนักฝึกหลวง สังฆราชจึงได้หยุดให้การสนับสนุนขุมกำลังใหม่ของนิกายหลวงในช่วงสองปีมานี้ ทำให้ทั้งราชันย์แห่งหลิงไห่และนักพรตซื่อหยวนไม่พอใจในตัวสังฆราชอย่างล้ำลึก ทว่าทั้งสองก็ไม่ได้ปองร้ายต่อเขา ด้วยพวกเขารู้ดีว่าในรอบพันปีที่ผ่านมาสังฆราชคือผู้บำเพ็ญตนอย่างบริสุทธิ์แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวของนิกายหลง

ได้ยินเช่นนี้ ราชันย์แห่งหลิงไห่กับนักพรตซื่อหยวนก็เงยหน้าขึ้น แต่ตอนนี้สังฆราชยืนอยู่ท่ามกลางแสงศักดิ์สิทธิ์จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมองเห็นได้โดยตรง

นักพรตซื่อหยวนกล่าวอย่างปวดร้าว “ท่านไม่จำเป็นต้องบีบตนเองให้เลือก”

สังฆราชตอบ “ทางเลือกของข้าคือประโยชน์ของสรรพชีวิต”

เมื่อกล่าวเช่นนี้ เขาก็เดินออกจากโถงตำหนักแสงสว่าง

นักบวชหลายคนนอกโถงหมอบกราบ ดูราวกับคลื่น

สังฆราชมองไปยังสุสานเทียนซูแล้วกล่าว “กลับไปด้วยกันไม่ดีเสียกว่าหรอกหรือ”

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ตอบข้อเสนออันชัดเจนยวดยิ่งด้วยน้ำเสียงเย็นชายิ่งยวด ทุกคำเปี่ยมด้วยความเย้ยหยัน บางทีอาจมาจากความผิดหวัง

“แล้วมอบตำแหน่งของข้าให้พวกปัญญาอ่อนเหล่านี้เช่นนั้นหรือ ท่านชราเกินไปแล้วจริงๆ ถ้าอย่างนั้นก็ตายไปเสียเถอะ”

สังฆราชยิ้มจางๆ รู้ว่าอารมณ์ของนางไม่ดีอย่างมากในตอนนี้ แล้วเขาก็ส่ายหน้า

ใบไม้ครามไม่ได้อยู่ในมือเขาอีกต่อไป แต่ลอยอยู่ในความมืดด้านหลังเขา

ใบไม้ครามสั่นไหวช้าๆ ในสายลม ประหนึ่งกำลังส่ายหน้า

ครั้นใบไม้ครามส่ายไหว ผู้คนเริ่มก็เดินออกมาจากตำหนักกระจ่างพิสุทธิ์ที่อยู่ห่างจากโถงตำหนักแสงสว่าง คนเหล่านี้เป็นยอดฝีมือนิกายหลวงที่กักตัวเพื่อทำการทะลวงผ่านระดับ เป็นนักบวชที่หวังจะบำเพ็ญเพียรเงียบๆ ทำความเข้าใจในเต๋า พวกเขาคุ้นกับการใช้ชีวิตในโลกใบไม้ครามแล้ว หลังจากถูกเรียกออกมาอย่างฉับพลัน พวกเขาก็มีสีหน้างงงวยอยู่บ้าง ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

ผ่านไปครู่หนึ่ง พวกเขาก็รู้ถึงสถานการณ์ปัจจุบันและใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมาในทันที พวกเขาไปสมทบกับนักบวชคนอื่นของพระราชวังหลี แล้วเดินออกไปตามถนนเสิน กระจายตัวไปยังหลายพื้นที่ของจิงตู

……

……

พระราชวังหลีเคลื่อนไหวในที่สุด ดังนั้นสถานการณ์ในจิงตูจึงถูกกำหนดแล้ว

เหลียงหวังซุนออกจากหอหลิงเยียนแล้ว ด้วยเหตุผลบางอย่าง ประมุขรองตระกูลถังไม่ได้สังหารเขา

กองทัพอวี่หลินเกิดความวุ่นวายภายใน วังหลวงก็ดังสะท้อนไปด้วยเสียงต่อสู้ จนกระทั่งเฉินหลิวอ๋องนำเอาสิ่งที่เรียกว่าความปรารถนาก่อนเสด็จสวรรคตของจักรพรรดิเซียนออกมาและนำรถม้าไปยังวังหลวง สถานการณ์ถึงได้อยู่ใต้การควบคุมในที่สุด

ไม่นานหลังจากนั้น อ๋องหลายองค์ก็มาถึง มุขนายกสิบแปดคนนำนักบวชสามร้อยคนเข้าสู่เมืองพระราชวัง และวังหลวงก็ตกสู่ความเงียบงันในที่สุด

สถานการณ์ในวังหลวงซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม ฝ่ายกบฏพบกับการต่อต้านอย่างมาก หากไม่ใช่เพราะคำยืนกรานอย่างแข็งขืนของเจ้ากรมพิธีการ คืนนี้ยอดฝีมือของสำนักไม้เลื้อยที่นำโดยเจ้าสำนักเทียนเต้าจวงจื่อห้วนคงสังหารผู้คนไปมากกว่านี้

ความวุ่นวายในจิงตูค่อยๆ สงบลง

ฝ่ายกบฏค่อยๆ ควบคุมสถานการณ์ แต่ผลลัพธ์ที่แท้จริงยังยากที่จะตัดสินได้ เพราะยังคงมีสุสานเทียนซูอยู่

ไม่มีกองทัพอยู่รอบสุสานเทียนซู ไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรหรือยอดฝีมือคนไหนไม่ว่าจากเมืองใด เพราะระดับการต่อสู้ที่นี่สูงเกินไป

มีคนมายังสุสานเทียนซูคนแล้วคนเล่า แม้แต่คนที่โดดเด่นน้อยที่สุดในหมู่พวกเขาก็ยังเป็นคนสำคัญอยู่ดี

เหมาชิวอวี่มาแล้ว และก็มีชายร่างสูงผอมในชุดนักพรตอยู่กับเขาพร้อมกับเด็กหญิงผู้หนึ่ง

นอกความมืดมิดของสุสานเทียนซู อีกฝั่งของแม่น้ำแห้งขอด หลบเร้นไว้ซึ่งยอดฝีมือจากตระกูลใหญ่และพรรคต่างๆ ที่ทยอยปรากฏตัวขึ้น

ประมุขรองตระกูลถังไม่ได้ปรากฏตัว เขาออกจากหอหลิงเยียนเงียบๆ และไม่ปรากฏกายให้เห็นอีก นี่คือรูปแบบที่ตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยใช้ เมื่อหน้าที่ของตนจบลง ก็จะโบกแขนเสื้อจากไป และเมื่อเวลารับรางวัลมาถึงพวกเขาก็จะปรากฏตัวอีกครั้ง มีไม่กี่คนที่รู้ว่าตระกูลถังมีบทบาทสำคัญแค่ไหนในการกบฏครั้งนี้

หลายคนมายังสุสานเทียนซู ทว่าประมุขตระกูลชิวซานได้จากไปแล้ว เมื่อผู้พิทักษ์เอ่ยปากถามบนถนนลงใต้ เขาก็ครุ่นคิดก่อนที่จะตอบ “มีคนมากเกินไป”

……

……

สายตาเฉินฉางเซิงจับจ้องไปที่ภาพด้านล่างสุสานเทียนซูอย่างเงียบงัน คิดอะไรอยู่ก็มิรู้ได้

อันที่จริงตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าตนกำลังคิดอะไรอยู่ ไม่รู้ว่าควรคิดอะไร

ชายร่างสูงผอมข้างกายเหมาชิวอวี่คงเป็นมุขนายกนักพรตไป๋สือ แต่เด็กหญิงนั่นเป็นใครกัน

เด็กหญิงผู้นี้มีดวงหน้างดงาม เหตุใดจึงมีคุณสมบัติอยู่ข้างกายสองผู้ยิ่งใหญ่แห่งนิกายหลวง

“มู่จิ่วซือ เจ้ากลับมาจากดินแดนต้าซีตั้งแต่เมื่อไร”

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่จับจองเป็นทางเด็กหญิงและย่นคิ้วเล็กน้อย

ได้ยินชื่อนี้ แม้แต่สมองอันมึนงงของเฉินฉางเซิงก็ยังกระจ่างขึ้นมาบ้าง

ที่แท้เด็กหญิงหน้าตาผ่องแผ้วผู้นี้ก็คือมู่จิ่วซือ หนึ่งในหกผู้ยิ่งใหญ่แห่งนิกายหลวง

เขาไม่เคยคิดว่าผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในนิกายหลวงจะยังเยาว์เช่นนี้ จากคำพูดจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ เหมือนว่านางจะมีสัมพันธ์กับดินแดนต้าซีอย่างนั้นหรือ

มู่จิ่วซือมองไปบนยอดเขาสุสานเทียนซูและหัวเราะอย่างเคอะเขิน “เหนียงเหนียง ข้าเพียงแค่มาเป็นพยาน เหนียงเหนียงไม่จำเป็นต้องโกรธข้า”

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่หยัน “หากไม่ติดว่าจะดูน่าเกลียดเกินไป แม้แต่เผ่ามารก็คงส่งคนมาร่วมในคืนนี้ด้วย”

ไม่มีใครตอบคำ ไม่ใช่สังฆราชที่เดินผ่านความมืดมาหรือนักพรตจี้ที่เพิ่งเข้าสู่เมืองลั่วหยาง

เพราะอย่างนางกล่าวไว้ เรื่องนี้ช่างไร้ยางอายอย่างแท้จริง

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่รู้ดีว่าในต้าลู่ เรื่องไร้ยางอายเช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง ภาพแบบเดียวกันนี้ก็เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว

แต่นางก็มั่นใจมากว่านางจะไม่ต้องพบกับจุดจบอันน่าเบื่อเฉกเช่นชายผู้นั้น

“ยอดฝีมือใต้ท้องฟ้าพร่างดาวล้วนแต่อยู่ใต้ท้องฟ้าพร่างดาว ในขณะที่เราได้ก้าวข้ามท้องฟ้าพร่างดาวไปแล้ว”

เฉินฉางเซิงได้ยินเสียงนางแต่ก็ไม่อาจเข้าใจได้ และเขาก็ไม่เสียเวลามาพิจารณาคำพูดนี้

เขายังมีชีวิตอยู่ ดูเหมือนว่าการเปลี่ยนชะตาของเขาจะสำเร็จแล้ว และเขาก็สามารถมีชีวิตต่อไปในอนาคต เรื่องนี้มีค่าพอที่จะยินดี แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ในใจเขากลับไม่มีความยินดีแม้แต่น้อย เขาสูญเสียความสนใจในสิ่งต่างๆ ไปแล้ว แม้แต่การต่อสู้อันยิ่งใหญ่นี้ซึ่งต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์อย่างแน่นอนก็ไม่อาจทำให้เขาสนใจได้ สมองเขาว่างเปล่า

แต่เมื่อมองไปที่ควันดำที่ลอยขึ้นและเปลวเพลิงที่ลุกโชนอยู่บนถนนในจิงตูอยู่เป็นระยะๆ เขาก็รู้สึกเป็นกังวลอยู่บ้าง

เขาไม่รู้ว่าสำนักฝึกหลวงจะอยู่ในสภาพเช่นไรในตอนนี้ และ…เพื่อนที่เป็นห่วงเขาอย่างแท้จริงยามนี้กำลังทำอะไรอยู่

……

……

กองทัพอวี่หลินกับทหารม้านิกายหลวงต่างก็ล่าถอยไป และคงกำลังต่อสู้กันอยู่ที่ส่วนอื่นในจิงตู

หน้าประตูสำนักฝึกหลวงมีแต่ความเงียบ มีใบไม้ร่วงในตรอกไป๋ฮวาแต่ไม่มีคนอยู่แม้แต่คนเดียว

หลังจากถังซานสือลิ่วจากไป เขาก็ไม่กลับมาอีก เจ๋อซิ่วเข้าใจดีว่าสาเหตุไม่ได้มาจากตัวของถังซานสือลิ่วเอง

ดังนั้น เจ๋อซิ่วจึงไปจากสำนักฝึกหลวงเช่นกัน หายลับไปในความมืด

ไม่มีอาจารย์หรือนักเรียนคนใดนอนหลับ พวกเขายืนอยู่ตรงหน้าหอสมุดด้วยสีหน้าหวาดหวั่น นักเรียนบางคนถึงขนาดร้องขอให้ตนได้ออกไปตามหาเจ้าสำนักและพวก

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ออกไป”

ซูม่ออวี๋เตือนอย่างจริงจัง “ใครที่กล้าก้าวออกไปแม้แต่ก้าวเดียวในคืนนี้ จะถูกขับออกจากสำนักในทันที!”

ได้ยินเช่นนี้ พวกนักเรียนที่เป็นกังวลร้อนใจก็ค่อยๆ เงียบลง

ซู่ม่ออวี๋สั่งอาจารย์หลายท่านให้คอยดูแลความสงบแล้วเดินไปที่ประตูสำนัก กล่าวกับเยี่ยเสี่ยวเหลียน “คืนนี้ ข้าต้องรบกวนศิษย์น้องแล้ว”

ค่ายกลกระบี่ของสถานศึกษาหนานซีนั้นเพียงพอที่จะข่มขู่ขุมกำลังใดก็ตามที่หวังจะใช้ความวุ่นวายนี้มาทำร้ายสำนักฝึกหลวง

หลังจากซูม่ออวี๋จัดการเรื่องต่างๆ เสร็จ เขาก็เดินออกจากประตูสำนักและมองไปยังถนนอันมืดมิด เขาฟังเสียงการต่อสู้ที่อยู่ไกลออกไป หัวใจรู้สึกหนักอึ้ง

เฉินฉางเซิง ถังซานสือลิ่ว เจ๋อซิ่วกับเซวียนหยวนผ้อได้จากไปแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงแต่เขาที่อยู่ในสำนักฝึกหลวง

เขาต้องทำให้แน่ใจว่าสำนักฝึกหลวงจะปลอดภัย นี่เป็นสิ่งเดียวที่เขาพอจะทำได้

เยี่ยเสี่ยวเหลียนเดินมาข้างกายเขา มองไปในความมืดเช่นกัน ใบหน้างดงามของนางสะท้อนความกังวล

ศิษย์สถานศึกษาหนานซีปกป้องสำนักฝึกหลวงตามคำสั่งเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ แต่หลังจากเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ไปยังวังหลวง นางก็ไม่กลับมาอีก จิงตูเกิดความวุ่นวายขึ้นในคืนนี้ เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ยังปลอดภัยดีหรือไม่

……

……

หลังจากรถไม้ไผ่ออกจากจิงตู ก็มุ่งหน้าลงใต้ ไม่นานก็เดินทางไปไกลพันกว่าลี้แล้ว

บางทีอาจเพราะเหนื่อยล้า หรือบางทีอาจเป็นเพราะรู้สึกว่าเรื่องราวน่าเบื่อหน่ายเกินไป แพะดำจึงหยุดที่ริมแม่น้ำทังหวัง

แสงดาวตกกระทบน้ำใสของแม่น้ำทังหวังอันมีสายลมราตรีโชยผ่าน สะท้อนเป็นภาพใบไม้สีเงินจำนวนนับไม่ถ้วน ส่องประกายเข้าสู่หน้าต่าง รังสรรค์ลวดลายสีเงินอันงดงามนับไม่ถ้วนบนผนังด้านในรถลาก

แสงดาวตกต้องใบหน้าอันงดงามของสวีโหย่วหรงกับม่ออวี่ กระนั้นก็เหมือนจะทำให้มันหม่นมัวลง ตามสภาพอารมณ์ของพวกนางในตอนนี้

ปิ่นไม้ดำที่ปักผมสวีโหย่วหรงอยู่ทำให้นางไม่อาจเคลื่อนไหวได้ ได้เพียงแต่พูดเท่านั้น

นางมองม่ออวี่และกล่าวเสียงแผ่ว “บางทีเจ้าอาจเดาสิ่งใดได้”

ชุดชาววังของม่ออวี่สั่นไหวเล็กน้อย เพราะร่างของนางสั่นไหว

นางหันไปหาสวีโหย่วหรง เยี่ยงคนอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง นางดูไม่เหมือนกับแม่นางม่อแห่งวังหลวงที่ไร้ปรานีและเด็ดเดี่ยวแม้แต่น้อย แต่เหมือนกับเด็กสาวถูกทอดทิ้งมากกว่า

“เจ้า…พูดว่าอะไรนะ”

พวกนางเป็นเด็กสาวที่ฉลาดที่สุดในโลกสองคน ยิ่งพวกนางอยู่ห่างจากจิงตูมากเท่าใด สมองก็ยิ่งแจ่มชัด ยิ่งคิดได้มากขึ้นเท่านั้น พวกนางดูเหมือนว่าจะได้รับการยืนยันจากท่าทีของอีกฝ่าย หัวใจทั้งคู่ก็ยิ่งรู้สึกหวาดหวั่น

ไม่ว่าจะเป็นปิ่นไม้ที่ปักผมของสวีโหย่วหรง แพะดำที่มองไปทางจิงตูจากริมแม่น้ำทังหวังหรือการที่พวกนางมาอยู่ที่นี่ ทั้งหมดล้วนเป็นหลักฐาน

หากจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่มั่นใจความสามารถในการควบคุมสถานการณ์ในจิงตูคืนนี้ ทำไมต้องส่งพวกนางออกมาด้วย

ใบหน้าสวีโหย่วหรงซีดขาวในยามที่พูด “กลับกันเถอะ”

หลังจากเงียบไปนาน ม่ออวี่ก็ปฏิเสธความเห็นของนางกล่าวว่า “นี่เป็นคำสั่งเหนียงเหนียง เราต้องลงใต้ต่อไป”

เมื่อนางพูด สีหน้านางสงบอย่างยิ่ง ทว่าน้ำเสียงสั่นเครือปานกำลังจะร้องไห้