บทที่ 2861 ไม่อยากถูกท่านเอาเปรียบต่อไปแล้ว
พักฟื้นเช่นนี้ไปอีกสามวัน คาดว่าเธอคงดูแลตัวเองได้แล้ว ไม่แน่ว่าถ้าเข้าไปฝึกฝนในกลุ่มพายุนั้นได้อีก ทุกอย่างก็จะเข้าสู่ภาพปกติแล้ว
ตี้ฝูอีเอ่ยขึ้นมาช้าๆ “ครั้งนี้ข้าก็มาเพื่อฝึกฝนเช่นกัน ต้องอยู่ไปอีกสองเดือนเต็มถึงจะสำเร็จ สองเดือนนี้ข้าสามารถดูแลท่านได้ จนกว่าท่านจะไม่ต้องการให้ดูแลอีก”
ดวงตากู้ซีจิ่วส่งประกายนิดๆ เด็กคนนี้ยังคงมีน้ำใจนัก!
ถ้ารู้อย่างนี้แต่แรก ตอนนั้นเธอคงไม่ใช้อาคมควบคุมเขา…
จะว่าไป สรุปแล้วอาคมของเธอควบคุมเขาได้หรือเปล่านะ? เขาหลุดพ้นจากการควบคุมกลางคันหรือว่าควบคุมไม่ได้มาตั้งแต่แรกแล้ว?
เธอฉงนอยู่ในใจ จึงเอ่ยถามออกมา
ตี้ฝูอีเงียบไปครู่หนึ่ง เอ่ยอย่างเฉยเมย “อาคมของท่านร้ายกาจมาก แต่ข้าพบวิธีแก้แล้ว ดังนั้นทันทีที่ท่านร่ายอาคมควบคุมใส่ข้า ก็ถูกข้าแก้ได้แล้ว”
กู้ซีจิ่วตกตะลึง เธอกำหมัดแล้ว “เช่นนั้นเจ้าก็แสร้งว่าถูกควบคุมมาตั้งแต่แรกเลยสินะ! จงใจให้ข้าเป็นตัวตลกใช่ไหม?”
ตี้ฝูอีกล่าวอย่างสบายๆ ว่า “ข้าอยากเห็นว่าหลังจากท่านควบคุมข้าได้แล้ว สุดท้ายจะไปถึงขั้นไหนกันแน่”
“ที่แท้เจ้าก็เล่นละครมาโดยตลอด เช่นนั้นทำไมจู่ๆ เจ้าถึงไม่เล่นต่อไปแล้วล่ะ?”
“จู่ๆ ก็รู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมา ไม่อยากถูกท่านเอาเปรียบต่อไปแล้ว”
เธอหลุบตาลงนิดๆ ถึงแม้เธอจะใจกว้าง แต่พอถูกผู้อื่นเดียดฉันท์เช่นนี้เธอก็ยังคงเสียใจอยู่บ้าง “เจ้าไม่เต็มใจจะเป็นศิษย์ของข้าถึงขนาดนี้เชียวหรือ? เจ้าไม่รู้หรอกหรือว่ามีคนมากน้อยเพียงใดที่อยากจะกราบเข้าสังกัดของข้าทว่าถูกข้าปฏิเสธไป…”
ตี้ฝูอีมองแพขนตาที่สั่นไหวนิดๆ ของนาง “เช่นนั้นท่านก็ไปรับพวกเขาเป็นศิษย์สิ ไยต้องมาบังคับข้าด้วย?”
ใช่แล้ว ไยต้องบังคับเขาด้วยเล่า แตงที่ฝืนเด็ดย่อมไม่หวาน
“เฮอะ! สักวันเจ้าจะเสียใจ!”
ตี้ฝูอียิ้มมิเชิงยิ้ม “ข้าไม่เคยกระทำเรื่องที่ต้องนึกเสียใจภายหลัง” เขาไม่เคยกระทำการโดยไร้จุดมุ่งหมาย เขามีการคิดคำนวณของตัวเขาเอง
กู้ซีจิ่วเงียบไปแล้ว
โมโหนัก แต่ก็เอาชนะผู้อื่นไม่ได้ ตอนนี้แม้แต่วรยุทธ์เธอก็สู้ผู้อื่นไม่ได้เลย เธอจึงไม่คิดจะสนใจเขาชั่วคราว
ทั้งสองคนต่างบรรลุข้อตกลงชั่วคราวแล้ว กู้ซีจิ่วจึงตัดสินใจว่าจะนั่งสมาธิฟื้นฟู
คาดไม่ถึงว่าเพิ่งจะนั่งลงไป ก็ถูกเขาดึงขึ้นมาแล้ว “ท่านนั่งสมาธิเองไม่มีประโยชน์หรอก ข้าจะช่วยท่านเอง”
โอบเธอเอาไว้ในวงแขน ให้เธอนั่งบนตักตน
โอบกอดเธอไว้อย่างคุ้นเคยดี กู้ซีจิ่วกลับรู้สึกผิดปกติขึ้นมา “ไม่รบกวนเจ้าหรอก ข้านั่งสมาธิเองก็ได้”
เธอคิดจะดิ้นลุกขึ้นมา จนปัญญาที่ตี้ฝูอีโอบเอวของเธอเอาไว้ เธอดิ้นไม่หลุดชั่วขณะ ตี้ฝูอียังคงเอ่ยอย่างฉงนว่า “ท่านเก้อเขินอันใดเล่า? ท่านน่าจะรู้นี่ว่าอยู่ในอ้อมแขนของข้าแล้วท่านจะฟื้นฟูได้เร็วขึ้นอีกนิด”
กู้ซีจิ่วย่อมทราบถึงจุดนี้ดี แต่ว่า “ข้ากับเจ้าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน สัมผัสใกล้ชิดกันเช่นนี้ไม่ดีกระมัง?!”
ตี้ฝูอีเลิกคิ้ว “แปลกนะ ตอนนี้ท่านรู้สึกว่าสัมผัสใกล้ชิดเช่นนี้ไม่ดีไปเสียแล้ว ก่อนหน้านี้มิใช่ว่าเป็นฝ่ายเข้าหาอ้อมแขนของข้าก่อนหรอกหรือ?”
กู้ซีจิ่วหน้าครึ้มแล้ว วาจาเช่นนี้!
เธอเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ก่อนหน้านี้ข้าถือว่าเจ้าเป็นศิษย์ของตัวเองมาโดยตลอด อาจารย์บาดเจ็บ ลูกศิษย์ดูแลสักหน่อยก็ถูกต้องตามครรลองคลองธรรมแล้ว ต่อให้เป็นการสัมผัสใกล้ชิดเพราะไม่มีทางเลือกก็ไม่เป็นไร แต่ตอนนี้เจ้ายืนกรานจะไม่เป็นศิษย์ของเปิ่นจุน เปิ่นจุนย่อมไม่คิดจะรบกวนเจ้าอีกต่อไป”
ตี้ฝูอีแข็งทื่อไปเล็กน้อย กู้ซีจิ่วดิ้นรนออกจากอ้อมแขนของเขาอย่างไว้ท่ายิ่ง ไปนั่งโคจรพลังที่อีกด้านหนึ่งด้วยตัวเองแล้ว
ตี้ฝูอีมองดูนางที่หลุบตาโคจรพลังอย่างมีสมาธิ หัวใจว้าวุ่นขึ้นมาในทันใด
ดูเหมือนว่าเขา…จะทำให้ตัวเองสูญเสียผลประโยชน์ไปเสียแล้ว
เดิมทีกู้ซีจิ่วคิดว่าอยู่ที่นี่สักเดือนก็คงกลับไปเป็นปกติแล้ว คาดไม่ถึงเลยว่าผ่านพ้นไปหนึ่งเดือนแล้วการฟื้นฟูของเธอกลับไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ฟื้นฟูพลังยุทธ์กลับมาได้เพียงหนึ่งส่วน
————————————————————————————-
บทที่ 2862 ไม่อยากถูกท่านเอาเปรียบต่อไปแล้ว 2
ถ้าออกไปในสภาพนี้ ก็ไม่อาจข่มขวัญผู้อื่นได้ ไม่สามารถกระทำเรื่องราวมากมายได้
ไม่มีวิธีแล้ว เธอต้องอยู่ฝึกฝนที่นี่ต่อไปอีกหนึ่งเดือน
ในสองเดือนนี้ ตี้ฝูอีก็อยู่ที่นี่ตลอดเหมือนกัน บางครั้งก็ดูแลเธอ ล่าสัตว์ให้เธอ พาเธอออกไปตามหาพายุพลังวิญญาณที่ใหญ่หน่อย เวลาว่างก็พูดคุยกับเธอ
แน่นอน เขาก็ฝึกฝนวรยุทธ์เช่นกัน เวลาที่เธอเข้าไปในกลุ่มพายุ เขาก็จะเข้าไปในพายุกลุ่มอื่นด้วย
เพียงแต่ทุกครั้งที่กู้ซีจิ่วออกมา ล้วนพบว่าเขาออกมาแล้ว บ้างก็ยืนพิงเสาน้ำแข็งมองเธออย่างยิ้มมิเชิงยิ้ม
บ้างก็กำลังจัดการเสบียงอยู่ มีอยู่ครั้งหนึ่งถึงขั้นที่ได้เห็นว่าเขากำลังพลิกเปิดตำราอันใดอยู่ในกระท่อมน้ำแข็ง หรือไม่ก็กำลังอ่านตำราอันใดอยู่
กู้ซีจิ่วรู้ว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดายิ่งนักเลยจริงๆ ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปีก็สามารถพิชิตสองภพภูมิได้อย่างไร้สุ้มเสียงแล้ว เพียงพอจะแสดงให้เห็นศักยภาพของเขาแล้ว
ตอนนี้สองภพภูมิถูกเขาพิชิตไปแล้ว เช่นนั้นเป้าหมายต่อไปของเขาคือที่ไหนกันนะ?
ด้วยความสามารถของเขา การพิชิตหกภพภูมิภายในหนึ่งร้อยปีไม่ใช่เรื่องยากเลย…
เธอพลันใจเต้นแวบหนึ่ง ตัวตนของเธอก็คือผู้พิทักษ์หกภพภูมิ
หากว่าเขาค่อยๆ สยบพิชิตทั้งหกภพภูมิได้ ล้วนจัดการให้มีระเบียบแบบแผน เช่นนั้นต่อให้เธอดับขันธ์ไปแล้ว ก็น่าจะไม่ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อโลกใบนี้มากเท่าไหร่กระมัง?
คนผู้นี้คล้ายจะเกิดมาเพื่อเป็นราชันแห่งหกภพภูมิ…
น่าเสียดาย เขาไม่ยอมเป็นศิษย์ของเธอ มิเช่นนั้นเธอคงจะถ่ายทอดทักษะทั้งหมดที่ตนมีให้เขา อันที่จริงแล้วเขาเหมาะสมจะเป็นเทพผู้สร้างโลกยิ่งกว่าฟั่นเชียนซื่อเสียอีก
“ตี้ฝูอี เจ้าคิดว่าตำแหน่งนี้ของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?” วันนี้ กู้ซีจิ่วเอ่ยถามไปประโยคหนึ่งอย่างอดใจไว้ไม่อยู่แล้ว
ตี้ฝูอีกำลังอ่านตำรา ได้ยินวาจานี้ก็เงยหน้าขึ้น คล้ายฟังไม่เข้าใจ “ตำแหน่งของท่านเป็นอย่างไรอันใด?”
กู้ซีจิ่วกล่าวไปว่า “เปิ่นจุนคือเทพผู้สร้างโลก ได้รับการเทิดทูนจากหกภพภูมิ…”
“อืม แล้วอย่างไรต่อ?”
“เจ้าอยากได้ตำแหน่งนี้ของข้าหรือไม่? อยากเป็นเทพผู้สร้างโลกไหม?”
“ไม่อยาก!” ตี้ฝูอีปฏิเสธโดยไม่หยุดคิดเลย
กู้ซีจิ่วถูกตอกกลับจนผงะไป เลิกคิ้วแล้วเอ่ย “ปากไม่ตรงกับใจกระมัง? อย่าคิดว่าเปิ่นจุนมองไม่ออกนะ อันที่จริงแล้วเจ้ามีใจใฝ่อำนาจยิ่ง มิเช่นนั้นเจ้าคงไม่สิ้นเปลืองกำลังไปมากมายขนาดนี้เพื่อจัดระเบียบภพปีศาจกับภพเซียนใช่ไหม? เจ้าดูเถิด ถึงแม้เจ้าจะมิใช่ผู้นำของสองภพภูมินี้ แต่ก็ได้รับความเลื่อมใสศรัทธาจากประชาชนของสองภพยิ่งกว่าผู้นำเสียอีก ตำแหน่งของเจ้าอยู่เหนือกว่าผู้นำทั้งสองไปแล้วจริงๆ หากเป็นไปตามที่ข้าคาดการณ์ไว้ การพิชิตภพภูมิที่เหลือก็อยู่ในแผนการของเจ้าเช่นกัน…ไม่ต้องรีบร้อนปฏิเสธหรอก เปิ่นจุนมิได้จะว่ากล่าวเอาโทษเจ้า เจ้าจัดการสองภพภูมิได้ดียิ่ง เปิ่นจุนเห็นแล้วยินดีนัก อันที่จริง ถ้าเจ้าจะพิชิตหกภพภูมิก็ต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงมหาศาลยิ่ง จะพบพานอุปสรรคยากเข็ญมากมาย ไม่แน่ว่าอาจจะกระทบไปถึงชีวิตด้วย แต่หากว่าเจ้าขึ้นนั่งในตำแหน่งเทพผู้สร้างโลกนี้ เรื่องเหล่านี้ล้วนจะได้รับมาอย่างง่ายดาย…”
ตี้ฝูอีเอ่ยอย่างเฉยชา “บางเรื่องต้องลงมือด้วยตัวเอง แย่งชิงมาให้ได้ด้วยตัวเองถึงจะมีความหมาย ตำแหน่งที่ข้าอยากได้ก็ต้องพึ่งพาความสามารถของตัวเองเพื่อให้ได้ครอง มิใช่การรับช่วงสืบทอดอันใด…”
จู่ๆ คล้ายว่าเขาจะนึกอะไรได้ มองเธอต่ออีกหลายครา “ไม่ถูกสิ ท่านเป็นเทพ เป็นอมตะไม่แก่เฒ่ากระมัง? เหตุใดต้องการคนมาสืบทอดตำแหน่งของท่านอีก?”
กู้ซีจิ่วหัวเราะแหะๆ “เทพก็มีวันที่ร่วงโรยเช่นกัน…ต่อให้ไม่ดับขันธ์ เทพก็จะเข้าสู่ห้วงนิทรา ยกตัวอย่างเช่นข้าที่ก่อนหน้านี้ก็นิทราไปหลายหมื่นปีเช่นกัน…หากว่าข้ามีผู้สืบทอดมาคอยจัดการแทนข้า หกภพภูมิก็คงไม่กลายมาเป็นเช่นนี้ เจ้าว่าใช่หรือไม่เล่า?”
“ที่แท้ท่านก็ต้องการเสาะหาผู้รักษาการณ์แทนสักคน ท่านรับไว้คนหนึ่งแล้วมิใช่หรือ?”
กู้ซีจิ่วเงียบไป…
“คงมิใช่ว่าท่านยังไม่ละทิ้งความคิดที่จะรับข้าเป็นศิษย์ไปกระมัง? นึกเสียใจภายหลังอีกแล้วหรือ?”
กู้ซีจิ่วหุบปากแล้ว
ต่อมาในภายหลัง เธอก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องรับศิษย์อีกเลย
————————————————————————————-