GGS:บทที่ 1085 เลี้ยงรุ่นมหาวิทยาลัย

 

ซูจิ้งได้โทรหาเฉิงหนานแล้วพูดคุยเกี่ยวกับงานแถลงของเขา เมื่อเสร็จแล้ว ซูจิ้งก็ได้กลับไปจัดการขยะห้วงเวลาฯของเขาต่อไป

คราวนี้เขาได้เริ่มจัดการขยะฯกองไม้ ขยะฯกองหิน และขยะฯ อื่นๆ ถึงแม้ว่าเขาจะได้พบเจอกับอะไรที่มันดีๆอยู่บ้าง แต่เมื่อเทียบของที่เขาได้เจอมาก่อนหน้านี้แล้วถือได้ว่าด้อยค่าไปในทันที แน่นอนว่าของที่ทรงคุณค่าอย่างชุดคลุมหนังหนูไฟกับตะเกียงน้ำมันปลาทะเลน้ำลึกนั้นคงจะไม่มีทางพบเจอได้บ่อยนัก

 

หลังจากตรวจสอบซ้ำจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรอีก ซูจิ้งก็ให้ฉิงหยุนจัดการย่อยขยะที่เขาไม่ได้ใช้เหล่านี้จนหมดสิ้น ส่วนที่ใช้ได้เขาก็เก็บบางส่วนเอาไว้กับตัว ส่วนที่เหลือก็เก็บเอาไว้ในพื้นที่เก็บของ

และด้วยเหตุนี้ ลานลองรับขยะฯก็ได้ว่างลงอีกครั้ง และพร้อมที่จะรับขยะห้วงเวลาฯกองใหม่ต่อไป

เมื่อเสร็จสิ้นเรื่องทั้งหมดแล้ว ซูจิ้งได้เดินออกจากสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯและกำลังจะไปอาบน้ำชำระล้างร่างกาย

 

ทันใดนั้นเอง โทรศัพท์ของเขาก็ได้ดังขึ้นมา เมื่อหยิบขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นใครคนหนึ่งในกลุ่มมหาวิทยาลัยได้แท็กชื่อของเขาเอาไว้

หลังจากเปิดดูแล้วก็พบว่าเป็นเจียงหวาง คนที่เป็นหัวหน้าห้อง ดูเหมือนว่าตอนนี้จะกลายเป็นหัวงานในการจัดงานรวมรุ่นไปเรียบร้อยแล้ว

นี่ก็เป็นเวลากว่าสามปีแล้วที่ซูจิ้งได้จบออกมาจากมหาวิทยาลัย ด้วยเหตุนี้ทำให้มีหลายๆคนที่มีความรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อยที่จะได้มีโอกาสพบเจอเพื่อนเก่าหลังจากที่ไม่ได้เจอกันมานานถึงสามปี

“ฉันว่าเราควรจะไปจัดงานที่มหาวิทยาลัยนะ”

“ไปจัดที่นั่นก็ไม่สนุกน่ะสิ ทำไมเราไม่ไปจัดกันที่ที่มันดูน่าสนุกๆหน่อยล่ะ

“ไปเมืองฉิงหยุนหรือไม่ก็จงหยุนไหมล่ะ ที่นั่นวิวทะเลสวยดีนะ แถมที่นั่นยังมีจุดชมนกนางแอ่น มีของที่ระลึกชั้นยอดอย่างไวน์จิ้งจอกแดง และที่สำคัญที่สุดก็คงหนีไม่พ้นเป็นถิ่นของซูจิ้ง หากว่าพวกนายได้ไปล่ะก็แน่นอนว่าไม่ต้องกังวลอะไรอย่างแน่นอน”

 

และนี่เองจึงเป็นเหตุผลให้มีข้อความแจ้งเตือนมายังเขา ถึงแม้ว่าซูจิ้งนั้นในตอนแรกจะปิดการแจ้งเตือนจากกลุ่มนี้เอาไว้เพราะส่วนใหญ่จะเป็นการคุยไร้สาระมามากกว่า

แต่เขาเองก็ได้ตั้งให้มีการตรวจจับเอาไว้ให้แจ้งเตือนเวลามีคนเอ่ยชื่อเขาเอาไว้ด้วยแล้ว

เมื่อซูจิ้งได้เห็นข้อความที่เจียงหวางได้ส่งเอาไว้ ตอนแรกเขาเองก็คิดว่าจะตอบข้อความไปเหมือนกัน แต่เมื่อเขาได้เห็นข้อความถัดมาของเจียงหวางโพสต่อจากนี้ ทำให้เขานั้นต้องหยุดคิดไปในทันใด โดยเจียงหวางได้โพสต์

 

ข้อความไว้ว่า “ฮ่าฮ่าฮ่า ตราบใดที่นายมีเงินพอที่จะจ่ายยังไงซะนายก็ย่อมได้ของดีกลับไปอย่างแน่นอน นี่เขาเรียกว่าการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมเฟ้ย

อาจิ้งนั้นยุ่งจะตายชักอย่าไปกวนเขาเลยจะดีกว่า เอาเป็นว่าถ้าฉันเจอที่เหมาะๆแล้วจะรีบส่งข่าวบอกไปแล้วกัน อ้อ แล้วก็งานนี้ฉันได้เชิญแขกพิเศษไปด้วยนะ มีสองคนคนหนึ่งคือเฉียนหยินหนิง อีกคนก็คือฮัวเชา”

“หัวหน้าห้องสุดยอดดดดด ไม่เสียแรงจริงๆที่เป็นหัวหน้าห้องของพวกเรา”

“เชิญแล้วก็อีกเรื่องหนึ่งแต่ถ้าเฉียนหยินหนิงไปด้วยนี่ย่อมดีอย่างแน่นอน ได้ข่าวว่าตอนนี้เธอยังโสดอยู่นี่นา”

“ห้ะ เธอโสดแล้วยังไงฟะ ตอนที่เรียนกันเธอก็ไม่ได้มีท่าทีสนใจนายเลยสักหน่อย นายไม่มีโอกาสหรอกน่า ได้เห็นเดี๋ยวก็เก๊กซิมไปป่าวๆ”

“พูดอย่างนี้มาฆ่ากันเลยดีกว่า”

“หัวหน้าห้อง ที่นายบอกว่าลูกพี่ฮัวนี่…คงไม่ใช่ฮัวหยุนชูหรอกนะ”

“ก็ฮัวหยุนชูนั่นแหล่ะ ตอนนี้เขากลายเป็นนายน้อยเต็มตัวแล้ว” เจียงหวางเองก็ดูเหมือนว่าค่อนข้างจะให้ค่ากับฮัวหยุนชูเอาไว้พอสมควรเลยทีเดียว

 

“ฉันไปแน่นอน หากว่าเขาไปจริงๆล่ะก็นะ ไม่คิดเลยว่าหัวหน้าห้องจะรู้จักกับลูกพี่ฮัวด้วย”

“เดี๋ยวนะ หมอนั่นไม่ได้อยู่ห้องเรียนเดียวกับเรานี่ ไม่สิ ไม่ใช่มหาวิทยาลัยเดียวกันด้วยซ้ำ แล้วจะชวนมาเพื่อ?”

“ก็ฉันเห็นมีหลายๆคนสนใจเขานี่นา ไม่ดีหรอกเหรอที่เราจะได้มีโอกาสได้พบปะคนจากตระกูลฮัว ฉันเองไม่คิดว่าโอกาสนี้จะมีมาบ่อยๆหรอกนะ”

ด้วยข้อความของเจิ้งหวางที่พิมพ์เอาไว้นี้ได้แฝงเอาไว้ด้วยความหมายหลายๆอย่าง

อย่างแรกเรื่องค่าใช้จ่าย งานนี้จะใหญ่หรือเล็กนั้นเอาจริงๆแล้วขึ้นอยู่กับจำนวนคนที่ไปอย่างแน่นอน

อย่างที่สอง สาวงาม ชื่อของเฉียนหยินหนิงนั้นถือได้ว่าเป็นตำนานดอกไม้งามของมหาวิทยาลัยแม้ว่าเธอจะจบออกมาแล้วแต่ก็ยังไม่สามารถแทนที่เธอได้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้หนุ่มๆทั้งหลายอยากจะไปงานนี้อย่างไม่ต้องสงสัย

 

อย่างที่สาม ฮัวหยุนชู แน่นอนว่าคนที่จบจากมหาวิทยาลัยไปแล้ว ยังไงซะก็ต้องเข้าสังคม การที่ได้พบเจอกับคนที่มีอำนาจในสังคมและได้ทำความรู้จักกันเอาไว้ย่อมเป็นสิ่งที่เหล่าคนทำงานใฝ่ฝันปรารถนา

เพราะยังไงซะการได้รู้จักคนที่มีอำนาจทั้งการเงินและทางสังคมเอาไว้ แน่นอนว่าเปรียบได้ดั่งป้ายเบิกทางที่ทำให้มีอนาคตอันรุ่งโรจน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนใหญ่คนโตอย่างฮัวหยุนชูแล้ว หากได้รู้จักจนถือว่าเป็นเพื่อนกันได้ย่อมดีกว่าเผลอเป็นศัตรูกันในอนาคตอย่างแน่นอน

 

ยิ่งไปกว่านั้น ในสายตาคนธรรมดาแล้ว ฮัวหยุนชูนั้นมาจากตระกูลที่ดี ดีเสียยิ่งกว่าซูจิ้งเสียด้วยซ้ำไป มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ว่าซูจิ้งนั้น ในตอนนี้อยู่คนละระดับกับฮัวหยุนชูไปแล้ว นี่จึงเรียกได้ว่าความโดดเด่นในงานนี้ของซูจิ้งโดนขโมยไปในทันที

เมื่อเห็นข้อความเหล่านี้ทำให้ซูจิ้งเลือกที่จะถอนนิ้วของตัวเองออกจากโทรศัพท์มือถือ และเรียกที่จะไม่พิมพ์อะไรลงไป

ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ซูจิ้งคิดจะพิมพ์ตอบอะไรเจียงหวางไปก็จริง แต่เมื่อเห็นข้อความเหล่านี้ทำให้เขานั้นอดที่จะสงสัยไม่ไดว่านี่เจียงหวังนั้นรู้จักฮัวหยุนชูจริงๆรึเปล่า

แต่เท่าที่ดูจากคำพูดต่างๆที่เขาเลือกใช้นั้นเหมือนกับบรรจงสรรสร้างขึ้นมาเพื่อให้ค่ากับฮัวหยุนชูอย่างบอกไม่ถูก

ความจริงแล้ว ตอนที่ซูจิ้งยังอยู่ในมหาวิทยาลัยนั้น เขาเองก็เห็นเจียงหวางนั้นเป็นเด็กเรียนดีคนหนึ่ง แล้วยังเป็นคนที่เข้ากับคนได้เป็นอย่างดี

 

โดยเฉพาะหากพูดถึงเรื่องการเรียนนั้นเรียกได้ว่าเป็นที่ที่ได้เกรดดีที่สุดของชั้นปีในแต่ละปีเลยก็ว่าได้ นี่จึงทำให้เขานั้นจบออกมาด้วยเกียรตินิยมมอันดับหนึ่ง

ในส่วนเรื่องสายสัมพันธ์เองเขานั้นก็ถือได้ว่าเป็นคนอัธยาศัยดีคนหนึ่ง ตั้งแต่เริ่มเรียนในมหาวิทยาลัยนั้น เขาเป็นนักศึกษาที่เป็นที่รู้จักกันไปทั่ว จนทำได้แม้กระทั่งมีชื่อติดหอเกียนติยศของมหาวิทยาลัยเลยทีเดียว

และด้วยเหตุนี้ทำให้เขาได้รู้จักกับผู้คนมากมายทั้งหลายสาขาและชั้นปี ด้วยเหตุนี้ คนทั้งห้องจึงเห็นพ้องต้องกันโดยไม่ต้องนัดหมายว่าคนคนนี้ ต้องเป็นหัวหน้าห้องอย่างไม่ต้องสงสัย และนี่จึงเป็นเหตุผลที่เขานั้นได้รับการโหวตในทุกๆครั้งไปที่มีการเลือกหัวหน้าห้อง

ในภายหลัง เขาได้มีโอกาสเข้าร่วมกับสภานักศึกษาจนทำให้ทุกคนรู้จักและคุ้นเคยในหน้าตาอยู่บ้าง พร้อมทั้งเป็นคนหนึ่งที่ถูกคัดเลือกให้เป็นผู้นำนักศึกษาในการประกอบกิจกรรมต่างๆอยู่บ่อยครั้ง

จนในที่สุด เขาก็ได้มีโอกาสรู้จักกับคนจากมหาวิทยาลัยอื่น ตลอดจนเหล่าผู้คนที่คอยสนับสนุนกิจกรรมของมหาวิทยาลัย จึงเป็นเรื่องแปลกหากจะบอกว่าชายคนนี้ไม่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานของตน

อย่างไรก็ตาม การที่เจียงหวางไปรู้จักกับฮัวหยุนชูจนสามารถเชื้อเชิญมางานเลี้ยงรุ่นของตัวเองได้ขนาดนี้นี่ทำให้ซูจิ้งต้องประหลาดใจอย่างมาก

เพราะยังไงซะคนระดับฮัวหยุนชูนั้นไม่มีทางเลยที่คนธรรมดาอย่างเจียงหวางนั้นจะเป็นเพื่อนที่สนิทชิดเชื้อจนชวนมางานที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแม้แต่น้อยอย่างนี้ได้อย่างง่ายดาย นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคนทั่วไปถึงคิดว่านี่เป็นโอกาสทองของชีวิต

 

ซูจิ้งที่เห็นดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะโทรไปถามฮัวหยุนชูในทันที แต่ยังไม่ทันจะกดโทรไป ก็กลายเป็นว่าฮัวหยุนชูได้เป็นฝ่ายโทรมาหาเขาซะเอง

เมื่อซูจิ้งรับสาย ฮัวหยุนชูก็ได้พูดออกมาว่า “ลูกพี่จิ้ง เพื่อนของพี่ที่เป็นหัวหน้าห้องตอนมหาวิทยาลัยน่ะ รู้สึกว่าจะชื่อเจียงหวางนะ เขาโทรมาหาผมเพื่อเชิญผมไปงานเลี้ยงรุ่น ผมคิดว่าพี่น่าจะไปเลยเผลอตอบรับคำเชิญไปแล้ว ถ้าผมไปนี่จะมีปัญหาอะไรรึเปล่าอ่ะ”

“ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรนะ ว่าแต่นายไปรู้จักหมอนั่นได้ยังไงกัน” ซูจิ้งถามออกมา

“หมอนั่นเป็นผู้จัดการโครงการของบริษัทผมน่ะ เขาดูกระตือรือร้นดีและดูเป็นคนที่ภักดีกับผม ผมเลยให้โอกาสเขาบ้างในบางครั้งน่ะ” ฮัวหยุนชูพูดออกมา

 

“….อืมมมมดูเหมือนว่านายจะไม่ได้เป็นเพื่อนกับหมอนั่นสินะ”

“เพื่อนเหรอ ฮ่าฮ่าฮ่า คนอย่างหมอนั่นไม่คู่ควรกับคำนี้สำหรับผมหรอกนะ”

นี่แสดงว่าหากซูจิ้งไม่ไปนั้น แน่นอนว่าคนอย่างเจียงหวางนั้นไม่มีทางจะชวนฮัวหยุนชูไปได้อย่างแน่นอน ที่ฮัวหยุนชูตอบรับเจียงหวางไปก่อนหน้านี้นั้นเป็นเพราะเขาได้ยินชื่อซูจิ้งเลยเผลอไผลตกปากรับคำไปเท่านั้น

“หืม… เอ่อ เจียงหวางส่งข้อความมาถามผมว่าผมจะไปเองหรือไปกับเขา แล้วบอกอีกว่าถ้าไม่ว่าอะไรเจียงหวางจะขอเป็นสารถีขับรถให้ผมเอง….พี่จิ้ง ดูเหมือนว่างานนี้คงต้องให้พี่ตัดสินใจแล้วล่ะ”

ฮัวหยุนชูที่ตอนนี้เองก็เริ่มคิดว่าเรื่องมันทะแม่งทะแม่งตั้งแต่ที่ซูจิ้งถามเขาเรื่องเป็นเพื่อนกับเจียงหวางแล้ว ยิ่งเห็นข้อความนี้ก็อดไม่ได้ที่จะมอบให้ลูกพี่ของเขาเป็นผู้ตัดสินใจในทันที

ซูจิ้งเองที่ได้ยินแบบนี้ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะสั้นๆแบบซังกะตายออกมาหนึ่งที พลางคิดไปว่าดูเหมือนว่าเจียงหวางคนนี้จะคิดไม่ซื่อกับเพื่อนร่วมชั้นสมัยมหาวิทยาลัยแล้วเป็นแน่ถึงได้พยายามสร้างความประทับใจให้เพื่อนร่วมรุ่นแบบนี้

โดยเฉพาะแทนที่เขาจะถามว่าใครจะไปกับเขาบ้าง เขากลับมาถามฮัวหยุนชูเป็นการส่วนตัวแทนแบบนี้นี่แสดงให้เห็นว่าต้องการจะสร้างภาพตัวเองชัดๆ

นี่ทำให้เขาเริ่มสงสัยแล้วว่าตอนที่หมอนี่เป็นหัวหน้าห้องและสภานักเรียนได้ทำอะไรไว้บ้างกันแน่

แต่ไม่ว่าจะมั่นใจยังไงก็ตาม แต่เพียงแค่คำพูดของเขาและฮัวหยุนชูนั้นก็ไม่สามารถพูดเอาผิดเจียงหวางได้แน่นอน

 

เป็นไปได้ว่าการที่หมอนี่ทำอย่างนี้เป็นเพราะต้องการสร้างอำนาจให้ตัวเองด้วยการสร้างความประทับใจให้ผู้คนก็เป็นไปได้

คราวนี้ ซูจิ้งได้กลับไปดูข้อความที่โต้ตอบกันของกลุ่มเพื่อนเก่านี้ ละได้พบว่าแม้แต่เสี่ยวรุยและหลินฮ่าวเองก็ได้ส่งข้อความออกมาด้วยเช่นกัน

เมื่อเห็นดังนั้น ซูจิ้งจึงได้กับฮัวหยุนชูว่า “เอาเป็นว่าวันมะรืนนี้นายไปเจอกับฉันที่โรงแรมนานาชาติหลงเต็งของเมืองจงหยุนก็แล้วกัน หลังจากนั้นเราค่อยไปเมืองฉิงหยุน แล้วค่อยว่ากันอีกทีว่าจะเอาไงต่อ”

“รับทราบครับลูกพี่” ฮัวหยุนชูตอบออกมาอย่างไม่ต้องคิดมากแต่อย่างใด

 

เพียงหลังจากซูจิ้งได้วางสายไปสักพัก อยู่ๆเจียงหวางก็ได้พูดออกมาในกลุ่มของเพื่อนร่วมรุ่นมหาวิทยาลัยว่า “ฉันเห็นว่าตอนนี้พวกเรานั้นหาเวลาเจอกันได้ยากเย็น

จึงขอเสนอว่าในเมื่อวันมะรืนนี้เป็นวันอาทิตย์  ทุกคนก็ไม่น่าจะต้องทำงานกัน เอาเป็นเรามาเจอกันที่โรงแรมนานาชาติจองหยุนหลงเต็งกันดีกว่า

หลังจากนั้นพวกเราค่อยไปที่เมืองฉิงหยุนเพื่อเที่ยวด้วยกัน ใครที่มาล่ะก็ฉันจะออกค่าใช้จ่ายให้เอง”

 

เพียงสิ้นคำของเจียงหวางไปทำให้มีข้อความเล็กๆน้อยๆของเพื่อนร่วมรุ่นของเขาขึ้นมามากมาย และหลายคนเองก็เห็นด้วยในทันที

ซูจิ้งเองก็ทำการตอบรับความคิดเห็นนี้ด้วยเช่นเดียวกัน แต่ที่เขาคิดไม่ถึงมาก่อนก็คือ หวังหยานนั้นตอบรับที่จะเข้าร่วมแทบจะในทันทีที่เขาส่งข้อความไปแล้ว