GGS:บทที่ 1086 ด้วยกัน

ทั้งซูจิ้งและหวังหยานนั้นได้ให้คำตอบว่าจะเข้าร่วมด้วยแทบจะพร้อมๆกัน นี่ทำให้ซูจิ้งถึงกับต้องคิดไปไกลในทันที
ความจริงเขาเองเมื่อเห็นว่าหวังหยานจะไปด้วยนั้นในตอนแรกก็คิดเหมือนกันว่าจะถอนตัว แต่เขาเองก็กลัวว่าจะมีคนอื่นได้เห็นข้อความของเขาแล้วเหมือนกัน
หากเป็นอย่างนั้นการที่เมื่อหวังหยานส่งข้อความแล้วเขาถอนตัวจะกลางเป็นเด็นที่เขาไม่อยากจะพูดถึงมันอีกขึ้นมาในทันที จะถอนตัวไปตอนนี้ก็คงจะเท่านั้นแล้ว
บรรยากาศในห้องแชทตอนนี้เริ่มอึดอัดไปในเล็กน้อย ทุกคนในห้องแชทนั้นต่างก็รู้เรื่องราวเกี่ยวกับซูจิ้งและหวังหยานไม่มากก็น้อยแต่บอกได้ว่าไม่มีใครที่ไม่รู้เรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม เพื่อนเก่าของเขาเองก็รู้ดีว่าต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นจึงได้เปลี่ยนหัวข้อสนทนาในทันที หลายๆคนที่เห็นข้อความของซูจิ้งที่จะเข้าร่วมจึงได้เลือดพูดคุยกับเขาผ่านห้องแชท ด้วยความรู้สึกที่ตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก
“ซูจิ้ง นายนี่มันเหลือเกินเลยจริงๆนะ ฉันได้ยินข่าวของนายอยู่บ่อยๆจนแทบจะไม่อยากเชื่อเลยว่านายเป็นซูจิ้งที่เราเคยรู้จักกันน่ะ”
“บุหรี่ของนายนี่สุดยอดจริงๆเลยนะบอกไว้ก่อน”
“ข้าวสีน้ำเงินของนายเองก็อร่อยมากเลยนะ เสียดายที่มันแพงมาก นายไม่คิดจะลองวางขายเกรดที่คนทั่วไปซื้อกินได้ทุกวันบ้างเลยเหรอ”
“เฮ้ ฉันใช้โทรศัพท์กาลเวลาของนายด้วยนะ บอกได้เลยว่าเหนือล้ำกว่าใครเลยล่ะ”
ซูจิ้งหัวเราะเล็กน้อยก่อนที่จะไล่ตอบข้อความของทุกคนอย่างครบถ้วน แล้วบอกไปว่าในงานนี้เขาจะนำของดีๆไปให้ลองกันด้วย นี่ทำให้ทุกคนแสดงความตื่นเต้นออกมาในทันที นั่นก็เพราะซูจิ้งในตอนนี้คือใครกันล่ะ เขาก็คือคนที่คิดค้นสุดยอดผลิตภัณฑ์มากมายออก ของที่เขานำมานั้นย่อมเป็นของดีที่แท้จริงอย่างแน่นอน

ในกลุ่มแชทเหล่าพี่น้องนอกเลือดของซูจิ้งนั้น เสี่ยวรุยได้ส่งข้อความโดยติดแท็กชื่อของซูจิ้งไว้ว่า “พี่สาม ตอนที่เราคุยกันพี่บอกว่าจะไม่ไปไม่ใช่เหรอ”
“ก็นี่มันงานเลี้ยงรุ่นทั้งทีเลยนา…. กับเรื่องแบบนี้ฉันพร้อมที่จะมีเวลาให้เสมอ” ซูจิ้งตอบกลับไป
“ตอนที่ไปถึงจริงๆไม่รู้เหมือนกันว่าไอ้เวรตะไรเจียงนั่นจะทำหน้ายังไงเหมือนกันนะ ไอ้หมอนั่นคิดว่าการที่ไปพร้อมกับฮัวหยุนชูจะสร้างภาพให้ตัวเองได้รึไงกัน” หลินฮ่าวได้พิมพ์เข้ามา
“ถึงตอนนั้นจริงๆก็ปล่อยมันไปละกัน” ซูจิ้งพิมพ์ตอบออกไป
“หมอนั่นคงไม่ใช่ว่าไปเพื่อจีบพี่สะใภ้หรอกนะ หากเป็นอย่างนั้นจริงพี่จะไม่เป็นอะไรเหรอที่จะมีเรื่องกับหมอนั่น” เสี่ยวรุยพิมพ์ถามออกมาด้วยความเป็นกังวล
“นั่นสิ ยังไงซะฮัวหยุนชูเองก็ไม่ธรรมดาเลยนา อย่าประมาทหมอนั่นเป็นอันขาด” หลินฮ่าวพิมพ์เสริมเข้ามา
“โอ้…. เรื่องนั้นถ้าหมอนั่นทำได้ลงฉันก็ไม่ว่านะ” ซูจิ้งพิมพ์ตอบกลับไปเพราะรู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นจริงราวกับไฟที่ไม่มีทางเกิดขึ้นได้หากไม่เริ่มมาจากควัน ในตอนนั้นเองฉือเล่ยก็ได้ถามออกมาว่า “แล้วพี่สองล่ะ ทำไมเขาไม่มาคุยด้วยเนี่ย”
“หมอนั่นประชุมอยู่นะ แต่ก็บอกอยู่นะว่าจะไป” หลินฮ่าวพูดออกมา
“เยี่ยมมมม งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้เจอกันนะ” ซูจิ้งพูดออกมา

สองวันถัดมาในตอนเช้า ณ ห้องงานเลี้ยงหนึ่งที่อยู่ชั้นสองของโรงแรมนานาชาติหลงเต็ง
ชายหนุ่มและหญิงสาวกลุ่มหนึ่งได้เดินเข้าห้องมา คนแรกที่เข้ามานั้นคือเจียงหวาง เขานั้นได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากเหล่าศิษย์ร่วมรุ่นที่มาถึงก่อน
ก่อนหน้านี้ทุกคนนั้นได้วุ่นวายเกี่ยวกับการจัดแจงงานต่างๆ หลังจากนั้นก็มีติงบินและเทียนยี่เข้ามา ทั้งสองอยู่ที่เมืองจงหยุนนี่เองจึงได้มาถึงก่อนใคร
ไม่นานชายหนุ่มที่หน้าค่อนข้างยาวคนหนึ่งก็ได้เดินเข้ามา เมื่อชายหนุ่มคนนี้มาถึงทำให้ติงบินและคนอื่นๆต่างก็ตกตะลึงไปสักพักเพราะชายคนนี้พวกเขาน่าจะไม่รู้จัก
“โอ้คุณซ่ง” ในตอนนั้นเอง เจียงหวางก็ได้ร้องทักทายออกมาจากด้านหลัง
“ฮ่าฮ่าฮ่า คุณหวาง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” ชายหนุ่มหน้ายาวหัวเราะออกมา ดูเหมือนว่าชายคนนี้จะมาที่นี่เป็นเพราะเจียงหวางเป็นคนเชิญมา

หากซูจิ้งหรือหวังหยานมาถึงล่ะก็จะต้องจำได้ในทันที เพราะชายคนนี้คือคนที่ตระกูลหวางพยายามจะให้หวังหยานแต่งงานด้วย คนๆนี้ก็คือโอฉิงซง
หมอนี่เองก่อนหน้านี้ก็ได้ยืนอยู่ฝั่งนักคาราเต้ชาวญี่ปุ่นตอนมีเรื่องกับซูจิ้งในคราวแย่งกันเป็นผู้ได้รับสัมปทานโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ และแน่นอนว่าหวังหยานไม่มีทางสนใจคนแบบนี้อย่างแน่นอน
ความจริงแล้วที่โอฉิงซงนั้นมาทำตัวรู้จักกับเจียงหวานนั้นก็เป็นเพราะหวังหยานนั่นเอง หรือจะพูดก็คือเขารู้จักกันได้ก็เพราะหวังหยาน
ตอนที่โอฉิงซงนั้นต้องการรู้เรื่องราวของหวังหยานให้มากขึ้นเพื่อที่จะได้จีบเธอได้ง่ายขึ้นจึงได้ไปหาข้อมูลของเธอจากเพื่อนเก่าๆ และนั่นทำให้เขาได้รู้จักเจียงหวางไปโดยปริยาย
และแน่นอนเหตุผลที่โอฉิงสงมาในครั้งนี้เองก็ถือได้ว่าเขากับเจียงหวางนั้นได้รับประโยชน์แอบแฝงต่อกันอยู่
โอฉิงซงนั้นต้องการใช้ประโยชน์จากเจียงหวางในเรื่องของหวังหยาน ส่วนเจียงหวานเองก็อย่างจะทำความรู้จักแบบสนิทชิดเชื้อกับโอฉิงซงที่เป็นลูกคนรวยเอาไว้
นี่จึงทำให้เขานั้นบอกเรื่องราวเกี่ยวกับหวังหยานให้กับโอฉิงซงได้รู้อย่างหมดเปลือก และเขายังเป็นแนะนำการจีบสาวให้กับโอฉิงสงเสียด้วยซ้ำไป
และเมื่อโอฉิงสงมาถึงที่นี่เองก็ทำให้เจียงหวางได้รับผลประโยชน์ได้อย่างไม่ต้องสืบ ด้วยการที่เขานั้นเป็นหัวเรือในการจัดงาน และย่อมรู้ดีว่าหวังหยานนั้นมาอย่างแน่นอน
เมื่อรู้เรื่องนี้ เขาก็ได้รีบบอกโอฉิงซงในทันที ถึงแม้ในตอนแรกนั้นโอฉิงซงนั้นจะไม่อยากมาเท่าไหร่ แต่เมื่อเขารู้มาว่าในงานนี้มีฮัวหยุนชูมาด้วยจึงคิดได้ว่าเจียงหวานน่าจะเกาะขาฮัวหยุนชูเพื่อทัดทานซูจิ้ง การที่เขาไปในครั้งนี้ก็สมควรจะไม่มีเรื่องอะไรลามมาถึงเขาจึงได้ตัดสินใจมา
แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุดคือเขานั้นยังไม่ตัดใจจากหวังหยานและคิดจะมาที่นี่เพื่อจะขอลองจีบเธอดูเป็นครั้งสุดท้าย

ไม่นานนัก คนถัดไปก็มาถึง นั่นก็คือหลินฮ่าว เสี่ยวรุย และฉือเล่ย ไล่ๆกันมา
หวังหยานเองก็ตามทั้งสามไม่ห่างกันมากนัก เธอมาด้วยท่าทางที่งามสง่าราวพร้อมรัศมีคนรวยอย่างเห็นได้ชัด
เธออยู่ในชุดเดรสสีน้ำเงินเข้ารูปนี่ทำให้เธอดูเป็นจุดดึงดูดให้กับงานครั้งนี้ได้อย่างดีเลยทีเดียว
ผลยาวของเธอปลิวไสวตามแรงลม ใบหน้าที่น่ารักจิ้มลิ้มที่เติมแต่งไปด้วยรอยยิ้มละไมเล็กน้อยทำให้เธอนั้นดูมีเสน่ห์ดึงดูดที่ไม่มีสิ้นสุดจริงๆ

ชายในงานทุกคนต่างก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปยังเธอจนทำให้ยากที่จะขยับไปไหนได้ในทันที
อย่างไรก็ตามเมื่อเธอได้เห็นโอฉิงซงนั้นก็ต้องถึงกับคิ้วขมวดจนรอยยิ้มหุบลงในทันใด โอฉิงซงเองที่เห็นเธอก็ได้รีบทักทายเธอด้วยรอยยิ้มละไมในทันที แต่เธอเองก็ทำเพียงพยักหน้ารับพร้อมใบหน้านิ่งเรียบและแววตาที่เย็นชา
อย่างไรก็ตาม โอฉิงซงนั้นหาได้ใส่ใจไม่ เพราะในครั้งนี้เขาเตรียมใจมาพร้อมที่จะสู้เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว
ถัดมา คนที่มาถึงคนถัดไปก็คือ เฉียนหยินหนิง การปรากฏตัวของเธอนั้นเรียกได้ว่าสะกดคนได้ไม่แพ้หวังหยานเลยแม้แต่น้อย

เธอมาในชุดกางเกงยีนส์ขาสั้นที่โชว์เรียวขายาวเข้ารูปของเธออย่างไม่อาจจะละสายตาได้ เธอมสาด้วยเสื้อทีเชริตสีขาวธรรมดา แต่นั่นก็เพียงพอที่จะโชว์ให้เห็นสัดส่วนและความเซ็กซี่ของทรวงอกได้อย่างดี นี่คือสิ่งที่เรียกได้ว่า เรียบง่ายแต่เย้ายวน และเมื่อรวมเข้ากับใบหน้าจิ้มลิ้มหน้ารักที่ดูงามกว่าหวังหยานแล้ว
เธอเองก็เป็นอีกคนหนึ่งที่คู่ควรกับคำว่าเสน่ห์ไร้สิ้นสุดจริงๆ
ในตอนนั้นเองเจียงหวางก็ได้มีสายตาที่เปล่งประกายและได้ก้าวขึ้นหน้ามาต้อนรับและพูดคุยในทันที ฉากนี้เองก็เป็นอีกหนึ่งที่ทำให้เหล่าเพื่อนเก่าทั้งลายคิดไปว่าเฉียนหยินหนิงนั้นถูกเจียงหวางเชิญมา และทั้งสองนั้นน่าจะคุ้นเคยกันดี
แต่ไม่ทันทีทุกคนจะได้คิดไปไกลสักเท่าไหร่ก็ต้องมีความรู้สึกประหลาดใจกันทั่วหน้า นั่นก็เพราะเฉียนหยิงหนิงนั้นดูไม่ได้แสดงท่าทีรู้จักมักคุ้นกับเจียงหวางเลยแม้แต่น้อย เธอได้เดินผละออกมาราวกับไม่อยากจะทำความรู้จักเลยสักนิด เธอมองไปทั่วงานจนกระทั่งสายตาไปจบอยู่ตรงหวังหยาน นี่เองจึงทำให้ทุกคนเข้าใจได้ในทันทีว่าเธอมาที่นี่ก็เพราะหวังหยานนั่นเอง

ไม่นานนักก็ได้มีรถรินคอนยาวพิเศษคันหนึ่งได้มาจอดที่โรงแรม เมื่อคนข้างในได้เปิดประตูออกมานั้นก็ได้มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินลงมาจากรถ คนๆนั้นก็คือฮัวหยุนชูนั่นเอง
เมื่อเจียงหวางได้เห็นจากชั้นสองแล้วนี่ทำให้เขานั้นรู้สึกกระหยิ่มย่องในใจในทันทีและเตรียมที่จะวิ่งลงมาต้อนรับแล้ว
แต่ในตอนนั้นเอง ประตูอีกบานหนึ่งก็ได้เปิดออกมาและมีชายหนุ่มอีกสองคนได้ก้าวออกมาจากรถ เมื่อเจียงหวาง หวังหยาน โอฉิงซง ติงบิน หลินฮ่าว และคนอื่นๆได้เห็นต่างก็จำได้ในทันทีว่าสองคนนี้เป็นใคร
ทุกคนที่เห็นแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเองเพราะว่าสองคนนี้คือฟูฮงซิ่วและหยวนหยินหนิงนั่นเอง นี่หมายความว่าสามในสี่ของเหล่าบุรุษที่ได้รับฉายาว่าคุณชายสี่ได้มางานนี้เรียบร้อยแล้ว
แค่ฮัวหยุนชูมางานนี้ได้ก็ถือว่าน่ามหัศจรรย์มากแล้ว ไม่คิดเลยว่าเขานั้นจะชวนคนอื่นอย่างฟูฮงซิ่วและหยวนหยินหนิงให้มางานนี้ด้วยได้ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่
ตอนนี้เหล่าเพื่อนร่วมรุ่นที้งหลายเริ่มรู้สึกประหม่ากันเล็กน้อยจนเริ่มเห็นได้แล้ว แค่ฮัวหยุนชูมาเองคนเดียวพวกเขายังทำตัวกันไม่ถูกเลยด้วยซ้ำ
นับประสาอะไรกับการมาของฟูฮงซิ่วและหยวนหยินหนิงกัน ตอนนี้หลายๆคนเริ่มคิดที่จะหาวิธีแนะนำตัวกับคนทั้งสามยังไงดี

บางคนเองก็คิดว่าคงเป็นเรื่องยากที่จะเข้าหาจึงเลือกที่จะหาโอกาสในภายหลังจะดีกว่า การมาของทั้งสามคนนี้เรียกได้ว่าทำให้เหล่าคนที่มางานเลี้ยงรุ่นในครั้งนี้ถึงกับไปไม่เป็นกันเลยทีเดียว
อย่าว่าแต่คนในงานเลี้ยงรุ่นเลย แม้แต่แขกของโรงแรมเองก็มีท่าทีประหม่าไม่ต่างกัน ไม่เพียงเท่านั้น ผู้จัดการของโรงแรมเองที่รู้ข่าวก็ได้รีบออกมาต้อนรับในทันทีด้วยเหงื่อที่เปียกโชกไปทั่วหน้าผาก
แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเขานั้นไม่ได้เตรียมตัวที่จะต้อนรับสามผู้ยิ่งใหญ่แห่งนครหลวงเหล่านี้เลยสักนิด และในตอนนั้นเอง เจียงหวางก็ได้วิ่งลงมาจากบันไดด้วยรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าเพื่อต้อนรับคนทั้งสาม