ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 96 การแสดงของนายน้อยอู่โหว

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

แม้ประตูเมืองแย้มออกกว่าครึ่ง แต่ยังคงไม่อนุญาตให้ใครเข้าออกได้ ดังนั้นผู้คนในโรงเตี๊ยมจึงรวมตัวกัน วิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่เห็นศพนอนเรียงรายหน้ากำแพงเมืองในวันนี้ เถ้าแก่และเสี่ยวเอ้อร์ยืนอยู่ที่โต๊ะ ฟังอยู่ด้วยความเบื่อหน่าย 

 

 

เมื่อเห็นพวกเขาเดินเข้ามา เสี่ยวเอ้อร์ขยันขันแข็งขึ้นมาทันตา วิ่งเข้ามาหาทุกคน ถามด้วยความกระตือรือร้นว่า “ทุกท่านมากินอาหารหรือมาพักขอรับ!” 

 

 

“ขอห้องพักชั้นดีเจ็ดห้อง” หวงฝู่อี้เซวียนตอบ แล้วลงจากหลังม้า 

 

 

เสี่ยวเอ้อร์ดีใจเสียจนแทบกระโดดขึ้นมา 

 

 

เถ้าแก่ได้ยินเสียงของเขาเช่นกัน เดินออกมาจากโต๊ะด้วยความยินดี ต้อนรับพวกเขาอย่างเป็นกันเอง 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเดินไปยังรถม้า เปิดม่านรถออก อ๋องฉีออกมาก่อน ตามด้วยหวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์พยุงพระชายาออกมา 

 

 

เถ้าแก่นำทางด้วยตนเอง พาพวกเขาไปยังชั้นสอง เปิดห้องออกทีละห้อง ให้พวกเขาดูว่าเป็นที่พึงพอใจหรือไม่ 

 

 

อาศัยอยู่ในที่คับแคบอับชื้นมาสามวัน ความหวังของทุกคนคือการได้อาบน้ำร้อนให้สบายตัว เปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดใส่ จึงไม่ได้ดูอย่างละเอียด อ๋องฉีพยักหน้า “ได้ เจ้าไปสั่งให้คนนำน้ำร้อนมาไว้ห้องละสองถัง พวกเราอยากอาบน้ำกันเสียหน่อย” จากนั้น กล่าวกับหวงฝู่อี้เซวียนว่า “เจ้าส่งคนไปซื้อเสื้อผ้ามาให้พวกเราเสียหน่อย” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนรับคำ อ๋องฉีและพระชายาเดินเข้าไปในห้องหนึ่ง หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ห้องหนึ่ง ท่าป๋าหั่นหลินและคนของเขาห้องหนึ่ง พวกเซี่ยเฟิงสามคนไม่ขยับ 

 

 

ชี้ไปทางสองห้องริมสุด หวงฝู่อี้เซวียนสั่งว่า “พวกเจ้าไปพักผ่อนเถิด เรื่องต่อจากนี้มิต้องสนใจแล้ว รักษาแผลให้ดีเป็นพอ” 

 

 

“ขอบพระคุณซื่อจื่อขอรับ!” ทั้งสามคนกล่าวขอบคุณ แล้วเดินเข้าไปในห้อง  

 

 

เถ้าแก่ลงบันไดไป สั่งให้เสี่ยวเอ้อร์ไปเตรียมน้ำร้อน ขึ้นไปส่งด้านบน 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้หยุดพัก เดินลงมา ถามเถ้าแก่ว่า “ร้านขายผ้าที่ดีที่สุดของเมืองนี้อยู่ที่ใดกัน” 

 

 

มองดูฟ้าด้านนอก เถ้าแก่ส่ายหน้า “เวลาเช่นนี้ เกรงว่าร้านขายผ้าคงได้ปิดกันหมดแล้วขอรับ” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเดินไปด้านนอก สั่งเถ้าแก่ที่ยืนอยู่ข้างรถม้าว่า “เจ้าไปซื้อเสื้อผ้ามาหลายๆ ชุด ไม่เล็กไม่ใหญ่ แบบใดก็ได้” 

 

 

เถ้าแก่ตอบรับ แล้วควบรถม้าออกไป 

 

 

เมื่ออาบน้ำเสร็จ เถ้าแก่ก็ซื้อเสื้อผ้ามาเรียบร้อยแล้ว ทุกคนเปลี่ยนเสื้อผ้า นอกจากหวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ที่ดูจะใหญ่ไปสักหน่อย สำหรับผู้อื่นล้วนใส่ได้พอดี 

 

 

เรียกเสี่ยวเอ้อร์มา ตบรางวัลให้หลายตำลึง ให้พวกเขายกน้ำในห้องลงไป  

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวพร้อมทั้งเมิ่งชิงมายังห้องของอ๋องฉี เพื่อถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น 

 

 

อ๋องฉีเล่าเรื่องร้ายที่ได้ประสบในคืนนั้นให้เขาฟังตามจริง 

 

 

เพื่อปิดความลับของตน ฮั่วเจี่ยกล้าเผาโรงเตี๊ยมได้ลงอย่างไร้ความเป็นคน ไม่เพียงแต่เผาคนบริสุทธิ์ ทั้งยังยังอยากให้คนในครอบครัวเขาถึงแก่ความตาย หวงฝู่อี้เซวียนฟังจบ กำหมัดกรอด สีหน้าเครียดเสียจนมีน้ำหยดลงมาได้ แววตามีความอาฆาต  

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกัดฟัน ความแค้นในใจกลั้นไว้ไม่อยู่ แผ่ซ่านออกมาด้านนอก 

 

 

เมิ่งชิงนับว่ายังใจเย็นอยู่ รู้สึกได้ถึงความโกรธของพวกเขา อดไม่ได้ที่จะไปจวนฮั่วเดี๋ยวนั้น จึงได้ปลอบใจว่า “พี่โยวเอ๋อร์ ท่านพี่เขย ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาโกรธเคือง เรื่องนี้ไม่นานก็จะรู้กันไปทั่ว หากพวกท่านลงมือกันเอง เกรงว่าจะทำให้เกิดการวิจารณ์ในภายหน้าได้ เรื่องนี้ส่งให้นายน้อยอู่โหวจัดการเถิด ให้ตระกูลฮั่วจบสิ้นภายใต้น้ำมือของเขาเอง ให้จวนฮั่วมลายหายไปจากเจียงหนานตลอดกาล” 

 

 

“นายน้อยอู่โหว? จวนอู่โหวน่ะหรือ” อ๋องฉีถาม 

 

 

เมิ่งชิงพยักหน้า “เขาออกมาช้ากว่าพวกเรา วันพรุ่งคงจะถึง พวกท่านนั่งรอดูเถิด ดูการแสดงของสองพ่อตา ลูกเขย หากนายน้อยอู่โหวจัดการได้ดี จวนอู่โหวก็ปลอดภัย แต่หากไม่ เช่นนั้น จวนอู่โหวก็ถึงคราจบสิ้นเช่นกัน” 

 

 

อ๋องฉีพยักหน้า ถอนหายใจออกมา ความกดดันหลายวันนี้ได้มลายหายไป “พวกเราตั้งตารอก่อน เพื่อลูกสาวแล้วฮั่วเจี่ยจะยอมสละจวนฮั่วได้หรือไม่” 

 

 

นายน้อยอู่โหวออกเดินทางด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ไม่ได้เดินทางติดต่อกันสามวันดังเช่นหวงฝู่อี้เซวียน แต่นั่งรถม้าเดินทางมาอย่างช้าๆ เดินทางไปพร้อมความเครียด หลังตนไปถึงเจียงหนานแล้วควรจะลงมือกับพ่อตาของตนหรือไม่ อย่างไรเสียหลายปีมานี้ท่านพ่อตาก็ได้ช่วยเหลือเขาไม่น้อย เรื่องเบี้ยหวัดไม่เคยขาดตกบกพร่อง เรื่องนี้เป็นเพราะเรื่องลูกสาว จึงได้ลงมือกับอ๋องฉีได้ ตนจัดการพวกเขา ก็จะเป็นคนอกตัญญู คิดถอนใจไป ยิ่งคิดยิ่งเดินทางช้าลง 

 

 

เดินทางมาหนึ่งวัน ยังมาได้ไม่ถึงร้อยลี้ ด้านหลังที่รถม้าแล่นเข้ามา มาหยุดที่ข้างกายเขา กระโดดลงมา คุกเข่าลงที่พื้น หยิบจดหมายออกจากเสื้อ มอบให้เขา “นายน้อยอู่โหว นี่เป็นจดหมายที่นายท่านอู่โหวมอบให้ท่านขอรับ” 

 

 

นายน้อยอู่โหวก้มลงไปรับ ค่อยๆเปิดออก อ่านอย่างไร้เรี่ยวแรง ด้านบนเขียนว่า “หากเจ้าไปเจียงหนานภายในสามวันไม่ได้ ก็รอดูจวนอู่โหวล่มสลายได้เลย” 

 

 

นายน้อยอู่โหวยืดตัวตรง เบิกตาโพลง มือที่ถือจดหมายเริ่มสั่น “นี่ นี่ นี่…” 

 

 

“นายท่านบอกแล้ว หากท่านหวังจะมาเก็บศพเขา ก็เดินทางให้ช้าลงเสียหน่อยขอรับ” 

 

 

นายน้อยมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา ครู่ใหญ่ จึงได้หันมองจดหมายอีกครั้ง จากนั้นเข้าใจได้ว่าเพราอะไร ยกแซ่หวดม้า ฟาดลงไปบนม้า เมื่อมันเจ็บจึงได้ร้องออกมา แล่นตรงออกไปด้านหน้า คนด้านหลังตามติดมา 

 

 

คนส่งจดหมายยืนขึ้น มองดูที่ไกลมีฝุ่นตลบขึ้น ถอนหายใจ หันหลังขึ้นม้า กลับไปรายงาน 

 

 

นายน้อยอู่โหวตัดสินใจแล้ว ไม่ลังเลอีก สามวันจากนั้นมาถึงเจียงหนาน ช้ากว่าหวงฝู่อี้เซวียนเพียงหนึ่งวันหนึ่งคืน 

 

 

เมื่อเข้าเมืองมาแล้ว ก็ตรงไปยังจวนที่ว่าการเจ้าเมือง 

 

 

เมื่อพบกับจูจือหมิงที่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ไม่มีชีวิตชีวา จึงไม่อ้อมค้อม ถามตรงๆ ว่า “เรื่องเป็นอย่างไรกันแน่ เจ้าบอกข้ามาตามตรงเดี๋ยวนี้” 

 

 

เมื่อรู้ว่าเป็นนายน้อยอู่โหวจากจวนอู่โหว ลูกเขยของฮั่วเจี่ย จูจือหมิงจึงไม่ปิดบัง เล่าเรื่องแผนชั่วของฮั่วเจี่ยและการเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ของตนให้เขาฟังทั้งหมด  

 

 

เมื่อนายน้อยอู่โหวฟังจบ สูดหายใจเข้าลึก ตกใจเสียแทบสะดุ้ง ฮั่วเจี่ยเขา… เขากล้าวางแผนลอบทำร้ายท่านอ๋องฉีเชียวหรือ นี่ นี่โทษมันถึงประหารเจ็ดชั่วโคตรเชียวนะ 

 

 

จูจือหมิงพูดจบ ก็ไม่พูดอะไรต่อ 

 

 

นายน้อยอู่โหวยืนขึ้น ออกมาจากที่ว่าการเจ้าเมืองอย่างไร้สติ ขึ้นม้าอย่างล่องลอย ตรงไปยังจวนฮั่ว เห็นแต่ไกลว่าจวนฮั่วมีคนล้อมเอาไว้ จึงได้หยุดม้าไม่เดินหน้าต่อ มองดูพลธนูหน้าจวนอู่โหว หน้ามืดเป็นระยะ ราวกับว่าเห็นป้ายประกาศสั่งประหารอย่างนั้น อีกทั้งยังเป็นตนออกคำสั่งเองด้วย 

 

 

โจวอันเห็นเขามาแต่ไกล เตรียมทำความเคารพเขา คิดไม่ถึงว่าเขาหยุดลงที่เดิม โจวอันจึงไม่ขยับ รอให้เขาเข้ามาใกล้ 

 

 

ความคิดมากมายถาโถมเข้ามาในหัว สุดท้าย ต้องเป็นคนในจวนฮั่วถูกตัดหัว เลือดนองเต็มพื้น จึงได้ถอนหายใจยาวเหยียด ครั้งแล้วครั้งเล่า จึงได้ตั้งสติเดินเข้าไป 

 

 

โจวอันทำความเคารพ “คารวะนายน้อยอู่โหวขอรับ” 

 

 

เขามักอยู่ข้างกายของหวงฝู่อี้เซวียน นายน้อยอู่โหวรู้จักเขา จึงไม่ได้กล่าวอะไรมาก บอกตามตรงว่า “ข้าอยากเข้าไปด้านใน” 

 

 

โจวอันโบกมือ ให้องครักษ์ลับเปิดทางให้ 

 

 

“นายน้อยอู่โหว เชิญขอรับ” 

 

 

นายน้อยอู่โหวควบม้าเดินไปด้านหน้า ถอนหายใจอีกครั้ง ถามเสียงดังว่า “ข้าคือนายน้อยอู่โหวจากจวนอู่โหวแห่งเมืองหลวง ตั้งใจมาจากเมืองหลวงเพื่อเยี่ยมท่านพ่อตา รบกวนไปรายงานด้วย” 

 

 

หลายปีมานี้ นายน้อยอู่โหวไม่เคยมาที่เจียงหนานเลย คนในจวนไม่รู้จักเขา แต่เมื่อฟังคำเขา คนเฝ้าประตูจึงได้รีบเข้าไปรายงานทันที 

 

 

เมื่อฮั่วเจี่ยได้ยินดังนั้น จึงยืนขึ้น ใบหน้ายินดียินร้าย “เช่นนั้นหรือ” 

 

 

เรื่องยินดีคือ นายน้อยอู่โหวมาแล้ว ยินร้ายคือไม่รู้ว่าเขามาด้วยเหตุใด มารับอวี้เอ๋อร์ที่หายตัวไป หรือว่ามาจับตน 

 

 

ภายใต้จิตใจที่สับสนนี้ ฮั่วเจี่ยสั่งว่า “เชิญเขาเข้ามา” 

 

 

บ่าวรับใช้วิ่งออกไปอีกครั้ง ไม่นานก็เชิญนายน้อยอู่โหวเข้ามาอย่างนอบน้อม  

 

 

เดินเข้ามาในเรือนหลักเห็นฮั่วเจี่ยเต็มไปด้วยความรอคอย ยืนรออยู่ด้านหน้าด้วยสีหน้ายินดี เดินเข้าไปเล็กน้อย ถกชายเสื้อขึ้น คุกเข่าลง คารวะ “ลูกเขยขอคารวะท่านพ่อตาขอรับ หลายปีมานี้ไม่ได้มาเยี่ยมเยียนท่าน ขอท่านโปรดอภัยด้วย” 

 

 

ฮั่วเจี่ยตกใจไม่น้อย หากว่าตามฐานันดรแล้ว นายน้อยอู่โหวสูงศักดิ์กว่าตนนัก หากว่าตามอายุแล้วก็ไม่ถึงกับต้องก้มคาวระเขาเช่นนี้ จึงได้โน้มตัวลง พยุงนายน้อยอู่โหวขึ้นมา “ลูกเขยเกรงใจเกินไปแล้ว ข้ารับการคารวะจากเจ้าไม่ได้หรอก” 

 

 

“ท่านพ่อตายกลูกสาวคนเดียวให้ข้า ทั้งยังส่งเบี้ยหวัดให้ข้าทุกปี ทำให้จวนอู่โหวของเราไม่ลำบากเรื่องกินอยู่ ลูกเขยจำใส่ใจเสมอ การคารวะนี้สมควรมอบให้ท่านขอรับ” 

 

 

นายน้อยไม่ขยับ พูดออกมาตามตรง 

 

 

คำพูดนี้ทำให้ฮั่วเจี่ยได้ยินแล้วอุ่นใจนัก ความสงสัยเมื่อครู่ได้หายไป หัวร่อเสียงดัง ออกแรง พยุงเขาขึ้นมา “ลูกเขย รีบลุกขึ้นเร็วเข้า” 

 

 

นายน้อยอู่โหวยืนขึ้น  

 

 

“แม่ยายของเจ้าไม่แข็งแรง นอนพักอยู่ด้านใน มิได้ออกมารับเจ้า เจ้าอย่าได้ถือสา” ฮั่วเจี่ยพูดลองเชิง เพื่อสังเกตสีหน้าของเขา 

 

 

นายน้อยอู่โหวได้ยินดังนั้น ใบหน้าปรากฏสีหน้าร้อนใจออกมา ถามยกใหญ่ว่า “ท่านแม่ยายเป็นอะไรหรือขอรับ ตามหมอมาแล้วหรือยัง ข้าขอเข้าไปดูได้หรือไม่” 

 

 

ท่าทางของเขาทำให้ฮั่วเจี่ยเป็นสุข ฮั่วเจี่ยหัวร่อเสียงดัง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสุข “มิได้เป็นอะไรมาก ลูกเขยตามพ่อมาเถิด” 

 

 

“ขอบคุณขอรับท่านพ่อตา” 

 

 

เดินตามฮั่วเจี่ยเข้าไปในห้อง มาข้างเตียงของฮูหยินฮั่ว เห็นฮูหยินฮั่วนอนเอนอยู่บนเตียง สีหน้าอ่อนเพลียจึงได้รีบคุกเข่าลง “ลูกเขยคารวะท่านแม่ยายขอรับ” 

 

 

ฮูหยินฮั่วตกใจ รีบลงจากเตียงมาเพื่อพยุงเขา “ลูกเขย เจ้าทำเกินไปแล้ว ข้ารับไว้มิได้หรอก” 

 

 

“ท่านแม่ยายไม่สบาย อย่าขยับเลยขอรับ” 

 

 

นายน้อยอู่โหวนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น เดินเข้ามาเล็กน้อย ห้ามฮูหยินฮั่วเอาไว้ 

 

 

แม้จะเป็นแม่ยาย แต่การคารวะของนายน้อยอู่โหวนับว่ายิ่งใหญ่เกินไป ใจของฮูหยินฮั่วเริ่มเต้นเร็ว ทั้งหน้าผากยังกระตุกไม่หยุด มองฮั่วเจี่ยด้วยความสงสัย ถามเขาด้วยสายตาว่านี่เกิดอะไรขึ้น 

 

 

ฮั่วเจี่ยยิ้มพร้อมส่ายหน้า บ่งบอกว่าไม่มีอะไร โน้มตัวลงพยุงนายน้อยอู่โหวขึ้นมาอีกครั้ง ยิ้มพร้อมพูดว่า “แม่ยายเจ้าป่วยมาหลายวันแล้ว อย่าให้โรคติดเจ้าเลย พวกเราไปคุยกันที่ห้องรับรองดีกว่า”