ส่วนที่ 4 ภาคความปรารถนาจากบูรพา ตอนที่ 156 ใบไม้ใบหนึ่ง โลกใบหนึ่ง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

การต่อสู้นี้อยู่ในโลกมนุษย์ แต่ก็ไม่อยู่ในโลกมนุษย์ บางทีอาจเป็นเพราะการประมือของทั้งสองฝ่ายนั้นเหนือกว่าความเข้าใจของมนุษย์

ริมลำธารข้างวัดเก่าเมืองซีหนิง นักบวชเดินเข้าหาจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ นิ้วมือทิ่มเข้าใส่หว่างคิ้วนาง

ขณะนิ้วเขาเคลื่อนไปข้างหน้า แสงดาวที่ส่องลงมาจากท้องฟ้าก็พลันหม่นมัวลงและเริ่มเปลี่ยนแปลงจนดูราวกับว่าท้องฟ้าพร่างดาวเป็นของปลอม

พลังจิตจากดินแดนอันห่างไกลและดวงจิตที่อยู่ห่างไปหมื่นลี้ได้ปะทะกันโดยตรง แผ่คลื่นพลังที่มองไม่เห็นทว่าแข็งแกร่งเหนือจินตนาการออกมา

กิ่งไม้ในสายลมพลันกระจายตัวออก ไกลออกไปบนยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยหมอกหนา มีเสียงมากมายนับไม่ถ้วนดังออกมา

เป็นเสียงคำรามต่ำด้วยความหวาดกลัวของสัตว์อสูร เป็นเสียงล่าถอยอย่างบ้าคลั่ง ระคนกับเสียงร้องอันน่าอนาถ

ฟองขนาดเล็กจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นในลำธาร พลุ่งพล่านไปทั่วราวกับว่ากำลังเดือดพล่าน

……

……

ห่าฝนยังคงซัดกระหน่ำเมืองลั่วหยาง แต่ฝนรอบอารามได้หยุดลงแล้ว น้ำที่รวมกันอยู่บนถนนกระเพื่อมราวกับน้ำเดือดแต่แล้วก็พลันแน่นิ่ง มีชั้นน้ำแข็งบางๆ อยู่บนพื้นผิว

แรงสะเทือนหลังแผ่นดินไหวค่อยๆ เบาลง ทว่าพื้นดินโดยรอบก็ยังคงถล่มอย่างต่อเนื่อง

นี่คือความแข็งแกร่งของวิชาเต๋า

เส้นที่มองไม่เห็นหลายสิบเส้นเป็นตัวแทนกฎเกณฑ์ของโลกอันตัดขาดทุกสรรพสิ่งในความมืด ปราณที่เย็นเยียบปกคลุมไปทั่วท้องถนน

หยกสมประสงค์แตกสลายหายไปในความมืดมิด ทว่าไม่ได้หายไปอย่างสิ้นเชิง กลายจากร่างเดิมเปลี่ยนเป็นการโจมตีของวิชาเต๋าอันบริสุทธิ์

นักพรตจี้ยืนตรงหน้าอาราม สีหน้าเรียบเฉย ดวงดาวอ่อนจางนับไม่ถ้วนเป็นตัวแทนวิชาเต๋า ส่องประกายอยู่รอบกาย

……

……

เสียงระเบิดพลันดังขึ้นท่ามกลางท้องฟ้าราตรีเหนือสุสานเทียนซู

ทุ่งดอกบัวอันเป็นเฉกเช่นทะเลใต้ถนนเสินลอยเป็นฟองฟอด ดอกบัวที่ชูช่อส่ายไหวอย่างต่อเนื่อง ราวกับจะหลุดร่วงลงมาแต่ก็ฝืนทนเอาไว้

สายฟ้าฟาดลงบนผิวน้ำ ส่องสว่างสิ่งต่างๆ พร้อมฉายไปบนใบหน้าชราของฮั่นชิง

เสียงครืนครั่นนี้มิใช่เสียงฟ้าร้อง แต่เป็นเสียงการปะทะกันของพลังปราณอันแข็งแกร่งเกินต้านทานทั้งสอง

เมฆหนาบนท้องฟ้าราตรีฉีกขาดด้วยสายลมแรง ถูกพัดกระจายเป็นปุยจำนวนนับไม่ถ้วน รอยแตกร้าวของมิติได้ปรากฏขึ้นจำนวนมาก

สายฟ้าก่อตัวขึ้นกลางสายหมอก ไม่ทันฟาดลงมาก็สลายหายไปก่อน

ไม่มีเมฆก็ย่อมไม่มีสายฟ้าหรือฟ้าร้องเป็นธรรมดา ไม่มีฝนสักเม็ดตกลงมาอีก

การปะทะอันน่ากลัวได้ขับทุกสิ่งบนท้องฟ้าราตรีออกไป ทิ้งไว้แต่ท้องฟ้ากระจ่างใสและดวงดาวมากมายที่อยู่ไกลออกไป

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่กับสังฆราชปรากฏขึ้นที่สองฝั่งของท้องฟ้าราตรี หางกันหลายสิบลี้

แสงดาวตกลงบนร่างเขาและจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ อาบย้อมร่างกายทั้งสองด้วยแสงเงิน เสริมส่งให้พวกเขาดูประดุจเทพเจ้า

แม้แต่โลกนี้ก็ดูเหมือนจะไม่อาจทนรับพลังของทั้งสองได้

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง คลื่นที่เกิดจากการปะทะของพลังก็มาถึงพื้นดินในที่สุด

น้ำที่ได้กระจายไปทั่วสุสานเทียนซูดูประหนึ่งจะเดือดพล่าน ดอกบัวบางดอกก็พลันหลุดร่วงและใบบัวเขียวก็มีรูมากมาย

ณ ริมแม่น้ำที่เอ่อล้นออกมา บ้านเรือนเริ่มพังทลาย ไม่มีฝุ่นควันพวยพุ่ง มีแต่เสียงแตกหัก

ในระยะเวลาสั้นๆ ตอนใต้ของจิงตูก็มีบ้านเรือนหลายพันหลังพังทลาย ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนต้องตาย

สังฆราชมองดูสภาพอันน่าอนาถของจิงตู ฟังเสียงอ่อนแรงร้องขอความช่วยเหลือ หลังจากเงียบงันไปครู่หนึ่ง เขาก็มองไกลออกไป

ผู้คนมากมายล้วนกำลังตายในเมืองลั่วหยางเช่นกัน แล้วเมืองซีหนิงเล่า

เส้นสีขาวทอดออกจากท้องฟ้าราตรีลงสู่พื้นดิน และสังฆราชก็กลับไปยังถนนเมืองจิงตู ปรากฏกายอยู่ท่ามกลางถนนที่พังทลาย

เมื่อเขาปรากฏกาย คลื่นพลังก็ค่อยๆ สงบ การพังทลายหยุดลง

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ก็กลับไปสู่ยอดเขา ร่างกายและเงารวมเป็นหนึ่ง

สังฆราชมองไปทางสุสานเทียนซู ยกมือขึ้นสู่ท้องฟ้าราตรี ใบไม้ครามก็ปรากฏเบื้องหน้านิ้วเขา ส่ายไหวอยู่ในสายลม

กระถางที่ใส่ใบไม้ครามมีใบไม้แค่เพียงสี่ใบเท่านั้น

สังฆราชเด็ดออกมาใบหนึ่ง

การกระทำนี้เรียบง่ายอย่างมาก พูดตามเหตุผลก็ควรเป็นเรื่องง่ายดายอย่างยิ่ง ทว่าสีหน้าเขากลับเคร่งเครียดมาก ทะเลดวงดาวกว้างใหญ่ในดวงตาพลันเฉื่อยชาลงในทันที

เมื่อใบไม้ครามถูกเด็ดออกมา เสียงน่าหวาดหวั่นก็ดังขึ้นในโสตประสาทของทุกคน

เป็นเสียงเทือกเขาสั่นสะเทือน แม่น้ำไหลย้อนกลับ สวรรค์พังครืน

สังฆราชส่งใบไม้ครามไปทางสุสานเทียนซู

ใบไม้ครามเบามาก ลอยไปทางสุสานเทียนซูอย่างสบายๆ ดูเหมือนไม่มีกำลังแต่อย่างใด

แต่นี่เป็นครั้งแรกที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่มีสีหน้าเคร่งเครียด จากนั้นนางก็ยกมือขวาขึ้น ชี้ไปยังที่บางแห่งในสุสานเทียนซู

ใบไม้ครามสั่นไหวในสายลม ลอยไปในความมืด เคลื่อนไปข้างหน้าช้าๆ

สายลมค่อยๆ สลาย ความมืดแตกกระจาย ช่องว่างที่ใบไม้ครามเคลื่อนผ่านเกิดรอยแยกขึ้นราวกับว่าไม่อาจรับน้ำหนักของมันได้ รอยแตกนั้นไม่หายไปเป็นเวลานาน

ใบไม้ครามมาถึงสุสานเทียนซู

น้ำในแม่น้ำกระเพื่อมอย่างรุนแรงกว่าเดิม ใบบัวเขียวงอกขึ้นสู่ท้องฟ้าราตรี ราวกับจะสลัดให้หลุดจากโซ่ตรวนแห่งปฐพี ดอกบัวลอยสูงขึ้นอีกหลายฉื่อ

ใบไม้ครามมายังถนนเสิน

บันไดหินที่แข็งแกร่งเต็มไปด้วยรอยร้าว ใบไม้และก้อนกรวดสองฝั่งถนนเสินสั่นไหวอย่างบ้าคลั่งมุ่งไปทางใบไม้คราม แล้วหายไปเนื่องจากถูกวังวนดูดเข้าไป

แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ทั้งหมดในสุสานต่างก็มีปฏิกิริยากับใบไม้ครามที่เคลื่อนเข้ามา ปราณอันเก่าแก่ยิ่งใหญ่นับไม่ถ้วนแผ่ออกมาจากป่าทึบและลอยไปทางใบไม้คราม

แม้แต่แสงดาวที่ลอยลงมาจากท้องฟ้าราตรีก็บิดงอจนมองเห็นได้ เปลี่ยนเป็นลำแสงจำนวนนับไม่ถ้วนที่พุ่งไปทางใบไม้คราม!

นี่เป็นวิชาเต๋าอันใดกัน ถึงได้ทรงพลังถึงเพียงนี้! มีปฏิกิริยาต่อแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ มีอำนาจบิดเบือนแสงดาว!

……

……

เฉินฉางเซิงรู้ว่านี่ไม่ใช่วิชาเต๋า

เขามองไปทางใบไม้ครามที่ลอยมาช้าๆ สัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งไร้ขอบเขตและแรงกดดันที่เหนือจินตนาการ ในที่สุดก็เข้าใจว่าเหตุใดอาจารย์อาสังฆราชถึงได้ทุ่มเทอย่างมากในการดูแลใบไม้คราม ทำไมถึงได้รดน้ำอย่างต่อเนื่อง ต้องการให้มันเติบโตขึ้น เขียวชอุ่มยิ่งขึ้น

ใบไม้ครามเป็นโลกใบเล็ก ภายในมีฟ้าดินอีกแห่งหนึ่ง มีทั้งตำหนัก ศาลา สายลมแสงแดด

ลั่วลั่วก็เคยอาศัยอยู่ในนั้น เขาเองก็เคยเข้าไปครั้งหนึ่ง

เป็นมิติอันเป็นจริง เป็นโลกแท้จริงใบหนึ่ง โลกอาจแบ่งได้เป็นใหญ่เล็ก แต่สำหรับมนุษย์ โลกล้วนหนักไร้ขอบเขต

ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นใบไม้ที่ร่วงหล่นหรือแสงดาว ก็ล้วนถูกดึงเข้าไปจากนั้นก็ถูกบดจนกลายเป็นฝุ่นผงขนาดเล็ก

สังฆราชใช้ใบไม้ครามเป็นกระบี่ ใช้โลกใบหนึ่งเข้าต่อสู้

ภายใต้แสงดาวและมิติที่บิดเบี้ยว ใบไม้ครามดูเหมือนจะเล็กจ้อยแต่ก็ดูยิ่งใหญ่อย่างมากเช่นกัน

เฉินฉางเซิงมองเห็นแม่น้ำ ภูเขาและเมืองทั้งเมืองในใบไม้คราม!

จะรับมือการโจมตีเช่นนี้ได้อย่างไร

ใบไม้ครามลอยช้าๆ มันควรจะมีน้ำหนักเบา แต่กลับส่งความรู้สึกว่าหนักอึ้งผิดปกติ

เพราะว่ามันเป็นโลกใบหนึ่ง

สีหน้าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่เคร่งเครียดกว่าเดิม

มือขวาที่นางยื่นออกไปยังที่แห่งหนึ่งในสุสานเทียนซูพลันลดลงเล็กน้อยราวกับว่ากำลังถือบางอย่างที่หนักมาก