ตอนที่ 1982 ยังไม่พบเลย…

อัจฉริยะสมองเพชร

อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆

ตอนที่ 1982 ยังไม่พบเลย…

เหตุผลที่สำนักดาบเมฆเหินสร้างหอนิรันดร์ของตัวเองขึ้นก็เพราะผลประโยชน์ที่จะได้รับ พวกเขาปรารถนาจะสร้างโลกเสมือนจริงที่บรรดาศิษย์สายตรงสามารถมีปฏิสัมพันธ์กันและต่อสู้กันได้โดยไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงตัวตนและสถานภาพเดิมของตัวเอง

ด้วยเหตุนี้ แม้แต่ท่านเจ้าสำนักจึงยังไม่กล้าก้าวล่วงข้อมูลเหล่านั้นโดยปราศจากเหตุผล เพราะไม่อย่างนั้น ความเป็นหอนิรันดร์จะเปลี่ยนไปทันทีหากบรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายในรู้ว่าตัวตนเสมือนจริงของพวกเขากำลังถูกคุกคาม และนั่นจะเป็นการบ่อนทำลายทุกอย่างที่หอนิรันดร์สั่งสมมา

“ผมไม่ได้อยากรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาหรืออยากรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน” ผู้อาวุโสมู่ส่ายหน้า “ที่ผมอยากรู้ก็คือพละกำลังที่แท้จริงของหมอนั่น!”

“พละกำลังที่แท้จริงของหมอนั่น?”

เพราะการเปิดใช้งานตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลจะต้องมีการหยดเลือดหยดหนึ่งลงไป จึงมีความเป็นไปได้ที่ระบบจะสามารถตรวจสอบพละกำลังของนักรบผู้นั้นได้อย่างแม่นยำ

ผู้อาวุโสคนหนึ่งพลันเข้าใจวัตถุประสงค์ของผู้อาวุโสมู่ทันที “คุณพยายามจะตรวจสอบว่าเขาเป็นศิษย์สายตรงฝ่ายในจริงๆหรือเปล่าใช่ไหม?”

“ใช่ เท่าที่เห็นศิลปะเพลงดาบของผมน่ะถ่อมตัว ผมสงสัยเหลือเกินว่านี่เป็นฝีมือของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดหรือเปล่า ซึ่งถ้าวรยุทธของเขายังไม่ถึงขั้นเสมือนอมตะ ก็หมายความว่าเขาคือศิษย์สายตรงฝ่ายในจริงๆ ถ้าเป็นอย่างนั้น พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก” ผู้อาวุโสมู่พูด

ฝูงชนพยักหน้ารับ

ถ้าผมน่ะถ่อมตัวเป็นศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด พวกเขาในฐานะผู้อาวุโสก็มีสิทธิ์เข้าไปขัดขวาง เพราะไม่อย่างนั้น จะเกิดเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ต่อบรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายใน

แต่ในทางกลับกัน ถ้าผมน่ะถ่อมตัวเป็นศิษย์สายตรงฝ่ายใน อย่างมากที่สุดก็เป็นแค่การที่ศิษย์สายตรงฝ่ายในพ่ายแพ้ให้กับศิษย์สายตรงฝ่ายในด้วยกันเท่านั้น ถือเป็นกิจการภายใน ไม่ใช่เรื่องที่น่าอับอายอะไรมากมาย

อันที่จริง ถือเป็นเรื่องดีเสียด้วยซ้ำ

พละกำลังอันน่าทึ่งที่ผมน่ะถ่อมตัวสำแดงออกมาจะกลายเป็นตัวอย่างอันสมบูรณ์แบบของการที่ศิษย์สายตรงฝ่ายใดคนหนึ่งสามารถเข้าถึงได้ และบางที อาจเป็นแรงบันดาลใจให้คนที่เหลือหมั่นเพียรฝึกฝนวรยุทธให้หนักกว่าเดิมหลังจากเห็นแล้วว่ามีแต่ท้องฟ้าเท่านั้นที่สามารถสกัดกั้นพวกเขา

ไม่ช้าอสูรบินได้ก็มาถึงศาลาเพลงดาบ

ผู้อาวุโสมู่นำตราสัญลักษณ์ที่แสดงตัวตนของเขาออกมาและพูดว่า “ผมอยากตรวจสอบพละกำลังของนักรบที่ใช้สมญานามว่า ‘ผมน่ะถ่อมตัว’!”

วิ้งงงง!

เกิดแสงสว่างวาบขึ้นบนกำแพง ตัวอักษรแถวหนึ่งปรากฏ – ผู้ทำลายล้างมิติโลกจารึก

“เขาเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติโลกจารึก?”

“ถ้าอย่างนั้น…เขาก็เป็นศิษย์สายตรงฝ่ายในคนหนึ่งจริงๆ”

“เงื่อนไขต่ำสุดของการจะได้เป็นศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดคือจะต้องสำเร็จวรยุทธขั้นเสมือนอมตะ เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่บรรลุเงื่อนไขนั้น”

“ว่าแต่ผู้ที่เก่งกาจไร้เทียมทานขนาดนี้ปรากฏตัวขึ้นในหมู่ศิษย์สายตรงฝ่ายในตั้งแต่เมื่อไหร่?”

ผู้อาวุโสทั้งสิบพากันจังงังกับผลลัพธ์ที่ปรากฏตรงหน้า

หลังจากได้เห็นฝีไม้ลายมือของผมน่ะถ่อมตัว ทุกคนคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นอัจฉริยะชั้นยอดในหมู่ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด แต่ผลลัพธ์ที่ปรากฏในศาลาเพลงดาบก็บอกชัดเจนแล้วว่าเขาเป็นศิษย์สายตรงฝ่ายในคนหนึ่งจริงๆ!

แต่…ในฐานะผู้อาวุโส พวกเขาไม่รู้ได้อย่างไรว่ามีศิษย์สายตรงฝ่ายในที่เก่งกาจขนาดนี้?

…..

ที่บ้านพักของผู้อาวุโสไป๋ เมื่อเห็นไป๋เหรินชิง ไป๋เฟิงรีบเข้ามาถามไถ่ “เป็นอย่างไรบ้าง? คุณพบพ่อค้าขายยาคนนั้นไหม?”

เขาต้องดูแลนายท่าน ดังนั้น หลังจากที่พาสาวน้อยไปที่ตลาดของศิษย์สายตรงฝ่ายในแล้ว ก็รีบกลับมาที่บ้านพักทันที

“ยังไม่พบเลย…” ไป๋เหรินชิงส่ายหน้า

เห็นสภาพผิดปกติของไป๋เหรินชิง ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง เธอดูจะหม่นหมองไปเล็กน้อย ไป๋เฟิงถามไถ่ด้วยความกังวล “เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?”

“เอ่อ…ใช่ เมื่อครู่นี้น่ะ มีใครคนหนึ่งเอ่ยปากท้าทายศิษย์สายตรงฝ่ายในทั้งหมด เมื่อฉันรู้เรื่อง ก็เข้าสู่หอนิรันดร์ของศิษย์สายตรงฝ่ายในและท้าหมอนั่นดวลทันที…” ไป๋เหรินชิงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น

“คุณพ่ายแพ้ภายในกระบวนท่าเดียว ขนาดสำแดงศิลปะเพลงดาบดงหิมะที่ผมถ่ายทอดให้คุณนี่นะ?” ไป๋เฟิงตาโตด้วยความตกตะลึง

“ใช่” ไป๋เหรินชิงตอบอย่างกระอักกระอ่วน “ฉันอธิบายไม่ถูก แต่ศิลปะเพลงดาบของเขาทำให้ฉันรู้สึกราวกับว่าศิลปะเพลงดาบดงหิมะไร้ประโยชน์ไปเลย”

“จะเป็นแบบนั้นได้อย่างไร?” ไป๋เฟิงขมวดคิ้ว “ถึงศิลปะเพลงดาบดงหิมะจะไม่ใช่ศิลปะเพลงดาบที่ทรงพลังที่สุดในสำนักดาบเมฆเหิน แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ศิษย์สายตรงฝ่ายในคนหนึ่งจะต้านทานได้…”

ไป๋เฟิงครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “คุณมีตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลสักอันไหม? ผมอยากไปเห็นกับตา!”

“ฉันไม่มีเลยสักอัน…” ไป๋เหรินชิงส่ายหน้า “ท่านปู่เฟิง คุณอยากไปที่นั่นหรือ?”

“ศิลปะเพลงดาบดงหิมะทั้งล้ำลึกและทรงพลัง ผมไม่อยากเชื่อว่าจะมีใครเอาชนะมันได้ง่ายดายขนาดนั้น” ไป๋เฟิงตอบ “ผมคิดว่าเขาน่าจะใช้ลูกไม้บางอย่าง ผมอยากท้าเขาดวลให้เห็นกับตา!”

ถึงไป๋เหรินชิงจะขยันหมั่นเพียรฝึกฝนวรยุทธแค่ไหน ก็ยังมีขีดจำกัดเรื่องอายุ แม้จะประสบความสำเร็จในภาพรวมของศิลปะเพลงดาบแล้ว แต่เรื่องจริงก็คือเธอเข้าถึงแก่นสารที่แท้จริงของมันได้แค่ผิวเผินเท่านั้น

ไป๋เฟิงรู้สึกว่าถ้าเขาสำแดงศิลปะเพลงดาบนั้นด้วยตัวเอง ก็น่าจะเอาชนะผู้ที่ไป๋เหรินชิงพูดถึงได้ ด้วยสิ่งนี้ เขาจะสามารถเรียกความเชื่อมั่นในศิลปะเพลงดาบของไป๋เหรินชิงกลับคืนมา

“ท่านปู่เฟิง…เขาเป็นแค่ศิษย์สายตรงฝ่ายในคนหนึ่งเท่านั้น ถึงคุณไม่ใช่ผู้อาวุโส แต่พละกำลังของคุณก็เหนือชั้นกว่าผู้อาวุโสส่วนใหญ่เสียอีก ฉันคิดว่าคงไม่เหมาะสมนักถ้าคุณจะดวลกับเขา” ไป๋เหรินชิงพูดอย่างลำบากใจ

การที่เธอเข้าไปยุ่มย่ามที่หอนิรันดร์ของศิษย์สายตรงฝ่ายในก็ดูไม่เหมาะสมอยู่แล้ว หากไป๋เฟิงเข้าไปอีกคน ไม่ว่าเขาจะแพ้หรือชนะ ก็มีแต่จะเสียชื่อ

“ผมแค่อยากเข้าไปดูศิลปะเพลงดาบของหมอนั่นเท่านั้น อาจไม่ต้องลงไม้ลงมือก็ได้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์” ไป๋เฟิงตอบยิ้มๆ “อีกอย่าง ผมเป็นแค่คนรับใช้เก่าแก่ ไม่มีอะไรที่เรียกว่าไม่เหมาะสมหรอก”

ถึงไป๋เฟิงจะทรงพลัง แต่เขาก็เป็นแค่คนรับใช้ของผู้อาวุโสไป๋เย่ ตัวเขาไม่ได้ถูกบังคับจากระเบียบกฎเกณฑ์ของสำนักดาบเมฆเหินเหมือนศิษย์สายตรงคนอื่นๆ

เห็นไป๋เฟิงตัดสินใจแล้ว ไป๋เหรินชิงรู้ดีว่าคงเปลี่ยนใจอีกฝ่ายได้ยาก จึงพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปเตรียมการให้”

จากนั้น ตัวเธอกับไป๋เฟิงก็กลับไปที่บ้านพักของหลิวลู่จี่

เมื่อหลิวลู่จี่เห็นไดโนเสาร์ตัวเมียกลับมาอีกครั้งหลังจากที่เขาเพิ่งต้อนรับผู้อาวุโสมู่กับเหล่าผู้อาวุโสไปหยกๆ ก็หายใจหายคอไม่ออกขึ้นมาทันที เนิ่นนานมาแล้วที่เขาไม่เคยรู้สึกอยากร้องไห้

มันเรื่องอะไรพวกคุณถึงตบเท้าเข้าออกบ้านพักของผมอย่างสะดวกสบายแบบนี้?

ผมเป็นศิษย์สายตรงฝ่ายในนะ ไม่ใช่เจ้าของโรงเตี๊ยม!

แต่ก็แน่นอนว่าไม่มีทางที่หลิวลู่จี่จะกล้าเอ่ยคำว่า ‘ไม่’ กับคำขอของไป๋เหรินชิง เขาทำได้แค่ส่งคนไปจัดหาตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลให้อีกฝ่ายอย่างว่าง่าย

ด้วยเหตุนี้ ไม่ช้าทั้งกลุ่มก็กลับสู่หอนิรันดร์อีกครั้ง

พูดตามตรง เขาไม่อยากกลับไปที่นั่นอีกแล้ว แต่ด้วยสายตาดุดันเชือดเฉือนของไป๋เหรินชิง หลิวลู่จี่รู้ดีว่าคงถูกอัดบี้แบนกับพื้นแน่หากไม่ยอมทำตาม

เขาได้แต่ถอนหายใจอย่างจนปัญญา จากนั้นก็เข้าสู่หอนิรันดร์อีกครั้งพร้อมกับหวังเจี้ยนตง ทั้งคู่พาไป๋เหรินชิงกับไป๋เฟิงไปยังสังเวียนประลอง

ตอนนั้นผ่านไปราว 10 นาทีแล้ว ดูเหมือนมีศิษย์สายตรงฝ่ายในอีกกว่า 1 พันคนที่ถูกสังหาร

ในเวลานี้ ผู้คนที่ออกันอยู่มีจำนวนลดลงมาก

ไม่ว่าบรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายในจะขัดอกขัดใจแค่ไหน แต่เมื่อสมาชิกในหมู่พวกเขาถึง 2 พันคนถูกสังหารไป ก็แน่นอนว่าย่อมมีบางส่วนที่เริ่มหวาดกลัวและล่าถอย

ในสายตาของพวกเขา ผมน่ะถ่อมตัวไม่ต่างอะไรกับเครื่องจักรสังหารที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ดูเหมือนเขาสามารถฆ่าคนได้อย่างต่อเนื่องอีกหลายวันโดยไม่จำเป็นต้องหยุดพัก

“ศิลปะเพลงดาบนี้…”

หลังจากพิจารณากระบวนท่าของผมน่ะถ่อมตัว ไป๋เฟิงขมวดคิ้ว

มีเพียงคำเดียวที่เขาจะใช้บรรยายศิลปะเพลงดาบที่อยู่ตรงหน้าได้-พื้นๆ! เพียงแวบเดียว เขาก็มองเห็นมันได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ไม่มีเทคนิคหรือทักษะใดๆอยู่ในนั้นเลย ดูเหมือนหมอนี่เป็นเพียงเด็กคนหนึ่งที่ไม่รู้จักศิลปะเพลงดาบ รู้จักแต่จะกวัดแกว่งและฟาดฟันดาบเท่านั้น

แต่ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่างที่อธิบายไม่ได้ อีกฝ่ายสามารถปลดปล่อยพละกำลังอันน่าทึ่งออกมาได้ด้วยกระบวนท่าที่เรียบง่ายแบบนั้น ใครก็ตามที่ขวางทางของเขาจะต้องตายอย่างหมดหนทางสู้

นี่เป็นครั้งแรกที่ไป๋เฟิงรู้สึกขัดแย้งในใจเมื่อได้เห็นศิลปะเพลงดาบ เขาไม่รู้จริงๆว่ามันทรงพลังหรือไม่ แต่ที่ชัดเจนกว่านั้นก็คือ ความเหลื่อมล้ำในพละกำลังระหว่างผมน่ะถ่อมตัวกับบรรดาคู่ต่อสู้ของเขาถือว่าห่างชั้นกันมาก จนไม่มีทางใช้ศิลปะเพลงดาบทดสอบได้

ก็เหมือนกับการที่เด็ก 3 ขวบคนหนึ่งสำแดงศิลปะการต่อสู้ออกมา ไม่มีทางประเมินได้เลยว่าเด็กคนนั้นทรงพลังจริงๆหรือเปล่า

“ท่านปู่เฟิง…” ไป๋เหรินชิงมองหน้าไป๋เฟิง

“ศิลปะเพลงดาบของเขาไร้เทียมทานจริงๆ แต่ถ้าเราอยากรู้ความสามารถที่แท้จริงของเขา ผมก็ต้องทดสอบเขาด้วยตัวเอง!” ไป๋เฟิงตอบ

“ทดสอบเขาด้วยตัวเอง?” หลิวลู่จี่เลิกคิ้ว “ผู้อาวุโสเฟิง อย่าถึงขนาดนั้นเลย ผมเกรงว่า…”

“คุณกลัวอะไร? วางใจเถอะ ผมไม่ฆ่าเขาและทำให้คุณตกที่นั่งลำบากหรอกน่ะ!” ไป๋เฟิงตอบพร้อมกับขมวดคิ้ว

“คือ…ไม่ใช่อย่างนั้น ผมไม่ได้กลัวว่าคุณจะฆ่าเขา แต่…เขาจะฆ่าคุณต่างหาก! นั่นจะทำให้อะไรๆยุ่งยากไปกว่าเดิมอีก” หลิวลู่จี่ตอบพร้อมกับยิ้มแหยๆ

“บังอาจ! คุณรู้หรือเปล่าว่าท่านปู่เฟิงทรงพลังแค่ไหน เขาจะถูกฆ่าได้อย่างไร? คุณกล้าดีอย่างไรถึงพูดแบบนี้!” ไป๋เหรินชิงเดือดจัด

ไป๋เฟิงอาจไม่ได้เป็นผู้อาวุโสของสำนักดาบเมฆเหิน แต่พละกำลังของเขาเหนือชั้นกว่าผู้อาวุโสทั่วไปอยู่มาก!

ไม่ควรจะมีใครพูดถึงความเป็นไปได้แบบนั้นออกมา หลิวลู่จี่สมควรถูกซ้อมให้ตาย!

“ผม…ผมขออภัยที่พูดจาไม่เหมาะสม เชิญตามสบาย…” หลิวลู่จี่ส่ายหน้าและถอนหายใจเฮือก

ผู้อาวุโสมู่กับคนอื่นๆก็ลองมาแล้ว แต่ลงท้ายพวกเขาก็ถูกสังหาร ผู้อาวุโสเฟิงอาจเก่งกาจไร้เทียมทาน แต่ก็ดูเหมือนว่าเขาไม่น่าจะเอาชนะผู้อาวุโสฝ่ายในทั้งสิบพร้อมๆกันได้เมื่อมีระดับวรยุทธเท่ากันแบบนี้

แต่นั่นแหละ ในเมื่อเขาพูดไปก็ไม่มีใครฟัง ก็ไม่อยากพูดให้เปลืองน้ำลาย อีกอย่าง เขาก็บอกความจริงไม่ได้ว่าผู้อาวุโสมู่กับสิบผู้อาวุโสเคยมาที่นี่

ไป๋เฟิงหัวเราะลั่นเมื่อได้ยิน “ถ้าคุณห่วงว่าผมจะถูกฆ่าล่ะก็ บอกได้เลยว่ากังวลโดยเปล่าประโยชน์ นอกจากนายท่านและผู้อาวุโสอีก 2-3 คนในสำนักนี้ ผมก็ไม่กลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น!”