ตอนที่ 1983 มันยุติธรรมตรงไหน?

อัจฉริยะสมองเพชร

อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆

ตอนที่ 1983 มันยุติธรรมตรงไหน?

แม้เขาจะไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังในสำนักเพราะนิสัยถ่อมเนื้อถ่อมตัว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาอ่อนแอ

เขาได้รับคำชี้แนะเป็นส่วนตัวจากผู้อาวุโสไป๋เย่และฝึกฝนวรยุทธมากว่าร้อยปีแล้ว ความเข้าใจในวิถีทางแห่งเพลงดาบของเขาอยู่ในระดับที่น่าทึ่ง แทบไม่มีใครในโลกนี้ที่ทำให้เขาหวาดกลัวได้!

ไป๋เฟิงปลดปล่อยเจตจำนงเพลงดาบออกมา เขาก้าวยาวๆเข้าสู่ใจกลางฝูงชน

เขาไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ตัวเองให้ใครๆเห็น เหตุผลเดียวที่เขามาที่นี่ก็เพื่อจะดูให้เห็นกับตาว่าหมอนี่เอาชนะศิลปะเพลงดาบดงหิมะได้อย่างไร

ส่วนอีกด้านหนึ่ง ขณะที่ไป๋เฟิงเดินหน้าเข้าสู่ใจกลางฝูงชน หลิวลู่จี่กับหวังเจี้ยนตงอ้าปากค้าง ทั้งคู่รีบถอยหลังและเข้าไปซ่อนอยู่หลังกำแพง

“พวกคุณทำอะไรน่ะ?” ไป๋เหรินชิงขมวดคิ้วเมื่อเห็นทีท่าพิลึกพิลั่นของทั้งคู่

“เอ่อ…ไม่มีอะไรมากหรอก ศิษย์พี่ไป๋ ทำไมคุณไม่มาอยู่กับพวกเราล่ะ? อยู่ตรงนี้มองเห็นอะไรๆได้ชัดกว่านะ ไม่จำเป็นต้องเข้าใกล้สังเวียนประลองหรอก” หลิวลู่จี่แนะนำอย่างร้อนใจ

เขาไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆก็จริง แต่ความเจ็บปวดจากการถูกตัดหัวไม่ใช่สิ่งที่ใครสักคนจะคุ้นชินได้ เขาไม่อยากให้มันเกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 4!

“ขี้ขลาดตาขาว! ไม่น่าเชื่อว่าพวกคุณรั้งอันดับต้นๆของศิษย์สายตรงฝ่ายใน น่าอับอายเหลือเกิน!” เมื่อดูออกว่าทั้งคู่คิดอะไร ไป๋เหรินชิงส่ายหน้าอย่างดูถูกขณะเฝ้ามองความวุ่นวายจากจุดที่เธอยืน

ยากจะบอกได้ว่าไป๋เฟิงทำอะไรลงไป แต่ฝูงชนที่ออกันอยู่โดยรอบรีบเปิดทางให้เขาเดิน

ฟิ้ววววว!

ยังไม่ทันจะเข้าใกล้ผมน่ะถ่อมตัว ไป๋เฟิงก็ชูดาบขึ้นและรวบรวมกระแสดาบฉีเข้าสู่ปลายดาบของเขา ด้วยการตวัดดาบเพียงหนึ่งครั้ง ก็เกิดพายุหิมะหนักหน่วงพัดกระหน่ำโดยรอบ

เห็นการสำแดงเทคนิคนั้น ผมน่ะถ่อมตัวหรี่ตาเล็กน้อย จากนั้นก็ก้าวออกมาแล้วฟันฉับลงไป

ศีรษะของไป๋เฟิงร่วงลงไปกลิ้งกับพื้น

ไป๋เหรินชิงตกตะลึงสุดขีด

ขนาดสําแดงเทคนิคที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาแล้ว ท่านปู่เฟิงก็ยังต้านทานการโจมตีของผมน่ะถ่อมตัวไม่ได้ เธอขยี้ตาเพื่อให้แน่ใจว่าตาไม่ฝาด แต่พริบตาต่อมาก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ลำคอ

ศีรษะของเธอร่วงลงไปกลิ้งกับพื้นเช่นกัน

แม้ตอนที่กำลังจะตาย ไป๋เหรินชิงก็ยังไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น เธออยู่ห่างจากหมอนั่นราวสามสิบเมตร แต่ก็ยังถูกฆ่าได้

ไม่แปลกใจแล้วที่หลิวลู่จี่กับหวังเจี้ยนตงหนีไปซุกอยู่หลังกำแพง ดูเหมือนสองคนนั้นจะรู้อยู่แล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้น

ขณะที่ศีรษะของเธอร่วงลงไปกับพื้น เธอก็มองไปด้านหลัง เห็นกระแสดาบฉีอีก 2 สายพุ่งฉิวผ่านเธอไป

ตุ้บ! ตุ้บ!

2 ศีรษะกลิ้งหลุนๆไปกับพื้นด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย

ดูเหมือนการซ่อนตัวอยู่หลังกำแพงจะไม่ช่วยอะไร

“หน้าไม่อายอะไรอย่างนี้!” จางเซวียนพึมพำ

พูดกันตามตรง เขาเหนื่อยหน่ายกับการกำจัดเจ้าพวกนั้นเหลือเกิน

ร่างที่หอนิรันดร์อนุญาตให้เขาใช้ถือว่าอ่อนแอเกินไป เขาจึงพยายามสงวนพลังงานไว้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่หลังจากต้องเผชิญกับคู่ต่อสู้มากมายขนาดนี้ ลงท้ายเขาก็ใช้พลังปราณไปถึงครึ่งหนึ่งของที่มี แถมหัวสมองก็เริ่มเหนื่อยล้า

ในเมื่อเขาเป็นคนเอ่ยปากท้าเอง จึงต้องดำเนินการทุกอย่างให้เสร็จสิ้น แต่ก็มีเจ้าพวกศิษย์สายตรงหน้าไม่อายจำนวนหนึ่งที่เปลี่ยนตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลอันใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่าหลังจากถูกฆ่า และเข้ามาร่วมวงอีก

เหลวไหลเลอะเทอะสิ้นดี! ถ้าทุกคนทำแบบนี้ เขาคงต้องสังหารแต่ละคนอย่างน้อยก็ 5 ครั้ง

มันยุติธรรมตรงไหน?

โดยเฉพาะเจ้าหน้าไม่อายสองคนนั่นที่เอาแต่ซุกหัวหลบ เขาสังหารทั้งคู่ไปถึง 3 ครั้งแล้ว แต่สองคนนั่นก็ยังหวนกลับมาซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อหาโอกาสลอบสังหารเขา พวกนั้นคิดจริงๆหรือไงว่าเขาจะจำไม่ได้เพียงเพราะเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของตัวเองแล้ว?

เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญเพลงดาบฟ้าประทาน การประเมินนักรบแต่ละคนจากเจตจำนงเพลงดาบนั้น ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย แล้วยังแม่สาวคนนั้นอีก! เขาแน่ใจว่าเขาสังหารเธอไปแล้วรอบหนึ่ง!

เจ้าพวกหน้าไม่อาย! ขี้โกง! ขี้โกหก!

“ช่างเถอะ”จางเซวียนสูดหายใจลึกหลายครั้งและพยายามระงับอารมณ์

พวกนั้นอาจหน้าไม่อาย แต่ตัวเขาเป็นสุภาพบุรุษ เขาคือผู้ยึดมั่นในหลักการและจะไม่ยอมลดตัวลงไปทำอะไรต่ำๆ อย่างมากที่สุดเขาก็แค่สังหารพวกนั้นทุกครั้งที่อีกฝ่ายปรากฏตัว ไม่จำเป็นต้องอารมณ์เสียเพราะเรื่องนี้

เพียงแต่…เขาไม่เหลือพลังปราณมากพอจะเล่นสนุกแล้ว มันไม่ควรจะเป็นแค่การเอาชนะบรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายในอีกต่อไป แต่ต้องทำลายตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลของพวกนั้นให้สิ้นซาก!

“ดูเหมือนเราต้องจัดการให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดเสียที” ในที่สุดจางเซวียนก็ตัดสินใจ

ถ้าเขาฆ่าทิ้งทีละคน พวกนั้นก็จะหวนกลับมาใหม่พร้อมกับตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลอันใหม่ในมือ ตราบใดที่ยังมีตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลอยู่ การดวลครั้งนี้ก็ไม่มีวันจบสิ้น

ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น ก็มีทางเดียวที่เขาจะเอาชนะการดวลครั้งนี้ได้ คือต้องฆ่าพวกนั้นให้ตายหมดพร้อมกันทีเดียว

ถ้าเขากำจัดทุกคนได้พร้อมกันภายในหนึ่งนาที ก็จะปิดจ๊อบได้สำเร็จ!

“ตอนนี้มีคนอยู่ราวสามพันคน เราจะจัดการพวกเขาให้ราบคาบภายในหนึ่งนาทีได้อย่างไร?”

จางเซวียนใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงในการสังหารศิษย์สายตรง 2 พันคน สูญเสียพลังงานไปกว่าครึ่งแล้ว หากทำแบบเดิม คงจบลงด้วยความพ่ายแพ้แน่

“ดูเหมือนเราต้องใช้กระบวนท่านั้นแล้วล่ะ…” จางเซวียนกัดฟันและตัดสินใจแม่นมั่น

เขามีกระบวนท่าไม้ตายที่ใช้ได้ผลดีในการสลายฝูงชน แต่กระบวนท่านั้นต้องใช้พลังปราณมาก ทันทีที่สำแดงออกไป ก็มีโอกาสที่พลังปราณของเขาจะเหือดแห้งหมด ซึ่งถ้ายังเหลือคู่ต่อสู้อยู่ เขาก็จะทำอะไรไม่ได้มาก

แต่ในเมื่อถูกบีบให้จนมุมแล้ว ก็ไม่มีทางเลือกอื่น ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีวันปิดจ๊อบการดวลได้

“ต้องจัดการ!” จางเซวียนรีบคิดคำนวณในใจ จากนั้นก็โยนดาบออกไปโดยไม่ลังเล

เห็นผมน่ะถ่อมตัวทิ้งดาบของตัวเอง ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นถึงกับจังงัง พวกเขาลืมการโจมตีไปครู่หนึ่ง

จางเซวียนรีบขับเคลื่อนพลังปราณก่อนจะเคาะนิ้วเบาๆกลางอากาศ

ฟิ้ววววว!

กระแสดาบฉีที่มีความเข้มข้นอย่างน่าทึ่งพุ่งออกจากปลายนิ้วของเขา แล้วลอยสูงขึ้นกลางอากาศ จากนั้นมันก็แตกตัวกลายเป็นกระแสดาบฉีขนาดเล็กหลายพันสายที่ลอยตัวออกไปอย่างเงียบๆ ราวกับกิโยตินลอยได้

กระบวนท่านี้ไม่ได้มาจากเจตจำนงเพลงดาบที่เขาเพิ่งทำความเข้าใจได้สำเร็จ แต่เป็นการหลอมรวมกันของเพลงดาบฟาดฟันทะเล เพลงดาบเร่งเร้ามหาสมุทร และเพลงดาบฉีกกระชากสวรรค์ที่เขาได้ทำความเข้าใจเมื่อครั้งอยู่ที่สระดาบในทวีปแห่งปรมาจารย์

ก่อนหน้านี้ เขาใช้ศิลปะเพลงดาบเหล่านี้ได้ทีละชนิดเท่านั้น แต่หลังจากที่ทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จ ก็สามารถผนวกเอาสามศิลปะเพลงดาบเข้าด้วยกันและปลดปล่อยพละกำลังทำลายล้างที่หนักหน่วงกว่าแต่ก่อนได้หลายเท่า

ในครั้งนั้น จางเซวียนควบคุมดาบได้ถึง 108 เล่มพร้อมๆกัน แต่ละเล่มสำแดงศิลปะเพลงดาบที่แตกต่างกันออกไปเพื่อใช้เล่นงานคู่ต่อสู้ แต่กระบวนท่าที่เขาใช้อยู่ตอนนี้แข็งแกร่งกว่านั้นมาก

แต่ก็นั่นแหละ ร่างกายของเขาในเวลานี้สามารถควบคุมกระแสดาบฉีได้อย่างมากที่สุดก็ 3,000 สาย หากมากกว่านั้น ร่างคงได้เสื่อมสลายแน่

เห็นค่ายกลขนาดมหึมาอยู่เหนือศีรษะของพวกเขา ศิษย์สายตรงที่อยู่ใกล้ที่สุดขนลุกขนชันไปทั้งตัว เขาอดไม่ได้ที่จะร้องออกมาอย่างเสียขวัญ ทำลายความเงียบงันบริเวณนั้น

“เขาต้องกำลังทำอะไรสักอย่างแน่ เราจะปล่อยให้เขาทำสำเร็จไม่ได้นะ! เร็วเข้า…”

แต่ยังไม่ทันจะพูดจบ ผมน่ะถ่อมตัวก็ออกคำสั่งอย่างเคร่งขรึมต่อกระแสดาบฉีหลายพันสายที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ “จัดการพวกนั้นเสีย!”

ฟึ่บ!

กระแสดาบฉีหลายพันสายพุ่งลงมาจากกลางอากาศพร้อมๆกัน

นักรบ 3,000 คน และศีรษะอีก 3,000 ศีรษะร่วงลงไปกลิ้งกับพื้นพร้อมๆกัน ก่อนจะสลายเป็นอากาศธาตุ

หอนิรันดร์อันใหญ่โตนั้นว่างเปล่าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“ท่านปู่เฟิง…พละกำลังของเขาเป็นอย่างไรบ้าง?” ไป๋เหรินชิงถามอย่างร้อนใจ

พวกเขากลับจากหอนิรันดร์ได้ราว 10 นาทีแล้ว แต่ทันทีที่ได้สติสัมปชัญญะกลับคืนมา ไป๋เฟิงก็เอาแต่หลับตาและตกอยู่ในภวังค์ เมื่อเห็นภาพนั้น ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร

“เจิดจรัส! มันเจิดจรัสมาก!” ไป๋เฟิงลืมตาขึ้นช้าๆ เผยให้เห็นประกายของความตื่นเต้นที่อยู่ภายใน

“เจิดจรัส?” ทุกคนอ้าปากค้าง

ชายชราผู้นี้สติแตกจากการถูกตัดหัวหรือเปล่า?

หลิวลู่จี่อดไม่ได้ที่จะหันไปสบตากับหวังเจี้ยนตงขณะที่ทั้งคู่ต่างยกมือกุมคอหอย แม้จะรู้ดีว่ามันเป็นแค่โลกเสมือนจริง แต่การถูกตัดหัวถึง 4 ครั้งติดต่อกันก็ทำให้พวกเขาหวาดหวั่นไม่น้อย

พูดก็พูดเถอะ ถึงพวกเขาจะถูกตัดหัวถึง 4 ครั้ง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกถึงความเจิดจรัสอย่างที่ไป๋เฟิงอุทานออกมาสักนิด!

“ผมฝึกฝนศิลปะเพลงดาบดงหิมะมากว่าร้อยปีแล้ว ถึงตอนนี้ ก็ยังอดรู้สึกไม่ได้ว่ามันน่าทึ่ง ความเร็วของมันเป็นแค่พละกำลังส่วนหนึ่งในหลายส่วนเท่านั้น ที่สำคัญกว่าคือความสามารถในการถ่ายทอดพลังปราณเข้าสู่ดาบและควบคุมมันให้ราบรื่นจนไร้ที่ติ ก่อเกิดเป็นการสำแดงการเคลื่อนไหวที่เหนือชั้นกว่ามนุษย์โดยทั่วไป ทำให้รับมือด้วยได้ยากมาก!” ไป๋เฟิงจ้องมองความว่างเปล่าตรงหน้าด้วยแววตาที่บ่งบอกความยกย่องและชมเชย

“เนิ่นนานหลายปีมาแล้วที่ผมเชื่อว่าศิลปะเพลงดาบดงหิมะไร้ข้อบกพร่อง แต่ใครจะไปคิดว่าอีกฝ่ายจะเอาชนะมันได้ในกระบวนท่าเดียว? ศิลปะเพลงดาบนั้นไร้เทียมทานจริงๆ เหนือชั้นจนผมแทบลืมหายใจ!”

ถึงไป๋เฟิงจะถูกสังหารภายในกระบวนท่าเดียว แต่เขาก็ยังพอจับศิลปะเพลงดาบบางเสี้ยวของอีกฝ่ายได้ ซึ่งเพียงเท่านั้นก็เกินพอจะทำให้เขาตกอยู่ในภวังค์หลายชั่วโมง เหมือนเด็กที่ได้ของเล่นใหม่

“เอ่อ…” ทุกคนกระพริบตาปริบๆ

ไป๋เหรินชิงมองไป๋เฟิงอย่างไม่แน่ใจก่อนจะตั้งคำถาม “ท่านปู่เฟิง คุณไม่โมโหเลยหรือ?”

ถูกสังหารภายในกระบวนท่าเดียวโดยนักรบต๊อกต๋อยที่ยังไม่ได้สำเร็จวรยุทธขั้นเสมือนอมตะเลยด้วยซ้ำ ผู้เชี่ยวชาญระดับเขาควรรู้สึกอับอายและเหมือนถูกเหยียดหยามไม่ใช่หรือ?

“ผมน่ะยิ่งกว่ายินดีที่ได้เห็นศิลปะเพลงดาบที่ไร้เทียมทานขนาดนี้ จะโมโหทำไม?” ไป๋เฟิงประหลาดใจเล็กน้อยกับคำถาม

เขามองทั้งสามใบหน้าที่อยู่โดยรอบ และราวกับจะรู้ความคิดของคนเหล่านั้น ไป๋เฟิงหัวเราะหึๆ “ความนอบน้อมและความไม่หยิ่งผยองคือสิ่งสำคัญสูงสุดสำหรับนักรบ วิถีแห่งเพลงดาบนั้นกว้างใหญ่และล้ำลึกมาก เวลาชั่วชีวิตก็ไม่เพียงพอที่จะคลี่คลายข้อสงสัยทั้งหมดของเราได้ แล้วทำไมเราถึงจะปล่อยให้ความเย่อหยิ่งเข้ามามีอิทธิพลต่ออารมณ์ของเราล่ะ? ถ้าผมปรารถนาเกียรติยศและความยิ่งใหญ่ล่ะก็ ป่านนี้ อย่างน้อยๆก็คงได้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักดาบเมฆเหินไปแล้ว!”

“จริงด้วย”

คำสอนอันชาญฉลาดของไป๋เฟิงทำให้ทุกคนหน้าแดงก่ำด้วยความละอายใจ