บทที่ 2869 แต่งกับข้า 2
เมิ่งหลิวเซียงยิ้มหยัน “พูดเหลวไหลรึ? เจ้านึกว่าเรื่องพวกนั้นที่เจ้ากระทำจะปกปิดข้าได้หรือ? ข้าก็แค่ไม่อยากเปิดโปงเจ้าเท่านั้นแหละ! สองเดือนก่อนเจ้าส่งคนไปติดต่อกับตี้ฝูอีผู้นั้นกระมัง? เจ้าคิดจะให้เขาช่วยหนุนฝ่าบาทจอมมาร มาต่อกรกับท่านพ่อใช่ไหม?”
อินจิ่วซือที่เดิมทีเถียงกับนางอย่างเป็นเดือดเป็นร้อน ยามนี้กลับเม้มริมฝีปากบางนิดๆ ไม่เอ่ยวาจาอีก
กลับเป็นเมิ่งหลิวเซียงที่ยิ่งพูดยิ่งโมโห “อินจิ่วซือ ถึงแม้ท่านพ่อข้าจะดูแคลนเจ้า แต่ก็เห็นแก่หน้าข้า ยังคงปฏิบัติต่อเจ้าอย่างนับว่าไม่เลว เจ้าอย่าได้รนหาที่ตายไปต่อกรกับเขาเลย มิเช่นนั้นข้าก็ปกป้องเจ้าไม่ได้เหมือนกัน! หากปล่อยให้ท่านพ่อข้ารู้เรื่องพวกนี้ที่เจ้ากระทำเข้า เขาไม่มีทางปล่อยเจ้าไว้!”
อินจิ่วซือเงียบไปครู่หนึ่ง สายตาแปรเปลี่ยนเป็นเฉียบคม “ใต้หล้านี้เดิมทีก็เป็นแผ่นดินสกุลอินของข้า บิดาเจ้าต่างหากที่เป็นคนคิดจะก่อกบฏ เมิ่งหลิวเซียง หากข้ายืนกรานจะทำเช่นนี้ เจ้าจะทำอย่างไรเล่า?”
เมิ่งหลิวเซียงชักกระบี่ออกมา “เช่นนั้นข้าก็ทำได้เพียงสังหารเจ้าเสีย! อินจิ่วซือ ถึงแม้ข้าจะชอบเจ้า แต่ก็ไม่สามารถหักหลังท่านพ่อได้”
มือที่กำลังโบกพัดอยู่ของอินจิ่วซือชะงักไปเล็กน้อย “จริงหรือ?”
เมิ่งหลิวเซียงเชิดคางขึ้นเล็กน้อย “แน่นอน! อินจิ่วซือ เจ้าสู้ข้าไม่ได้หรอก หากเจ้าบีบให้ข้าลงมือก็มีแต่จะสร้างความเดือดร้อนให้ตัวเอง!!”
อินจิ่วซือเม้มริมฝีปากบางนิดๆ เอ่ยอย่างเฉยเมย “ในเมื่อเป็นแบบนี้ เช่นนั้นก็ลงมือเถิด เมิ่งหลิวเซียง เปิ่นหวางจะให้โอกาสเจ้าได้ต่อสู้ตัดสินกันอย่างยุติธรรม” พลันยื่นมือออกไป พัดในมือกลายเป็นกระบี่ยาว
กู้ซีจิ่วเร้นอยู่ในจุดอับ มองคู่รักตัวน้อยที่แปรเปลี่ยนคู่แค้น เธอหรี่ตาลงนิดๆ สายตาร่อนลงบนร่างอินจิ่วซือ
เดิมทีบนร่างเขาแฝงไปด้วยความเสเพลอันเลี่ยนเอียนประการหนึ่ง แต่ยามนี้หลังจากเผยโฉมออกมาแล้ว รัศมีบนร่างก็เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นเล็กน้อย คล้ายว่าในที่สุดก็กระชากเครื่องอำพรางออกแล้ว เผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา ลุ่มลึก เฉียบคม เย็นชา แฝงอำนาจของผู้เป็นราชันเอาไว้รางๆ
เห็นทีว่าที่คนผู้นี้ทำตัวเสเพลอยู่ในภพมารจะเป็นเพียงการเก็บงำประกายแสงเอาไว้ คนผู้นี้ไม่ธรรมดาเลย! มิใช่ปลาในบ่อ
แต่น่าขันที่จวบจนยามนี้ท่านหญิงผู้นี้ก็ยังดูไม่ออก
วรยุทธ์ของท่านหญิงผู้นี้เลิศล้ำนัก แต่น่าเสียดายที่ใสซื่อไร้เดียงสาเกินไป มาเปิดโปงความลับของผู้ชายเข้าในเวลานี้ มิใช่แสวงหาหนทางตายให้ตนหรอกหรือ?
อย่างไรก็ตาม อินจิ่วซือก็นับว่าเป็นสุภาพชนเช่นกัน ถูกเปิดโปงแล้วก็ไม่ได้ลอบโจมตีเมิ่งหลิวเซียง แต่สู้ตัดสินกันอย่างยุติธรรม จะว่าไปแล้วนางจะใช่คู่ต่อสู้ของอินจิ่วซือหรือ?
อินจิ่วซือคือยอดฝีมือลำดับต้นๆ ของภพมารเชียวนะ
กู้ซีจิ่วจึงกอดอกรับชมเสียเลย
เมิงหลิวเซียงคงจะคาดไม่ถึงว่าอินจิ่วซือจะกล้าต่อสู้ตัดสินกับนาง จึงหัวเราะเยาะคราหนึ่ง “เจ้ารนหาที่ตายแล้ว!”
นางตั้งใจว่าจะสั่งสอนบทเรียนให้เขาสักหน่อย ป้องกันไม่ให้เขาไม่รู้จักกาละเทศะเช่นนี้อีก…
อินจิ่วซือดีดกระบี่ยาวในมือเบาๆ สุ้มเสียงเยียบเย็น “เมิ่งหลิวเซียง ครั้งนี้ข้าจะทุ่มเต็มกำลังแล้ว หวังว่าเจ้าจะไม่ออมมือเช่นกัน พวกเราตัดสินกันด้วยชีวิตเถิด!”
คำตอบของเมิ่งหลิวเซียงคือการจ้วงกระบี่เข้าใส่!
ทั้งสองคนประมือกันแล้ว…
สิบกระบวนท่า!
เพียงสิบกระบวนท่าทั้งสองคนก็ตัดสินแพ้ชนะได้แล้ว
การตัดสินแพ้ชนะเป็นการตัดสินเป็นตายด้วย เมิ่งหลิวเซียงทรุดอยู่บนพื้น ตรงหว่างคิ้วมีโลหิตสายหนึ่งไหลรินลงมา นางเบิกตาจ้องอินจิ่วซือเขม็ง ปากอ้าพะงาบๆๆ อยู่หลายครั้ง จึงเอ่ยประโยคหนึ่งออกมาได้ในที่สุด “ที่แท้…เจ้าก็ซ่อนคมไว้เสมอมา…”
กระบี่ยาวในมืออินจิ่วซือกลับกลายเป็นพัดอีกครั้ง เขาหลุบตามองนาง “เมิ่งหลิวเซียง เจ้าแพ้แล้ว!”
เมิ่งหลิวเซียงคว้ากระบี่ นางฝืนดิ้นรนเอ่ยออกมาอีกประโยคหนึ่ง “เมื่อกี้ข้า…ยังไม่ได้ทุ่มเต็มกำลัง!”
อินจิ่วซือกล่าวอย่างเฉยชา “ถึงเจ้าทุ่มเต็มกำลังก็สู้เปิ่นหวางไม่ได้อยู่ดี”
เมิ่งหลิวเซียงเงียบงัน
นางไม่เอ่ยวาจาอีก ความจริงก็คือนางพูดอะไรไม่ออกแล้ว
————————————————————————————-
บทที่ 2870 แต่งกับข้า 3
อินจิ่วซือชูมือขึ้นมา ชี้นิ้วหนึ่งไปที่หว่างคิ้วของนาง น้ำเสียงเย็นกระจ่างดังสายลม “เห็นแก่ที่เจ้าเคยช่วยเหลือเปิ่นหวางไว้ เปิ่นหวางจะไม่สังหารเจ้า แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้เจ้าทำลายแผนการของเปิ่นหวางได้ อยู่ที่นี่ไปก่อนชั่วคราวเถอะ! อีกแปดปีให้หลังเจ้าจะกลับเป็นปกติ”
พลังมารหลั่งไหล ร่างกายของเมิ่งหลิวเซียงกลายเป็นหินด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า สุดท้ายก็กลายเป็นโขดหินสีเขียวเข้มก้อนหนึ่ง
อินจิ่วซือสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง โขดหินก้อนนั้นก็ลอยไปอยู่ในกองหินที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก โขดหินก้อนนี้ไม่ต่างจากโขดหินในกองศิลานั้นเลย ต่อให้มีคนขึ้นมาบนยอดเขาอีก ก็ไม่มีทางสังเกตเห็นมัน
สายตาของอินจิ่วซือวนสำรวจสัตว์พิทักษ์ทั้งสี่แวบหนึ่ง เลิกคิ้วขึ้น ถกแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อย แล้วพุ่งเข้าไปทันที…
สัตว์ร้ายทั้งสี่คำรามขึ้นมาพร้อมกัน โผเข้าใส่เขา
เป็นศึกใหญ่ที่พบเห็นได้ยากฉากหนึ่ง!
ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็ได้ประจักษ์ถึงวรยุทธ์ที่แท้จริงของอินจิ่วซือคนนี้แล้ว โบกสะบัดดุจสายฟ้าพิโรธ หยุดนิ่งดุจสมุทรครามระยับแสง ก็คือตัวเขา
วรยุทธ์ของเขาน่าจะบรรลุขั้นซ่างเสินแล้ว เพียงแต่ซ่อนเร้นเอาไว้เสมอมา ดูเหมือนจะเป็นระดับจินเซียน ถึงได้สามารถบดขยี้เมิ่งหลิวเซียงได้…
ไม่ว่าเมิ่งหลิวเซียงจะไว้ไมตรีหรือไม่ ล้วนมิใช่คู่มือของเขา ผลลัพธ์สุดท้ายล้วนเป็นแบบเดียวกัน
บุรุษผู้นี้ทำให้ผู้อื่นต้องมองในมุมใหม่จริงๆ…
กู้ซีจิ่วพินิจเขาอย่างละเอียดครู่หนึ่ง ใจเต้นนิดๆ
จอมมารองค์ปัจจุบันของภพมารอ่อนแอไร้ความสามารถ ใช้การไม่ได้. ถึงได้ถูกผู้สำเร็จราชการกุมอำนาจในราชสำนักเอาไว้
ผู้สำเร็จราชการคนนั้นโหดเหี้ยมยิ่ง สังหารคนอยู่เป็นนิตย์ ไม่เพียงแต่ไม่เห็นจอมมารอยู่ในสายตาเท่านั้น ต่อให้เป็นขุนนางถ้าผิดใจกับเขาเพียงนิด เขาบอกว่าจะฆ่าก็คือลงมือฆ่าทันที แถมยังชอบตัดรากถอนโคนด้วย ถ้ามีคนหนึ่งล่วงเกินเขา เขาก็สังหารผู้อื่นเก้าชั่วโคตร…
ภพมารเต็มไปด้วยความอึมครึม ไม่รู้ว่ามีผู้คนมากน้อยเพียงใดที่สงบปากกล้ำกลืนอยู่ภายใต้อำนาจของผู้สำเร็จราชการคนนี้
ไม่เป็นผลดีต่อประชาชนชาวมารเลย มีการจัดเก็บภาษีอากรมากมายยิบย่อยปานขนวัว ถ้าประชาชนต่อต้านสักนิดก็จะถูกปราบปรามอย่างโหดเหี้ยม มีผู้บริสุทธิ์ต้องสิ้นชีพไปอย่างน่าอนาถนับไม่ถ้วนแล้ว
แต่พระอนุชาผู้นี้กลับมีบุคลิกของผู้เป็นราชันยิ่ง ที่ตี้ฝูอีมายังภพมารก็น่าจะต้องการสนับสนุนเขากระมัง?
หากว่าคนผู้นี้ได้ครองตำแหน่งผู้นำของภพมาร น่าจะเป็นโชควาสนาของภพมารแล้ว
ถึงแม้สัตว์ร้ายทั้งสี่จะดุร้ายยิ่งนัก แต่ก็มิใช่คู่ต่อสู้ของอินจิ่วซือ หลังผ่านพ้นไปครึ่งชั่วยาม สัตว์ร้ายทั้งสี่ล้วนถูกสยบได้แล้ว พาร่างกายที่บอบช้ำอย่างหนักไปฟุบหมอบอยู่ที่เดิมอีกครั้ง ไม่สนใจอินจิ่วซือที่ไปเก็บสมุนไพรอีก
อินจิ่วซือเก็บสมุนไพรได้ว่องไวยิ่ง ทันทีที่หันกลับมาก็พบว่ามีดรุณีนางหนึ่งยืนสง่าอยู่ไม่ไกลจากด้านหลังของเขา
ดรุณีนางนั้นสวมอาภรณ์สีฟ้าทะเลสาบ ผมดำขลับสยายเคลียไหล่ ดูอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปี บนร่างมีแสงมงคลโอบล้อมอยู่จางๆ รูปโฉมงดงามจนยากจะพรรณนาได้…
เขาแข็งทื่อไป มองดูดรุณีนางนั้นแล้วค่อยๆ กำมือแน่น
วรยุทธ์ของเขาเลิศล้ำถึงเพียงนี้ ต่อให้มียุงสักตัวบินเข้ามาใกล้ละแวกนี้เขาก็แยกออกว่าเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย แต่ดรุณีนางนี้กลับมาอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง เขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าคนผู้นี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่แล้ว
ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ บนร่างของดรุณีนางนี้มีอำนาจกดดัน ต่อให้ยืนนิ่งๆ อยู่ตรงนั้นก็ยังกดดันคนยิ่งนัก!
“เจ้า…เจ้าคือ?”
ดรุณีนางนั้นยิ้มละไมแวบหนึ่ง แนะนำตัวเองอย่างผ่อนคลายยิ่ง “เทพผู้สร้างโลก”
อินจิ่วซือตะลึงงัน!
เขาดูโง่งมอย่างที่พบเห็นได้ยากนัก!
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เคยพบนางมาก่อน จึงตกตะลึงยิ่งนักแววตาไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง “เจ้า…ท่าน…ท่านผู้…ผู้อาวุโสมาตั้งแต่เมื่อไหร่แล้ว?”
ดรุณีนางนี้ย่อมเป็นกู้ซีจิ่ว เธอดีดนิ้วเล็กน้อย เอ่ยอย่างสบายๆ “มาก่อนพวกเจ้านานแล้ว”
อินจิ่วซือพูดไม่ออกเลย
กู้ซีจิ่วเสาะหาโขดหินก้อนหนึ่งแล้วนั่งลงเสียเลย มองเขาด้วยรอยยิ้ม “เซียวเหยาอ๋องอยากฆ่าปิดปากเปิ่นจุนด้วยหรือไม่เล่า?”
อินจิ่วซือถอนหายใจเบาๆ “เสี่ยวหวางมิกล้า!”
สีหน้าเขานบน้อบ ทว่ากระชับพัดในมือเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเขายังคงคลางแคลงในฐานะของเธออยู่
————————————————————————————-