ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด ตอนที่ 30 กลีบดอกไม้กลีบหนึ่ง

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

จักรพรรดิเป่ยเหอยืนอยู่บนเรือปีกบินประกายทอง แล้วเพียงแค่มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงเท่านั้น มิได้มองคนอื่นๆ เลยแม้แต่ปราดเดียว ทว่าประมุขแสงดาวกับเหล่าประมุขโลกยี่สิบกว่าท่าน แต่ละคนต่างก็ตื่นเต้นหาดใดเปรียบ เพียงแต่พวกเขาต่างก็ไม่มีหนทางให้ถอยกลับแล้ว! พวกเขาที่ไม่อยากตกเป็นทาสก็ได้แต่สู้ยิบตาเพียงทางเดียวเท่านั้น

“จะเปิดศึกแล้วใช่หรือไม่”

“ไม่รู้ว่าภายใต้เคล็ดวิชาวิญญาณของจ้าวหิมะเหิน พลังยุทธ์ของจักรพรรดิเป่ยเหอจะเหลืออยู่สักกี่ส่วนกัน!”

“จักรพรรดิเป่ยเหอเป็นผู้ที่เยาว์วัยทีสุดในบรรดาจักรพรรดิทั้งหมด แต่กลับเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในตอนนี้ ใกล้เคียงกับยอดเคารพ หวังว่าภายใต้เคล็ดวิชาวิญญาณของจ้าวหิมะเหิน พลังยุทธ์ของเขาจะสามารถลดลงไปได้สักครึ่งหนึ่งเป็นอย่างน้อยนะ”

“ไม่ว่าอย่างไร สุดท้ายแล้วเขาก็เป็นระดับจักรพรรดิอยู่ดี! ไม่ต้องพูดถึงเขาเลย ต่อให้มิใช่ยอดเคารพ ก็เป็นระดับจักรพรรดิขั้นสมบูรณ์ วิญญาณก็คงจะมิได้แตกต่างกันสักเท่าใดนัก เพียงแต่ปณิธานมีความแตกต่างกันอยู่บ้างเท่านั้นเอง” บรรดาประมุขโลกเหล่านี้ถ่ายเสียงระหว่างกัน ต่างก็ระแวดระวังและเตรียมพร้อมเปิดศึกอยู่ตลอดเวลา

แต่ในขณะนี้บริเวณรอบๆ เกรงว่ามีเพียงสองคนเท่านั้นที่ค่อนข้างผ่อนคลายกว่าใคร

คนหนึ่งคือตงป๋อเสวี่ยอิง ถึงอย่างไรเขาก็มีร่างแยกมากมาย อยู่ที่นี่ เขาทุ่มเทอย่างสุดกำลังก็ใช้ได้แล้ว

ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือจักรพรรดิเป่ยเหอ! เขาเป็นผู้ถือสิทธิ์ริเริ่ม จะเปิดศึกหรือไม่ล้วนให้เขาเป็นผู้ตัดสินใจทั้งสิ้น

สำหรับคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเหล่าประมุขโลก บรรดาชนเผ่าแสงดาว หรือแม้กระทั่งเหล่าแม่ทัพเทพด้านหลังจักรพรรดิเป่ยเหอเหล่านั้นต่างก็มีความกระวนกระวายอยู่บ้าง แม้กระทั่งแม่ทัพเทพอันดับหนึ่ง ‘แม่ทัพเทพประจัญทมิฬ’ ก็ยังมิกล้าลำพองใจ ถึงอย่างไรทางด้านการต้านทานเคล็ดวิชาวิญญาณ เขาถามตัวเองแล้วก็ยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถทำได้ดีกว่าแม่ทัพเทพโครงกระดูก! และตอนนี้ยังมีประมุขโลกกลุ่มใหญ่อยู่ที่นี่อีกด้วย! เมื่อใดที่เผชิญกับการล้อมโจมตี ที่นี่ก็มีแต่จักรพรรดิเป่ยเหอที่สามารถอยู่อย่างสบายๆ ได้กระมัง

“ฮ่าฮ่าฮ่า…”

เสียงหัวเราะสะท้อนก้องไปทั่วท้องฟ้าบริเวณรอบๆ “ได้ยินว่าในบรรดาผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกา มีบุคคลที่ล้ำเลิศอย่างที่สุดอยู่คนหนึ่ง เคล็ดวิชาวิญญาณถึงขนาดที่สามารถทำให้ผู้ที่ไปถึงระดับจักรพรรดิจมดิ่งลงไปได้ในทันที หลังจากที่ข้าได้รู้แล้วก็นับถือเป็นอย่างยิ่ง! พวกแม่ทัพเทพโครงกระดูกก็บ้าบิ่นเช่นเดียวกัน รู้พลังยุทธ์ของเจ้าก็ยังเปิดศึกอย่างต่อเนื่อง ถ้าหากตอนนั้นข้าอยู่ที่นั่นก็คงหยุดยั้งไปนานแล้ว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งเล็กน้อย

ประมุขแสงดาวและเหล่าประมุขโลกแต่ละคนตะลึงงัน บรรดาประมุขเผ่าแสงดาวต่างก็ตกตะลึงเช่นกัน

หมายความว่าอย่างไรกัน

หยุดการต่อสู้อย่างนั้นหรือ

“พูดถึงความสำเร็จทางด้านวิถีวิญญาณ ไม่ว่าจะเป็นดินแดนจิตโลกาหรือว่าหุบเขาเขี้ยวหัก จ้าวหิมะเหินต่างก็เป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ทั้งสิ้น! ได้ยินเกี่ยวกับบุคคลที่ล้ำเลิศเช่นนี้ ข้าก็ชมชอบอยู่เต็มหัวใจ ได้รู้ว่าก่อนหน้านี้พวกแม่ทัพเทพโครงกระดูกปะทะกับจ้าวหิมะเหิน จึงได้มาเชื้อเชิญด้วยตนเอง ขอเชิญไปเป็นแขกที่โลกเป่ยเหอของข้าแห่งนั้น ไม่รู้ว่าจ้าวหิมะเหินจะช่วยไว้หน้าข้าสักหน่อยได้หรือไม่”

จักรพรรดิเป่ยเหอยืนด้วยมืออยู่ที่หัวเรือพลางมองตงป๋อเสวี่ยอิง

“เชื้อเชิญข้าหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงดูเผินๆ เหมือนสงบนิ่ง แต่ในใจกลับลอบประหลาดใจ ทันใดนั้นก็ถ่ายเสียงให้กับประมุขแสงดาวที่อยู่ข้างๆ ว่า “พี่แสงดาว ท่านว่าจักรพรรดิเป่ยเหอนี่หมายความว่าอย่างไรกัน”

“ข้าก็ประหลาดใจเช่นกัน” ประมุขแสงดาวแปลกใจพลางถ่ายเสียงพูด “ถ้าหากต้องการจะเปิดศึกก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยวาจาเหล่านี้เลย หรือว่ามิได้มีเจตนาจะเป็นศัตรู คิดจะผูกมิตรกับน้องหิมะเหินจริงๆ กันแน่ น้องหิมะเหิน เจ้าก็ต้องระวังตัวหน่อยล่ะ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะมีแผนลวงอันใดอยู่ก็เป็นได้”

“แผนลวงหรือ ข้าจะไปกลัวแผนลวงอันใดกัน ก็เพียงแค่ร่างแยกร่างหนึ่งเท่านั้นเอง นึกคิดคราหนึ่งก็มลายหายไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด “ในเมื่อเขา จักรพรรดิเป่ยเหอมาเชื้อเชิญ เช่นนั้นข้าก็จะลองรับคำเชิญดูก็แล้วกัน ดูว่าแท้ที่จริงแล้วเขาจะทำอะไรกันแน่ วางใจเถิด ร่างแยกร่างหนึ่งของข้าไป ร่างแยกอื่นๆ ก็ยังคงรั้งอยู่ที่นี่เหมือนเดิม”

“อืม น้องหิมะเหิน ก็ระวังตัวหน่อยก็แล้วกัน” ประมุขแสงดาวก็เห็นด้วย ในขณะนั้นเขาก็คิดไม่ถึงว่าจะมีอะไรสามารถคุกคามร่างแยกของผู้แกร่งกล้าที่สามารถละทิ้งได้ตลอดเวลาเช่นนี้ได้ ต่อต้านวิญญาณอย่างนั้นหรือ เคล็ดวิชาที่ต่อต้านวิญญาณได้ ต่อให้สามารถส่งผลกระทบต่อร่างแยกอื่นๆ ได้ แต่ตัวตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็เป็นผู้แกร่งกล้าที่สุดทางด้านวิถีวิญญาณในประวัติศาสตร์ที่ดินแดนจิตโลกาและหุบเขาเขี้ยวหักเคยมีมา!

……

“หรือว่าจ้าวหิมะเหินยังคาใจอยู่ คาใจในการรุกรานของพวกแม่ทัพเทพโครงกระดูกก่อนหน้านี้” จักรพรรดิเป่ยเหอพูดยิ้มๆ

“ในเมื่อจักรพรรดิเป่ยเหอเชื้อเชิญด้วยตนเอง เช่นนั้นข้าก็จะไปดูสักหน่อยก็ได้ ยังไม่เคยไปที่โลกเป่ยเหอมาก่อนเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มพลางเอ่ยอย่างสบายๆ

จักรพรรดิเป่ยเหอพยักหน้า พร้อมกันนั้นก็เหลือบมองไปทางประมุขแสงดาวที่อยู่ข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิง เขารู้ว่าเหตุผลที่ตงป๋อเสวี่ยอิงช่วยเหลือเผ่าแสงดาวก็เพราะมีภูมิหลังกับประมุขแสงดาว! จึงเอ่ยปากพูดในทันที “ถ้าหากประมุขโลกแสงดาวต้องการก็ไปด้วยกันได้นะ”

ประมุขแสงดาวลังเลอยู่ชั่วครู่

ไปด้วยกันอย่างนั้นหรือ

จ้าวหิมะเหินสามารถละทิ้งร่างแยกได้ตลอดเวลา แต่เขาก็มิได้มีร่างแยกด้วยเสียหน่อย

“ขอบคุณจักรพรรดิ” ประมุขแสงดาวพูด แต่กลับแยกร่างแปรออกมาร่างหนึ่งติดตามไปกับตงป๋อเสวี่ยอิง

เพียงแค่ส่งร่างแปรร่างหนึ่งติดตามตงป๋อเสวี่ยอิงไปยังโลกเป่ยเหอ เห็นได้ชัดว่าเป็นกังวลว่าร่างของตนจะดับสูญ! ตัวจักรพรรดิเป่ยเหอเองก็มิได้ใส่ใจ เพียงแต่เหล่าแม่ทัพเทพกลุ่มหนึ่งด้านหลังเขาได้เห็นเหตุการณ์แล้วก็ลอบยิ้มหยัน จักรพรรดิมีสถานะเช่นไร ต่อให้ใช้แผนลวง ก็ไม่มีทางไปจัดการกับประมุขโลกธรรมดาๆ คนหนึ่งหรอก! เสียหน้าเกินไปแล้ว!

ประมุขแสงดาวก็รู้ในจุดนี้ดี เพียงแต่เขาไม่กล้าเสี่ยงอันตราย ถึงอย่างไรคราวนี้พวกเขาก็กำลังยั่วยุจักรพรรดิเป่ยเหออยู่

สวบ! สวบ!

ตงป๋อเสวี่ยอิงพาตัวร่างแปรประมุขแสงดาวบินตรงไปยังเรือปีกบินประกายทองนั้น

“ได้ยินเรื่องราวของจ้าวหิมะเหินแล้วก็อยากจะไปพบหน้าจ้าวท่านในทันที วันนี้ได้พบแล้วก็ได้รู้ว่าไม่ธรรมดาจริงๆ เสียด้วย” จักรพรรดิเป่ยเหอต้อนรับอย่างกระตือรือร้น พร้อมกันนั้นก็ออกคำสั่ง “ไป กลับได้”

เรือปีกบินประกายทองออกเดินทางอีกครั้ง มุ่งสู่เส้นทางกลับ

******

ณ โลกเป่ยเหอ

ภายในวังอันตระการตา ภายในโถงตำหนักหลัก จักรพรรดิเป่ยเหอนั่งอยู่ที่ตำแหน่งประธาน เขาจัดที่นั่งทางซ้ายมือที่แรกให้กับตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยตนเอง ส่วนประมุขแสงดาวก็จัดเป็นตำแหน่งที่สองทางซ้ายมือ ส่วนตำแหน่งอื่นๆ ก็เป็นเหล่าแม่ทัพเทพกลุ่มหนึ่ง

“พรึ่บๆๆ…”

แม่ทัพเทพมาถึงคนแล้วคนเล่า

“จักรพรรดิ”

“จักรพรรดิ”

หลังจากเหล่าแม่ทัพเทพมาถึงแล้วก็พากันทำความเคารพ หลังจากนั้นก็เข้าประจำที่นั่ง

รอจนพร้อมหน้ากันแล้ว แม่ทัพเทพสามสิบหกคนก็มากันถึงสามสิบสี่คน สองคนที่ไม่ได้มาก็คือแม่ทัพเทพควันวายุและแม่ทัพเทพเขมือบเมฆาที่ถูกจับเป็นเชลย! จักรพรรดิเป่ยเหอก็มิได้เอ่ยปากถามถึงเชลยสองคนนั้นเลย

“วันนี้สามารถเชิญตัวจ้าวหิมะเหินมาที่นี่ได้ ข้าก็เบิกบานใจเป็นอย่างยิ่ง ทางด้านวิถีวิญญาณ จ้าวหิมะเหินก็เดินไปไกลกว่าพวกเรามากนัก แม้กระทั่งยอดเคารพ เมื่อเปรียบเทียบกับจ้าวท่านทางด้านวิถีวิญญาณก็ยังด้อยกว่าอยู่มากนัก” จักรพรรดิเป่ยเหอพูด ที่หุบเขาเขี้ยวหัก ตามปกติแล้วก็ต้องให้การเคารพนับถือยอดเคารพอยู่มากพอสมควร! ก็เพราะจักรพรรดิเป่ยเหอมีสถานะสูงส่งพอ จึงกล้าพูดเช่นนี้ออกมาได้

มิฉะนั้นลำพังแค่โทษของการไม่ให้ความเคารพ ก็ต้องมีผู้แกร่งกล้าใต้บังคับบัญชาของยอดเคารพมาสังหารแล้ว!

“หืม”

“จักรพรรดิให้ความสำคัญกับผู้บำเพ็ญหิมะเหินผู้นี้มากเกินไปแล้วกระมัง”

“ให้ความสำคัญมากเกินไปแล้ว”

เหล่าแม่ทัพเทพคิดไปต่างๆ นานา พลางลอบวางแผนอยู่ในใจ

แต่จักรพรรดิเป่ยเหอก็ตบมือเบาๆ

ทันใดนั้นกลุ่มสาวใช้รูปงามก็ยกสุราชั้นเลิศและอาหารอันโอชะนานาชนิดขึ้นมา อาหารอันโอชะวางอยู่ตรงหน้า ตรงกลางของสิ่งเหล่านั้นก็มีจานลายอยู่ใบหนึ่ง บนจานลายก็มีกลีบดอกไม้สีม่วงน้ำเงินกลีบหนึ่งวางอยู่ กลีบดอกไม้มีขนาดใหญ่ประมาณฝ่ามือ มีเนื้ออวบอิ่ม ดมแล้วก็ยังมีกลิ่นหอมด้วย ชวนให้คนน้ำลายสอขึ้นมาอย่างประหลาด ทุกอณูในร่างกายคล้ายกับพากันส่งเสียงร้องตะโกนอยากจะกินกลีบดอกไม้นี้เสียให้เกลี้ยง

“นี่คืออะไรหรือ” ประมุขแสงดาวที่นั่งอยู่ข้างตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นอาหารอันโอชะมากมาย ถึงแม้ว่าจะตกตะลึง แต่ยามที่ได้เห็นกลีบดอกไม้กลีบนี้แล้วกลับปากอ้าตาค้าง “ดอกนกกางเขนหรือ”

ดอกนกกางเขน วัตถุที่อยู่ในตำนานของหุบเขาเขี้ยวหัก

ดอกนกกางเขนดอกหนึ่งมีอยู่สิบแปดกลีบ งานเลี้ยงคราวนี้ แม่ทัพเทพสามสิบสี่คนรวมกับตงป๋อเสวี่ยอิงและประมุขแสงดาวก็มีอยู่สามสิบหกคนพอดี ก็สิ้นเปลืองดอกนกกางเขนมากถึงสองดอก

‘งานเลี้ยงดอกนกกางเขน’ ของจักรพรรดิเป่ยเหอก็จัดเป็นอันดับต้นๆ ของทั้งหุบเขาเขี้ยวหัก พูดถึงมูลค่า กลีบดอกไม้กลีบหนึ่งก็เทียบเคียงได้กับ ‘ผลวิญญาณทิพย์’ ที่ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้เสี่ยงชีวิตเพื่อให้ได้มาในตอนนั้นเลยทีเดียว สิ่งที่สำคัญก็คือกลีบดอกนกกางเขนมีผลลัพธ์อันน่าอัศจรรย์ต่อชนพื้นเมืองดั้งเดิมทุกคน ไม่เหมือนกับผลวิญญาณทิพย์ที่มีผลลัพธ์อันน่าอัศจรรย์ต่อผู้ที่มีส่วนของสายโลหิตอยู่เท่านั้น

จักรพรรดิเป่ยเหอสามารถสั่งการสามสิบหกแม่ทัพเทพได้ ‘ดอกนกกางเขน’ ก็เป็นองค์ประกอบที่สำคัญยิ่ง แต่ ‘ต้นดอกนกกางเขน’ กลับถูกจักรพรรดิเป่ยเหอครอบครองแต่เพียงผู้เดียวมานานแล้ว!

“ข้าจะได้ จะได้กลีบดอกนกกางเขนกลีบหนึ่งจริงๆ น่ะหรือ” ประมุขแสงดาวตื่นเต้นหาใดเปรียบ ในอดีตเขาเพียงแค่เคยได้ยินคนเล่ามาเท่านั้น แม้แต่เห็นก็ยังไม่เคยเห็นวัตถุในตำนานนี่มาก่อนเลยเสียด้วยซ้ำ

“ทุกท่าน พวกเรายกแก้วแล้วดื่มด้วยกันดีกว่า!” จักรพรรดิเป่ยเหอชูแก้วขึ้นพลางส่งเสียงพูดยิ้มๆ

……

งานเลี้ยงคราวนี้มีระดับสูงส่งยิ่งนัก วัตถุวิเศษที่ใช้สร้างวิญญาณขึ้นมาใหม่ และอาหารเลิศรสนานาชนิด ไม่เสียทีที่เป็นงานเลี้ยงดอกนกกางเขน

นี่ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงที่เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างลอบประหลาดใจว่าจักรพรรดิเป่ยเหอผู้นี้กระตือรือร้นมากเกินไปแล้วหรือไม่ นึกอยากจะชดเชยให้กับการพิพาทก่อนหน้านี้ แต่ก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องทำเช่นนี้เลย

งานเลี้ยงใช้เวลาไปครึ่งวันจึงสิ้นสุดลง

จักรพรรดิเป่ยเหอมาเชื้อเชิญตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยตนเอง คนทั้งสองเดินเคียงไหล่กันอยู่ท่ามกลางสวนอันกว้างใหญ่

“จักรพรรดิมีสิ่งใดที่อยากพูด ตอนนี้ก็ได้โปรดพูดมาให้หมดเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด

“เจ้าเดาได้ด้วยหรือว่าข้ามีเรื่องที่อยากจะพูดกับเจ้า” จักรพรรดิเป่ยเหออมยิ้มน้อยๆ

“ถ้าหากไม่มีเรื่องอันใด ดอกนกกางเขนสองดอกสำหรับตกแต่งงานเลี้ยงงานหนึ่งก็เป็นสิ่งที่ฟุ่มเฟือยมากเกินไปแล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด แม้กระทั่งเขาที่เป็นผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง ยามที่กินกลีบดอกนกกางเขนกลีบนั้นลงไปก็ยังรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า รู้สึกได้ถึงพลังอันไร้รูปร่างแผ่ซ่านภายในร่างกายหล่อเลี้ยงไปทั่วทั้งร่าง ทำให้ร่างกายเกิดความเปลี่ยนแปลงในจุดที่ละเอียดอ่อนมากมาย ระดับความแข็งแกร่งของร่างกายก็เพิ่มพูนขึ้นถึงสองส่วนด้วยเหตุนี้

แน่นอนว่าก่อนหน้านี้ถึงแม้ว่าจะเทียบเคียงได้กับเทพจักรวาลขั้นสุดยอดอย่างพอถูไถ ฝึกกายไหลเวียนในร่างกาย แต่ร่างกายเช่นนี้เมื่อเปรียบเทียบกับระดับจักรพรรดิของหุบเขาเขี้ยวหักก็แตกต่างกันอย่างมหาศาลเลยทีเดียว

กลีบดอกนกกางเขนนี้ทำให้ร่างกายของตนยกระดับขึ้นถึงสองส่วน ในความเป็นจริงแล้วก็ช่างสิ้นเปลืองนัก! หากให้ผู้แกร่งกล้าระดับอ๋องของชนพื้นเมืองดั้งเดิมได้ใช้ ผลลัพธ์ก็จะยิ่งมหัศจรรย์

“ฮ่าฮ่า งานเลี้ยงต้อนรับจ้าวหิมะเหินทั้งที ดอกนกกางเขนแค่สองดอกจะนับเป็นอะไรได้เล่า”

จักรพรรดิเป่ยเหอมองไปยังฟากฟ้าอันไร้ที่สิ้นสุดไกลออกไปแล้วพูดพลางยิ้มน้อยๆ “ไม่รู้ว่าจ้าวหิมะเหินอยากจะแบ่งปันใต้หล้านี้กับข้าหรือไม่ สมบัติล้ำค่าของข้าก็เป็นของข้าครึ่งหนึ่ง ของเจ้าครึ่งหนึ่ง!”

ตงป๋อเสวี่ยอิงตะลึงงันไปเสียแล้ว

……………………………………………….