ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด ตอนที่ 31 การตื่นรู้ขั้นสุดยอดของชนพื้นเมืองดั้งเดิม

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

สมบัติล้ำค่าของจักรพรรดิเป่ยเหอ จะแบ่งให้ตนครึ่งหนึ่งอย่างนั้นหรือ

ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้กระจ่างดียิ่งว่า ‘จักรพรรดิเป่ยเหอ’ ผู้จัดเป็นอันดับหนึ่งภายใต้ยอดเคารพนั้นมีอำนาจอยู่ในระดับใด สมบัติล้ำค่าที่มีอยู่มากมายเพียงใด! ต่างก็ว่ากันว่าสมบัติล้ำค่าจำนวนนับไม่ถ้วนของ ‘หุบเขาเขี้ยวหัก’ ต้องอาศัยโชคชะตาเป็นอย่างมาก ทำให้ผู้บำเพ็ญและเหล่าผู้แกร่งกล้าเข้ามาเสี่ยงอันตรายแสวงโชคกันกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า แต่ในความเป็นจริงแล้วที่เป็นสุดยอดจริงๆ ส่วนใหญ่ต่างก็ถูกยึดครองไปแต่เพียงผู้เดียวแล้ว!

ห้ายอดเคารพ และแปดผู้วิเศษในหมู่สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับล่าง รวมถึงบรรดาจักรพรรดิกลุ่มหนึ่งด้วย…

ผู้ที่พลังยุทธ์แข็งแกร่งในบรรดาคนเหล่านี้ อะไรที่ครอบครองได้ก็ครอบครองกันไปนานแล้ว!

ก็มีแต่สิ่งที่ไม่เห็นอยู่ในสายตาเท่านั้นที่ยอมปล่อยให้บรรดาผู้บำเพ็ญไปแย่งชิงกัน

“ว่าอย่างไร ไม่เชื่อหรือ” จักรพรรดิเป่ยเหอมองตงป๋อเสวี่ยอิง

“จักรพรรดิพูดเช่นนี้มีเจตนาอะไรหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองจักรพรรดิเป่ยเหอ

“ก็อย่างที่ข้าพูดนั่นแหละ! สมบัติล้ำค่าของข้า หรือแม้กระทั่งสมบัติล้ำค่าที่จะได้มาในภายภาคหน้า ทั้งหมดก็เป็นของเจ้าครึ่งหนึ่ง ของข้าครึ่งหนึ่ง! ทั้งหมดทั้งมวลแบ่งเป็นครึ่งหนึ่งเท่าๆ กัน!” จักรพรรดิเป่ยเหอมองตงป๋อเสวี่ยอิง “แม้กระทั่งสามสิบหกแม่ทัพเทพใต้บังคับบัญชาของข้า แต่ไหนแต่ไรข้าก็ไม่เคยพูดกับพวกเขาเช่นนี้มาก่อนเลยแม้แต่คนเดียว! เจ้าเป็นคนแรกที่มีคุณสมบัติพอจะให้ข้าพูดเช่นนี้ได้”

“บนโลกนี้ไม่มีผลประโยชน์อันใดที่ไม่มีเหตุมีผลหรอก สมบัติล้ำค่าของจักรพรรดิคงจะไม่ได้ได้มาอย่างง่ายๆ หรอกกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “ข้าต้องแลกมาด้วยอะไรหรือ”

“ฮ่าฮ่าฮ่า… ก็ไม่เห็นจะมีอะไร ก็แค่เป็นพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายกับข้าเท่านั้นเอง” จักรพรรดิเป่ยเหอพูด “ขุมอำนาจทางด้านนี้ของข้า นับจากวันนี้เป็นต้นไป สถานะของเจ้าก็อยู่ในระดับเดียวกันกับข้า เป็นจักรพรรดิหิมะเหิน! คำสั่งของเจ้าก็คือคำสั่งของข้า”

“สถานะของอยู่ในระดับเดียวกันอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้ว “หากข้าบอกว่าให้หยุดการโจมตีโลกมากมายเหล่านั้นเล่า”

“เช่นนั้นก็ต้องหยุดสิ!” จักรพรรดิเป่ยเหอพูดยิ้มๆ

“อาณาเขตที่จักรพรรดิเคยปกครองในตอนแรก ให้พวกเขากลับคืนสู่อิสรภาพเล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดอีก

“ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่า คำพูดของเจ้า ก็คือคำพูดของข้า!” จักรพรรดิเป่ยเหอมองตงป๋อเสวี่ยอิง

ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสได้ถึงความจริงใจของจักรพรรดิเป่ยเหอแล้ว

แต่การทอดทิ้งใต้หล้า

แบ่งสมบัติล้ำค่าทั้งหมดให้ตนครึ่งหนึ่ง เพื่ออะไรกัน

“น้องหิมะเหิน! เจ้าอย่าได้ดูถูกตนเอง” จักรพรรดิเป่ยเหอพูดยิ้มๆ “ที่ก่อนหน้านี้ข้าพยายามควบคุมโลกมากมายเอาไว้ใต้บังคับบัญชาก็เพื่อทำให้มีผู้แกร่งกล้ามาให้ข้าใช้ประโยชน์มากยิ่งขึ้น! ฟังคำสั่งของข้า เช่นนี้ข้าจึงจะสามารถครองความได้เปรียบของการต่อสู้ทั่วทั้งหุบเขาเขี้ยวหัก จึงจะได้สิ่งที่ข้าต้องการมามากยิ่งขึ้นได้”

“ถ้าหากมีเพียงแค่ชื่อจักรพรรดิเพียงอย่างเดียว ผู้ใต้บังคับบัญชาแต่ละคนเป็นอิสระ ผู้ที่ฟังคำสั่งข้าจริงๆ ก็คงมีน้อยยิ่งกว่าน้อย เช่นนั้นเป็นจักรพรรดิไปแล้วจะมีประโยชน์อันใดกันเล่า” จักรพรรดิเป่ยเหอมองตงป๋อเสวี่ยอิง “แต่ถ้าหากข้ามีเจ้าช่วยเหลือ เช่นนั้นก็ไม่เหมือนกันแล้วล่ะ”

“เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้า จำนวนก็ไม่มีความหมายเลย”

จักรพรรดิเป่ยเหอส่ายศีรษะ “เหล่าแม่ทัพเทพที่อ่อนแอสักหน่อย เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าก็เป็นเรื่องน่าขันแล้ว! อย่างเช่นระดับแม่ทัพเทพโครงกระดูกไม่กี่คนนั้นน้อยจนสามารถนับนิ้วได้ ถึงแม้ว่าจะฝืนรักษาพลังรบเอาไว้ได้สักเล็กน้อย แต่พลังยุทธ์เล็กน้อยที่ฝืนรักษาเอาไว้ได้นั้นสำหรับข้าแล้วก็ไม่ควรค่าแก่การพูดถึงเลย”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นด้วย

แม่ทัพเทพโครงกระดูก เดิมทีก็อ่อนกว่าจักรพรรดิเป่ยเหออยู่ขั้นหนึ่งอยู่แล้ว

เมื่ออยู่ภายใต้เขตลวงของตน พลังยุทธ์ก็เหลืออยู่เพียงแค่สามส่วนเท่านั้น! ก็ยิ่งห่างชั้นกับจักรพรรดิเป่ยเหอเข้าไปใหญ่ จะสามารถเอาชีวิตรอดจากการเผชิญหน้ากับจักรพรรดิเป่ยเหอได้หรือไม่นั้นก็ยังยากที่จะพูดได้

“ส่วนจักรพรรดิคนอื่นๆ น่ะหรือ! เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้า พลังยุทธ์ก็จะลดลงไปอย่างมหาศาลเช่นกัน เดิมทีข้าก็เข้าใกล้ระดับยอดเคารพมากที่สุดอยู่แล้ว ถ้าหากพลังยุทธ์ของบรรดาจักรพรรดิเหล่านั้นยิ่งลดลงไปอีกก็มิใช่คู่ต่อสู้ของข้าแล้วล่ะ” จักรพรรดิเป่ยเหอมองตงป๋อเสวี่ยอิง “ส่วนห้ายอดเคารพ! ห้ายอดเคารพก็เป็นเพียงแค่ระดับจักรพรรดิขั้นสมบูรณ์เท่านั้น วิญญาณมิได้มีการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพไปจากระดับจักรพรรดิขั้นต้นเลย เพียงแต่ปณิธานไม่ธรรมดามากกว่าเท่านั้น เมื่อพวกเขาอยู่ภายใต้เคล็ดวิชาวิญญาณของเจ้า เกรงว่าพลังยุทธ์ก็ต้องลดต่ำลงไปไม่น้อย! หลังจากที่พลังยุทธ์ลดต่ำลงไปแล้วก็คงจะมิได้แตกต่างไปจากข้าสักเท่าใดนัก”

“เจ้ากับข้าร่วมมือกัน! ก็เทียบเคียงได้กับยอดเคารพ!”

“เจ้ากับข้าร่วมมือกัน ระดับจักรพรรดิกลุ่มหนึ่งร่วมมือกันอยู่ตรงหน้าพวกเราก็เป็นเรื่องน่าขันทั้งสิ้น” จักรพรรดิเป่ยเหอมองตงป๋อเสวี่ยอิง “เหล่ายอดเคารพ เมื่อเผชิญหน้ากับระดับจักรพรรดิจำนวนมากพอสมควรร่วมมือกันก็ต้องยุ่งยากอยู่บ้าง แต่พวกเรากลับไม่มีข้อบกพร่องอันใดเลย เจ้ากับข้าร่วมมือกันถึงจะลงตัวที่สุด เพียงพอที่จะกร่างไปทั่วทั้งหุบเขาเขี้ยวหักได้เลย! ทรัพยากรที่พวกเราได้รับมาก็จะมากมายกว่าตอนนี้เสียอีก!”

จักรพรรดิเป่ยเหอมองตงป๋อเสวี่ยอิง “น้องหิมะเหิน เจ้าคงจะเข้าใจในความจริงใจของข้าแล้วกระมัง!”

ตงป๋อเสวี่ยอิงกระจ่างแจ้ง

ใช่แล้ว

เดิมทีจักรพรรดิเป่ยเหอก็อ่อนแอกว่ายอดเคารพอยู่เพียงแค่ขั้นเดียวเท่านั้น หากมีตนช่วยเหลือก็ต้องสามารถต่อสู้อย่างสูสีกับยอดเคารพได้อย่างแน่นอน! ต่อให้ยังมีความแตกต่างอยู่ ความแตกต่างก็น้อยนิดเสียจนสามารถมองข้ามได้แล้ว

สำหรับการล้อมโจมตีอย่างนั้นหรือ เมื่อเผชิญกับเคล็ดวิชาวิญญาณก็เป็นเรื่องน่าขันเช่นเดียวกัน!

“พวกข้าบำเพ็ญมาจนถึงระดับในตอนนี้ เพื่อไขว่คว้าอะไรกันหรือ” จักรพรรดิเป่ยเหอแววตาสว่างไสว “สิ่งที่ไขว่คว้าก็คือระดับคละถิ่นอันลึกลับนั่นอย่างไรเล่า! ระดับขั้นนั้นจึงจะเรียกได้ว่าหนีออกจากกรงขังอย่างแท้จริง! ตอนนี้พวกเราก็เป็นเพียงแค่มดปลวกที่อยู่ภายในกรงขังเท่านั้นเอง”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นด้วยอยู่ในใจ

หนีออกจากกรงขังหรือ

ยามที่สอดแนมโลกระดับที่สูงขึ้น ‘เคล็ดวิชาการสอดแนมส่งถ่ายทลายโลกา’ ตนเองสามารถสอดแนมโลกกำเนิดสักแห่งหนึ่งได้ในทันที เพียงแต่ว่ายิ่งเป็นสถานที่ไกลออกไปก็ยิ่งเลือนราง! ได้ยินว่าหลังจากไปถึง ‘ขั้นสุดยอด’ แล้ว วิธีการต่างๆ ก็จะยิ่งน่าอัศจรรย์ เช่นเจ้าศิลา ร่างกายสามารถไปอยู่ได้ทั่วทุกหนแห่ง สามารถตรวจสอบทั่วทุกหนแห่งในโลกกำเนิดได้ในทันที

นี่จึงจะเป็นวิธีการของเทพจักรวาลขั้นสุดยอด

ถ้าหากหนีออกจากกรงขังได้ วิธีการก็จะยิ่งเหนือจินตนาการ! ยิ่งเข้าไปใกล้ก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความพิเศษของระดับขั้นนั้น นั่นก็คือการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพของการหนีออกจากกรงขัง!

ถ้าหากความมุ่งมาดปรารถนาของเหล่าเทพจักรวาลต่อการเป็น ‘ขั้นสุดยอด’ เป็นหนึ่งแล้วล่ะก็ ความมุ่งมาดปรารถนาต่อการหนีออกจากกรงขังนั้นก็คือหนึ่งร้อย หนึ่งพัน หนึ่งหมื่น!

“พวกเราชนพื้นเมืองดั้งเดิมกับพวกเจ้าผู้บำเพ็ญนั้นไม่เหมือนกัน” จักรพรรดิเป่ยเหอพูด “พูดขึ้นมาแล้ว พวกเรากับชนเผ่ามรณะทมิฬจึงจะนับได้ว่ามีต้นกำเนิดเดียวกัน”

ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวใจสั่นไหว

“เจ้ารู้หรือไม่ ในตำนานบอกว่ามีซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่น่าหวาดกลัวสองร่างอยู่ที่หุบเขาเขี้ยวหัก”

จักรพรรดิเป่ยเหอพูด “ซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นสองร่างนี้จึงจะเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่มีความหมายจริงๆ วิธีการเหนือกว่าจะจินตนาการได้ พวกมันต่างก็เคยห้ำหั่นกับ ‘หยวน’ อย่างบ้าคลั่งมาก่อน ถึงแม้ว่าหยวนจะถูกโจมตีอย่างสาหัส ซากศพทั้งสองนี้ก็ถูกโยนไปกลางหุบเขาเขี้ยวหัก พวกมันแข็งแกร่งเกินไปแล้ว แม้กระทั่งกลิ่นอายเล็กน้อยที่เหลือทิ้งเอาไว้ก็ยังเพียงพอที่จะทำให้ระดับอ๋องธรรมดาๆ ตกใจตาย และกดดันระดับจักรพรรดิได้!”

ตงป๋อเสวี่ยอิงนึกถึงดวงตาสีเทานั้นขึ้นมา ตนเองเพียงแค่สัมผัสเท่านั้น ร่างแยกก็สูญสลายไปในทันทีแล้ว

“พวกเราชนพื้นเมืองดั้งเดิมและชนเผ่ามรณะทมิฬก็มีต้นกำเนิดมาจากซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่แข็งแกร่งสองร่างนี้แหละ” จักรพรรดิเป่ยเหอพูด “พวกเราชนเผ่าพื้นเมืองดั้งเดิมยังดี ได้ครองสายโลหิตของสิ่งมีชีวิตคละถิ่น เชาวน์ปัญญาก็นับได้ว่าสูง ชายหญิงให้กำเนิดบุตรออกมา ก็ย่อมขยายเผ่าพันธุ์ได้”

“แต่เผ่ามรณะทมิฬไม่เหมือนกัน! เหตุใดเผ่ามรณะทมิฬจึงถูกเรียกด้วยชื่อนี้ ก็เพราะพวกมันกำเนิดมาจากความตาย พวกมันไม่มีบิดามารดา ถือกำเนิดออกมาจากกลิ่นอายความตายของเกาะลอยคว้างเพียงอย่างเดียวล้วนๆ” จักรพรรดิเป่ยเหอพูด “ดังนั้นเชาวน์ปัญญาของพวกมันเกือบทั้งหมดจึงได้ต่ำต้อยไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉาน! รู้จักแต่การสังหารและกลืนกินเท่านั้น!”

จักรพรรดิเป่ยเหอมองตงป๋อเสวี่ยอิง “พวกเราสองเผ่าพันธุ์นี้ เพราะสิ่งที่สิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่แกร่งกล้าสองร่างนั้นเหลือทิ้งเอาไว้ให้ พลังยุทธ์จึงได้แข็งแกร่งกว่าพวกเจ้าผู้บำเพ็ญ มีสิ่งที่เรียกว่า ‘ระดับจักรพรรดิ’ เพิ่มขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง”

“อืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

ระดับจักรพรรดิ

เป็นระดับขั้นที่เพิ่มขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งจริงๆ!

ในบรรดาผู้บำเพ็ญ แม้กระทั่งผู้ที่มี ‘สุดยอดเคล็ดสืบทอดลับ’ อยู่ อย่างเช่นจอมกระบี่ พลังรบก็เพียงแค่เทียบเคียบกับระดับอ๋องขั้นสมบูรณ์เท่านั้น!

บุคคลผู้ไร้เทียมทานที่มีความช่วยเหลือจากพลังภายนอกอย่างสุดยอดสมบัติลับล้ำค่า! บรรพชนราตรีนิรันดร์ บรรพชนฝาน จักรพรรดิชาง บรรพชนนิจรัตติกาล และประมุขรัฐเสียดฟ้า ก็นับได้ว่าเป็นระดับอ๋องขั้นสมบูรณ์อย่างพอถูไถเท่านั้น

จักรพรรดิเซี่ยและราชันย์อนธการอมตะต่างก็มีวิถีสองสายที่ไปถึงขั้นสุดยอด…จึงได้ทำลายขีดจำกัดของโลกนี้ได้!

“ระดับจักรพรรดินั้นยากเย็นเกินไปสำหรับผู้บำเพ็ญเสียแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด

“ยากหรือ” จักรพรรดิเป่ยเหอแค่นหัวเราะ “ข้าได้ยินมาว่ายิ่งพวกเจ้าผู้บำเพ็ญระดับขั้นยิ่งสูงส่งลึกล้ำ มีบางคนที่สามารถควบคุมแหล่งกำเนิดของโลกกำเนิดสักแห่งหนึ่ง กลายเป็นเจ้านายของโลกกำเนิดสักแห่งหนึ่งได้ มีโลกกำเนิดอันใหญ่โตมโหฬารสักแห่งหนึ่งเป็นพื้นฐาน กลายเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่แกร่งกล้าได้ในทันที มีบางคนที่เผยแพร่ความเชื่อ ทำให้สรรพชีวิตเชื่อถือศรัทธา แล้วอาศัยปณิธานของสรรพชีวิตส่งผลกระทบต่อแหล่งกำเนิดของโลกกำเนิด ควบคุมโลกกำเนิด หรือแม้กระทั่งมีบางคนที่ระดับขั้นสูงขึ้นไปอีก ก็ยิ่งล้ำเลิศ ถึงกับใช้พลังทำลายกฎ! จนไปถึงระดับขั้นที่สูงยิ่งกว่าทางด้านกฎเกณฑ์ได้”

“พวกเจ้าเป็นผู้ที่เดินขึ้นมาทีละก้าวๆ จากผู้อ่อนแอ”

“สำเร็จเป็นขั้นคละถิ่น นั่นก็ต้องแทรกผ่านกฎเกณฑ์ สำหรับการสำแดงพละกำลังนั้นก็ลึกลับเป็นที่สุด” จักรพรรดิเป่ยเหอเอ่ยอย่างขมขื่น “พวกเราแตกต่างกัน ตอนนี้ในภาพรวมพวกเราก็แข็งแกร่งกว่าพวกเจ้าผู้บำเพ็ญแต่ก็เป็นเพียงเพราะความพิเศษของความเป็นมาของเผ่าพันธุ์เท่านั้น สิ่งที่พวกเราบำเพ็ญก็คือพลังของสายโลหิต เมื่อเทียบกันแล้วพลังเช่นนี้ก็ยกระดับขึ้นมาได้เร็วกว่า แต่ยิ่งไปในภายหน้าก็ยิ่งยาก”

“แต่ระดับจักรพรรดิขั้นสมบูรณ์ก็เป็นจุดสูงสุดที่พวกเรารู้แล้ว!” จักรพรรดิเป่ยเหอพูด “หยวนเคยบอกกับเผ่าพันธุ์ของพวกเรา บอกว่าเพียงแค่ก้าวออกไปจากระดับจักรพรรดิขั้นสมบูรณ์อีกเพียงก้าวเดียว ก็คือสายโลหิตการตื่นรู้ขั้นสุดยอดแล้ว! กลับคืนสู่บรรพบุรุษอย่างแท้จริง เปลี่ยนแปลงกลายเป็นสายพันธุ์เดียวกันกับ ‘บรรพบุรุษ’ ของเผ่าพันธุ์เรา เป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่แท้จริง เผ่าพันธุ์ของบรรพบุรุษของพวกเราก็มิใช่สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับล่างอย่างหุบเขาเขี้ยวหักจะสามารถเปรียบได้”

“แต่ก้าวนี้ ในตำนานก็เคยมีผู้ที่ทำได้มาก่อน แต่จนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีที่หุบเขาเขี้ยวหักเลย” จักรพรรดิเป่ยเหอมองตงป๋อเสวี่ยอิง “เส้นทางการตื่นรู้ขั้นสุดยอดของพวกเรานั้นยากลำบากอย่างยิ่ง

นอกจากตัวเองแล้วก็ยังต้องการความช่วยเหลือจากวัตถุภายนอกต่างๆ ด้วย”

……………………………………………..