ตอนที่ 1450 ศึกในตรอกของทาคิลา

Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ

ตอนที่ 1450 ศึกในตรอกของทาคิลา โดย Ink Stone_Fantasy

หลายวันต่อมา

ทางใต้ของที่ราบลุ่มบริบูรณ์ ณ สถานีหมายเลขสิบ

โบแชงหมอบอยู่นอกป้อมปืน สายตามองออกไปยังเมืองโบราณที่อยู่ห่างออกไป เธอเคยอ่านในหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์และรู้ว่านั้นคืออดีตเมืองทาคิลาของแม่มดในประวัติศาสตร์ ปีศาจข้ามน้ำข้ามทะเลมาเพื่อยึดมัน แต่สุดท้ายก็ถูกกองทัพที่หนึ่งโจมตีจนล่าถอยไป

และตอนนี้ พวกเขาก็กำลังชิงทาคิลากลับมาอีกครั้งจากศัตรูหน้าใหม่

หนึ่งนาที….สามสิบวินาที….สิบวินาที

เธอนับเลขอยู่ในใจ อีกด้านหนึ่งก็เอามือปิดหูเอาไว้

“ปังๆๆๆ” ด้านหลังเธอมีเสียงปืนใหญ่ดังขึ้นมา แรงสั่นสะเทือนส่งผ่านจากพื้นผ่านขึ้นมาถึงตัวรถอย่างต่อเนื่อง เธอรู้สึกแขนทั้งสองข้างชาเล็กน้อย นั่นคือปืนใหญ่ป้อม 152 มม. ของกองพลปืนใหญ่ที่กระหน่ำยิงใส่ศัตรู เมื่อเทียบกับปืนใหญ่สนามสั้นๆ ที่อยู่บนรถถังกระบอกนี้แล้ว อานุภาพของมันเรียกได้ว่าอยู่กันคนละชั้น

“หัวหน้า หัวหน้ายังไม่ชินกับปืนใหญ่อีกเหรอ?” เบย์ที่เป็นพลขับรถถังถามหยอกล้อขึ้นมา เขานั่งขัดสมาธิอยู่ตรงด้านหน้ารถถัง ในมือถืออาหารกระป๋องอยู่กระป๋องหนึ่ง และนี่ก็เป็นจุดหนึ่งที่เธอค่อนข้างนับถืออีกฝ่าย ถึงแม้จะอยู่บนสนามรบที่กองไปด้วยซากศพและกลิ่นเหม็นตลบอบอวล แต่เขาก็ยังกินอาหารได้ตามปกติ “แบบนี้ไม่ได้นะ ท่านต้องเรียนรู้ที่จะทำให้หูตัวเองกรองเอาเสียงที่ไม่เกี่ยวข้องพวกนั้นออกไป ถึงจะสามารถรักษาสมาธิเอาไว้ได้”

“ข้าว่าเจ้าแค่หูไม่ดีมากกว่ามั้ง” โบแชงมองไปทางอื่นด้วยสีหน้าด้วยราบเรียบ ถึงแม้คนขับรถถังและคนยิงปืนใหญ่จะเป็นทหารที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ แต่ตามกฎแล้ว กัปตันบนรถต่างหากที่เป็นหัวหน้าหน่วย ยิ่งไปกว่านั้นถ้านับตามอายุจริงๆ แล้ว ไม่แน่เธออาจจะอายุมากกว่าสองคนนี้อยู่หน่อยด้วย “เสียงเดียวที่ข้าต้องตั้งใจฟังคือเสียงของรูนกรีดร้อง — ไม่ใช่ทั้งเสียงปืนใหญ่ แล้วก็เสียงพูดไร้สาระของเจ้าด้วย เข้าใจไหม?”

“หัวหน้า…ท่านพูดจาใจร้ายจัง” เบย์จุ๊ปาก “ข้านึกว่าแม่มดจะอ่อนโยนน่ารักเสียอีก เหมือนกับคุณหนูนางฟ้านาน่าอย่างนั้นอะ…”

“เมื่อห้าปีก่อนแม่มดยังเป็นเขี้ยวเล็บของปีศาจ เป็นร่างจำแลงของความชั่วร้ายอยู่เลย”

“เอ่อ ท่านทำแบบนี้จะไม่มีคนชอบนะ”

“ใครว่าล่ะ ข้าว่าหัวหน้าเป็นแบบนี้ดีออก” ชูว์ที่เป็นพลยิงปืนใหญ่พูดแทรกขึ้นมา “ตรงไปตรงหน้า ความสามารถก็แข็งแกร่ง ไม่เคยเข้าร่วมกองทัพมาก่อน แต่กลับปรับตัวเข้ากับสนามรบได้อย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นคนที่เหมาะจะเป็นหัวหน้าทีมที่สุดแล้ว”

ทั้งสองคนหันไปมองชูว์

อีกฝ่ายงุนงง “ทำไม ข้าพูดอะไรผิดงั้นเหรอ?”

“เปล่า” โบแชงยักไหล่ “ถึงแม้ตอนที่ฝึกซ้อมจะยิ่งเข้าเป้าเก้านัดจากทั้งหมดสิบนัด แต่เจ้าก็ไม่ถือว่าไร้ประโยชน์เนอะ”

พลยิงปืนใหญ่ทำสีหน้ามีความสุขขึ้นมา

“เอาล่ะๆ เปลี่ยนเรื่องกันดีกว่า” เบย์รีบเปลี่ยนประเด็น “เออใช่ หัวหน้า ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ที่สถานีหมายเลขเก้า คนที่รอท่านอยู่นอกค่ายเป็นใครเหรอ? เขาเหมือนจะสวมเครื่องแบบของกองทัพด้วย หรือว่าเขาเป็นเพื่อนของท่าน?”

“เจ้าถามเรื่องนี้ทำไม”

เบย์พูดอย่างเขินๆ ว่า “ข้าเห็นตรงหน้าอกเขามีตราติดเอาไว้อยู่ ก็เลยอย่างรู้จักหน่อยน่ะ คนที่ได้รับตราล้วนแต่ไม่ใช่คนธรรมดา เขาจะต้องเป็นคนที่สุดยอดมากแน่”

“จริงอยู่ที่ข้ารู้จัก แต่เขาไม่ได้สุดยอดอะไรขนาดนั้น ถ้าไม่มีข้าล่ะก็ ป่านนี้เขาคงกลายเป็นอาหารของพวกสัตว์อสูรไปแล้ว” โบแชงแสร้งสีหน้าเหมือนไม่ใส่ใจ แต่น้ำเสียงกลับอ่อนโยนลงไม่น้อย

“ว้าว มาตรฐานท่านสูงเกินไปหรือเปล่าเนี่ย..”

อีกฝ่ายยังไม่ทันพูดจบ เธอก็เอามือขึ้นมาอุดหูไว้

เสียงปืนใหญ่ดังสนั่นแก้วหูขึ้นมาอีกครั้ง

เบย์ที่ไม่ทันได้ตั้งตัวทำหน้าเหยเกขึ้นมาทันที

หลังเสียงปืนใหญ่ครั้งนี้ดังผ่านไป ไฟสัญญาณสีเขียวสามดวงก็ถูกยิงขึ้นมา นั่นคือสัญญาณการบุก

“ดูเหมือนเจ้าก็ไม่ได้มีสมาธิเท่าไรนะ” โบแชงตบแผ่นเหล็กที่อยู่ด้านข้างป้อมปืน “หน่วยรถถังที่ 12 ออกเดินทางได้!”

เบย์ไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับมา หากแต่โยนอาหารกระป๋องในมือทิ้งไปพร้อมกับไถลตัวผ่านหน้าต่างห้องคนขับเข้าไปในตัวรถ ชูวเองก็หดตัวกลับเข้าไปในป้อมปืนใหญ่แคบๆ เหมือนเตรียมพร้อมสู้รบ ไม่ว่าในเวลาปกติจะเป็นอย่างไร แต่พอถึงเวลาสำคัญ ทั้งสองคนก็ไม่ได้เชื่องช้างุ่มง่ามเลยแม้แต่น้อย

โบแชงยกกล้องส่องทางไกลขึ้นมา ก่อนจะเป็นเห็นสัตว์อสูรจำนวนมากแห่ออกมาจากซากเมืองทาคิลาแล้ววิ่งหนีไปทางเหนือท่ามกลางการกระหน่ำยิงของปืนใหญ่ และเมื่อหันไปมองด้านหลัง ทหารของกองทัพที่หนึ่งได้แบ่งออกเป็นหน่วยเล็กๆ หลายสิบหน่วยพร้อมกับเดินตามรอยล้อรถถัง

กระบวนทัพนี้เห็นได้ชัดว่าเอาไว้จัดการกับสัตว์อสูรพันธุ์ผสม

ยิ่งลึกเข้าไปในที่ราบลุ่ม จำนวนอสูรมีดที่พวกเขาเจอก็ยิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ จากตอนแรกที่เจอ 2 – 3 วันตัว ตอนนี้เจอวันละหลายตัว เนื่องจากยากที่จะสังเกตพวกมันได้ด้วยตาเปล่า ด้วยเหตุนี้พวกมันจึงรับมือได้ยากกว่าสัตว์อสูรทั่วไป กลยุทธ์ของเบื้องบนนั้นใช้ได้ผลทีเดียว ‘รูนกรีดร้องและรูนเสียงสะท้อน’ สามารถค้นหาเป้าหมายนอกระยะยิงของปืนใหญ่ลำกล้องสั้นได้ จากนั้นจึงกำจัดพวกมันทิ้ง แต่ว่าศัตรูเหมือนจะไม่ได้เป็นสัตว์ป่าธรรมดาๆ

พวกมันสามารถหลบอยู่ด้านหลังวัตถุต่างๆ จากนั้นก็พุ่งโจมตีเข้าใส่กองทัพที่หนึ่งอย่างฉับพลัน การโจมตีของปืนใหญ่สามารถทำให้พวกสัตว์อสูรตกใจกลัวจนหนีไปได้ แต่กลับทำให้พวกมันกลัวไม่ได้ ด้วยเหตุนี้้กองทัพที่หนึ่งจึงสูญเสียกำลังไปไม่น้อยกว่าจะยึดเอาป้อมปราการที่ตั้งอยู่ตามรางรถไฟกลับมาได้ หลังจากสูญเสียกำลังไปส่วนหนึ่งแล้ว กองทัพที่หนึ่งก็รีบวางกลยุทธ์โดยให้รถหุ้มเกราะเป็นหัวใจสำคัญขึ้นมาทันที เดิมทีกองพันปืนให้รถถังทำหน้าที่เป็นผู้สอดแนมเท่านั้น แต่ตอนนี้พวกเขาเรียนรู้ที่จะใช้รถถังในการกวาดล้าง

ซากเมืองทาคิลาที่อยู่ตรงหน้าคือสนามรบนอกป่าที่มีความซับซ้อนมากที่สุดในตอนนี้

หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง หน่วยรถถังที่ 12 ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวหน้าได้ขับเข้าไปในเมืองทาคิลา ทางด้านข้างของโบแชงคือหน่วยรถถังที่ 9 และหน่วยรถถังที่ 17 ตามแผนที่วางเอาไว้ พวกเธอจะรับหน้าที่เก็บกวาดลานที่อยู่ทางตะวันตกของถนนหลัก เพื่อชิงเอาบังเกอร์สองแห่งที่ตั้งอยู่ตรงนี้กลับมา

เมื่อมองดูรอบๆ โบแชงพลันรู้สึกขนลุกขึ้นมา สิ่งก่อสร้างที่สร้างขึ้นจากอิฐจำนวนมากทำให้ภายในเมืองดูซับซ้อนอย่างยิ่ง แล้วก็ทำให้ขอบเขตการสอดแนมของรูนกรีดร้องลดลงอย่างมากด้วย ตอนนี้เธอสังเกตเห็นแหล่งพลังเวทมนตร์อยู่หลายที่ แต่กลับยังไม่สามารถระบุตำแหน่งเป้าหมายได้

“ก่อนหน้านี้พวกเจ้ายึดที่นี่ได้ยังไง?”

“ง่ายมาก แค่ทำลายหอหมอกแดงกับปีศาจโครงกระดูกพวกนั้น ปีศาจก็จะถอยไปเอง” ชูว์ตอบ “ท่านเจอศัตรูแล้วเหรอ?”

“ยังไม่เจอ แต่สิ่งที่มั่นใจได้ก็คือในเมืองนี้มีสัตว์ประหลาดซ่อนตัวอยู่ไม่น้อย” โบแชงพูดจบก็หันไปส่งสัญญาณมือให้ทหารที่อยู่ด้านหลัง เพื่อให้พวกเขาขยับเข้ามาใกล้รถถัง ขณะเดียวกันก็ทิ้งระยะห่างออกมาจากหน่วยรถถังอีกสองหน่วย

หลังจากนั้นไม่นาน บังเกอร์ซีเมนท์สีเทาหลังหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาตรงปลายสุดของถนน ถึงแม้กองทัพที่หนึ่งจะถูกบีบให้ทิ้งที่นี่ไป แต่สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ก็ไม่ได้ถูกศัตรูทำลาย

ในขณะเดียวกัน เสียงกรีดร้องเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาอย่างชัดเจน

โบแชงขมวดคิ้วขึ้นมา นั่นไม่ได้เสียงของอสูรมีด

เธอมองเอมี่ที่เป็นหัวหน้าหน่วยรถถังที่เก้า อีกฝ่ายส่ายหัวเพื่อบอกว่าตัวเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

และในตอนที่ขับผ่านบังเกอร์ เสียงร้องของรูนก็ดังขึ้นมาจนกระทั่งเบย์ก็ยังได้ยิน

เพื่อความปลอดภัย เธอจึงให้หน่วยรถถังอีกสองหน่วยหยุดลงก่อน ส่วนตัวเองตัดสินใจจะเข้าไปสำรวจดูในจัตุรัสก่อน พร้อมทั้งกระตุ้นรูนเสียงสะท้อนที่อยู่ข้างๆ ด้วย ต่อให้เป้าหมายไม่ใช่อสูรมีด เธอก็อยากจะดูหน่อยว่าปฏิกิริยาเวทมนตร์นี้มันมีจากไหน

ไม่นาน แสงสีเขียวสะท้อนแสงก็ปรากฏขึ้นมา ก่อนจะชี้ตรงไปยังกลางจัตุรัสที่อยู่ไม่ไกล แต่ที่ตรงนั้นกลับว่างเปล่า

หรือเธอจะเจอกับศัตรูชนิดใหม่ที่พรางตัวได้?

ไม่สิ โบแชงสังเกตเห็นอย่างรวดเร็วว่าก้อนอิฐที่อยู่บนผิวของจัตุรัสเหมือนดูอะไรบางอย่างงัดขึ้นมา บริเวณรอบๆ มีร่องรอยเน่าเปื่อยสีดำ

เจ้านี่มันซ่อนตัวอยู่ใต้ดิน!

ในขณะที่ความคิดผุดขึ้นมา ดินที่อยู่ด้านล่างก้อนอิฐก็นูนขึ้นมา สัตว์ประหลาดที่บนร่างมีก้อนเนื้อและโครงกระดูกประกอบเข้าด้วยกันปีนออกมาจากใต้ดิน ขณะเดียวกันมันก็คายเอา ‘ร่างโปร่งแสง’ กองหนึ่งออกมา! ถ้าไม่เป็นเพราะบนตัวสิ่งเหล่านั้นมีของเหลวเหนียวๆ ติดอยู่ โบแชงคงไม่มีทางแยกพวกมันออกจากสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวได้!”

แทบจะในเวลาเดียวกัน รูนกรีดร้องก็ส่งเสียงเตือนดังลั่นขึ้นมา เธอรู้ทันทีว่าเจ้าพวกนี้คืออสูรมีด!

………………………………………………..