GGS:บทที่ 1092 แรงกระเพื่อมแห่งตะเกียง

แป้งสีขาวในตอนนี้ได้ลุกไหม้เป็นสีดำลามไปเรื่อยๆและยุบตัวลงไปจนเผยให้เห็นถึงเปลวไฟที่ยังคงสว่างไสวอยู่ท่ามกลางผงแป้งสีขาวที่รายรอบแสดงให้เห็นว่ามันนั้นยังมีตัวตนอยู่ไม่ได้ดับแต่อย่างใด โดยไม่มีท่าทีที่จะมอดดับลงแม้แต่น้อย
ในตอนนี้เอง ก็ได้มีแสงแฟลชจากกล้องมือถือค่อยๆสอดส่องไปยังเปลวไฟกองนี้อย่างไม่ขาดสาย ท่ามกลางความสับสนของผู้ที่อยู่ในงาน ที่กำลังสงสัยว่าทำไมทั้งน้ำและแป้งจึงไม่อาจจะดับเปลวไฟน้อยๆนี้ลงได้
“เกิดอะไรขึ้น ไม่เพียงจะไม่ดับ เปลวไฟนี้ยังเผาไหม้แป้งที่กลบฝังมันไปจนหมดได้อีกด้วย”
“นี่ความรู้ทางฟิสิกข์เคมีที่ฉันได้ร่ำเรียนมานี่ถูกต้องแล้วใช่ไหมเนี่ย องค์ประกอบที่ทำให้เกิดไฟได้นั้นต้องมีออกซิเจนเป็นองค์ประกอบด้วย
หากตัดออกซิเจนด้วยแป้งนั่นไปแล้วเปลวไฟนี้ก็สมควรจะมอดดับลงไปไม่ใช่เหรอ แล้วนี่…..ทำไมไฟนั่นยังคงลุกไหม้ได้อยู่ล่ะ ไม่มีเหตุผลเลยสักนิด มันจะอยู่เหนือกฎเกณฑ์เกินไปแล้ว”

“ไม่น่าเชื่อจริงๆ”
หลินฮ่าว เสี่ยวรุย ชิเล่ย เฉียนหยินหนิง หวังหยาน และเพื่อนร่วมรุ่นคนอื่นๆของซูจิ้งที่อยู่ในห้องจัดเลี้ยงที่ชั้นสองนั้น ในตอนนี้ต่างก็พากันมึนงงไปหมด
นั่นก็เพราะไม่เพียงน้ำจะไม่สามารถดับไฟในตะเกียงได้แล้ว แม้แต่ผงแป้งที่ฝังกลบไส้ตะเกียงจนมิดก็ยังทำให้เปลวไฟนี้มอดดับไม่ได้
นี่ทำให้ทุกคนต่างก็พูดคุยกันทันทีเพราะเรื่องนี้ขัดกับความรู้ที่พวกเขาได้ร่ำเรียนมาอย่างสิ้นเชิง
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาได้พูดเรื่องนี้ไปแล้วก็จริงแต่ในตอนนี้ทุกคนก็รับรู้ได้แล้วว่าเปลวเพลิงนี้คงจะใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนมาไม่ได้แล้วเพราะมันขัดจากความรู้ชนิดที่เรียกได้ว่ามหันต์เลยทีเดียว
เพื่อนร่วมรุ่นบางคนก่อนหน้านี้ที่บ่นเสียดายว่าเสียโอกาสที่จะได้เข้าร่วม ในตอนนี้ก็ไม่ได้มีท่าทีบ่นอุบแต่อย่างใด นั่นก็เพราะว่าปัญหาตอนนี้ไม่ใช่แถวที่ยาวจนกลัวคนจะดับไฟในตะเกียงได้ก่อน แต่ปัญหาในตอนนี้คือต้องใช้วิธีไหนถึงจะดับได้มากกว่า
ในขณะที่คนในห้องชั้นสองกำลังพูดคุยหาวิธีการอยู่นั้น ตอนนั้นเองผู้คนที่อยู่ในงานด้านล่างก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง บางคนได้ใช้สายยางที่ต่อกับก๊อกน้ำฉีดลงไปข้างใน บางคนนำถังน้ำที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งเทใส่ลงไป บางคนใช้โคลน มีบางคนทำแม้กระทั่งพ่นสเปย์บางอย่างลงไปจนกลายเป็นเปลวเพลิงเพื่อหวังจะเร่งให้น้ำมันในตะเกียงหมดลงเร็วๆก็มี แต่สุดท้ายแล้ว วิธีการทั้งนี้ล้วนแล้วแต่ไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง
พวกเขาใช้แม้แต่วิธีการที่เหล่านักผจญเพลิงใช้ในการดับไฟแต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย แม้แต่การใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ก็ไม่ได้ผลแม้แต่น้อย จนมีบางคนเริ่มคิดได้แล้วว่าเปลวไฟนี้ไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง

หลายๆคนเริ่มที่จะหาชนิดของเปลวเพลิงนี้อย่างจริงจังเพื่อหาวิธีดับไฟคว้าเงินล้านมาให้ได้ผ่านทางไป่ตู้ บางคนถึงกับโทรไปปรึกษาที่สถานีดับเพลิงเลยก็มี เพราะคิดว่านี่เป็นวิธีการดีที่สุดแล้วเมื่อต้องเจอกับไฟที่ไม่สามารถใช้หลักการธรรมดาจัดการได้แบบนี้
ตอนนี้หลายๆคนเริ่มอยากที่จะใช้ไม้ทุบตะเกียงนี้ให้แตกไปให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย ถึงแม้ว่าวิธีการนี้จะไม่ได้รับการอนุญาตและขัดจากกฎที่ตั้งไว้แค่ไหนก็ตาม
เพราะพวกเขานั้นอยากรู้จริงๆว่าถ้าพวกเขานั้นตัดเชื้อเพลิงไปแล้ว เปลวไฟนี้จะลุกไหม้ได้ไปอีกนานสักแค่ไหนกันแน่
แต่พวกเขานั้นหารู้ไม่ว่าทำแบบนั้นไปก็ไม่ช่วยอะไรขึ้นมา นั่นก็เพราะสิ่งที่ทำให้ตะเกียงนี้ลุกโชนได้ไม่มีวันดับนั้น เป็นเพราะน้ำมันตะเกียงไม่ใช่ตัวตะเกียงหรือไส้ตะเกียงแต่อย่างใด

หลังจากที่เห็นผู้คนได้ลองที่จะดับไฟในตะเกียงนี้แต่ก็พลาดกันไปซ้ำไปซ้ำมาจนคนเหล่านั้นเริ่มถอดใจจนออกจากแถวจนเกือบหมดแล้ว
แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีบางคนที่คิดจะลองดูด้วยท่าทางตื่นเต้นอย่างมาก และยังมีบางคนที่คิดจะลองดูอีกรอบจึงกลับเข้าไปต่อท้ายแถวอีกครั้ง แต่สุดท้ายแล้วกว่าทุกคนจะรู้ตัวก็พบว่าในตอนนี้บริเวณลานกิจกรรมก็เจิ่งนอนไปด้วยน้ำเรียบร้อยแล้ว

“วันนี้ที่นี่ดูวุ่นวายกันจัง เขามีอะไรกันงั้นเหรอ”
“ฉันได้ยินมาว่ากลุ่มทุนห้วงเวลาฯได้เปิดตัวงานวิจัยชิ้นล่าสุดของพวกเขาน่ะ เห็นว่ามันเป็นตะเกียงน้ำมันที่ไม่มีวันดับไม่ว่าจะทำยังไงก็ตาม แต่ถ้ามีใครดับตะเกียงนี้ได้จะได้รับเงินรางวัลหนึ่งล้านหยวน”
“จริงเหรอ ในโลกนี้จะมีเรื่องที่ได้เงินง่ายๆแบบนั้นได้ยังไงกัน”
“เรื่องจริง และไม่มีทางที่กลุ่มทุนห้วงเวลาจะคดโกงจากคำพูดของพวกเขาอย่างแน่นอน เพราะว่าเมื่อเทียบกับชื่อเสียงของพวกเขาแล้วนั้น เงินหนึ่งล้านนี้ไม่ได้ต่างอะไรจากเศษเงินของพวกเขา มีคนบอกว่าให้ใช้อะไรก็ได้ขขอแค่ดับไฟได้ก็พอ แม้แต่น้อยทั้งอ่างก็ไม่ว่ากัน”

“จรึงรึ แล้วคนพวกนี้มัวแต่ทำอะไรกันอยู่เนี่ย แค่หาน้ำมาดับไฟก็จบแล้ว ฉันจะเข้าแถวแล้วจัดการเรื่องนี้เอง เงินล้านนั่นต้องเป็นของฉัน”
ในตอนนี้เองก็ได้เริ่มมีคนที่ผ่านไปมาได้ยินเรื่องเงินล้านจากการดับไฟนี้เข้าจึงทำให้อยากที่จะลองดูบ้าง พร้อมกับความคิดที่ว่าคนที่ลองมาก่อนหน้านี้มัวแต่ทำบ้าอะไรกันอยู่ พวกเขาไม่อยากได้เงินล้านไปใช้กันฟรีๆรึไงกัน
แต่ในที่สุดแล้วเมื่อถึงคราวตัวเองลองดูบ้าง พวกเขาก็พบว่าวิธีการที่มากมายหลากหลายล้วนแล้วแต่ที่จะคิดออกนั้นก็ไม่ได้ทำให้เปลวไฟด้วงน้อยๆในตะเกียงดับลงได้แต่อย่างใด
ในตอนนี้เองเป็นอีกครั้งที่คนชุดๆแรกๆนั้นถอดใจแล้วเดินออกจากแถวไปในที่สุด แต่พวกเขาบางคนก็ยังไม่ลืมที่จะถ่ายวิดีโอบางช่วงนี้ส่งขึ้นไปบนโลกอินเตอร์เน็ต ด้วยความหวังอันน้อยนิดว่าจะมีคนคิดหาหนทางที่จะช่วยพวกเขาได้

“ไม่ร้ว่าวิดีโอพวกนี้ของจริงรึเปล่าเนี่ย ไฟในตะเกียงน้ำมันที่โดนน้ำก็ยังไม่ดับแบบนี้มันน่าเหลือเชื่อเกินไป ไม่เพียงเท่านั้น ทั้งแป้ง หรือเครื่องดับเพลิงเองก็ยังทำอะไรไฟนั่นไม่ได้แม้แต่น้อยเลยด้วยซ้ำ”
“ฉันว่าวิดีโอนี่ของจริงนะ ในเมืองกลุ่มทุนห้วงเวลาออกตัวมาเองเลยว่าตะเกียงน้ำมันนี่คือผลงานวิจัยล่าสุดของพวกเขาแบบนี้แน่นอนว่าย่อมไม่ธรรมดา แต่ฉันก็ไม่รู้จริงๆว่าพวกเขาทำได้ยังไงกัน นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว
ฉันว่าฉันเองก็จะไปลองดูบ้างเหมือนกันนะเพราะว่าที่ๆฉันอยู่ไม่ได้ไกลจากโรงแรมนานาชาติหลงเต็งเลย ฉันอาจจะเป็นคนหนึ่งที่ได้รับเงินล้านนี้มาก็ได้”
“ฉันก็เข้าใจสิ่งที่นายคิดนะ แต่ว่าลองนึกดูสิว่าคนตั้งมากมายขนาดนั้นก็ยังพลาดเลยนะ นี่แสดงให้เห็นว่าไฟในตะเกียงนั้นไม่ง่ายที่จะดับอย่างแน่นอน
ก่อนที่นายจะไปฉันว่านายหาข้อมูลก่อนดีกว่า ดั่งคำที่เขาว่าไว้ว่าตัดไม้ให้ลับคมก่อน เมื่อมั่นใจว่าคมพอแล้วพวกเราค่อยตัดมันลงมา”

ในตอนนี้เองที่คนในชาติจีนที่รู้เรื่องต่างก็ทำการค้นคว้าความรู้เกี่ยวกับการดับไฟกันอย่างพร้อมเพรียง และในขณะเดียวกัน เหตุการณ์นี้ก็ได้ทำให้โรงแรมนานาชาติหลงเต็ง กลับมามีชีวิตชีวาอย่างที่สุด แม้แต่ร้านต่างๆในโรงแรมที่ก่อนหน้านี้มีลูกค้าแค่พอนับหัวได้ก็ยังได้รับผลทำให้มีลูกค้าเข้าร้านไปอย่างมากมาย เรียกได้ว่าเพียงงานนี้งานเดียวก็ทำให้เกิดเม็ดเงินจำนวนมหาศาลได้เลย

ณ ห้องงานเลี้ยงที่ชั้นสองของโรงแรม เพื่อนร่วมรุ่นของซูจิ้งเองที่เห็นผู้คนที่เข้ามาท้าทายเปลวไฟดวงน้อยๆนี้มากขึ้นเรื่อยๆก็ทำได้แต่นิ่งๆไปเท่านั้น
ในตอนแรกพวกเขาคิดว่างานอย่างการแถลงผลงานวิจัยนี้เป็นสิ่งที่อยากจะมีคนเข้ามาสนใจ แต่ในตอนนี้กลายเป็นว่ามันไม่เป็นเพียงงานที่ได้รับความนิยม แต่มันกลับร้อนแรงราวกับว่าทำให้โรงแรมนี้แตกได้จากผู้คนที่กำลังหลั่งไหลมา และหากเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆล่ะก็บอกได้เลยว่างานนี้จะกลายเป็นงานระดับชาติได้โดยไม่นานย่างแน่นอน
ตราบใดที่ไฟในตะเกียงยังติดอยู่ล่ะก็ พวกเขาบอกได้เลยว่าจะมีคนมาร่วมทดลองอย่างไม่ขาดสายอย่างแน่นอน นั่นก็เพราะว่าเงินรางวัลที่ตั้งเอาไว้กว่าล้านหยวนนี้มันช่างล่อตาล่อใจอย่างมาก อีกทั้งคนที่เข้าร่วม ไม่จำเป็นที่จะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วม ในเมื่อมีโอกาสได้เงินล้านมาฟรีๆแบบนี้ มีหรือที่จะไม่มีคนอยากลองดู ถ้าจะมีก็คงเป็นคนที่รวยอยู่แล้ว หรือไม่ก็เป็นคนที่ไม่คิดว่าเปลวไฟนี้จะดับได้แน่ๆแล้วเท่านั้น

“คลื่นมหาชนในครั้งนี้ช่างใหญ่โตเสียจริงๆ ตราบใดที่งานนี้ยังไม่ถูกบอกเลิกล่ะก็มีหวังคนก็ยังไม่ยอมเลิกที่จะลองอย่างแน่นอน
การเผยแพร่ผลงานวิจัยนี้ช่างได้รับผลตอบรับอย่างล้นหลามจนเรียกได้ว่าน่ามหัศจรรย์อย่างแท้จริง….ช่างเป็นเงินล้านที่น่ากลัวยิ่งนัก” ฉือเล่ยพูดออกมา
“แต่ฉันว่านะ ดูจากท่าทีของอาจิ้งแล้วยอกได้เลยว่าเขานั้นไม่มีทางจัดงานนี้แค่วันเดียวอย่างแน่นอน” หลินฮ่าวพูดออกมาในขณะที่หันไปมองซูจิ้งที่กำลังยิ้มกว้างราวกับจะฉีกถึงใบหูอยู่แล้ว

“พี่สาม พี่คิดจะจัดงานนี้ถึงวันไหนเหรอ ผมเองดูในอินเตอร์เน็ตแล้วนะ เห็นว่าตอนนี้พวกนักผจญเพลิงมีท่าทีสนใจจะเข้าร่วมด้วย
นอกจากนั้นเหล่านักวิยาศาสตร์อีกตั้งหลายคนก็เริ่มที่จะสนใจและพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้กันแล้วและต่างเชื่อมั่นกันว่าจะเป็นคนดับไฟนี้ได้ และต่างบอกว่าพวกเขานั้นจะเปิดเผยวิธีการที่ทำให้ไฟในตะเกียงนี้ไม่ยอมดับลงให้ดู” เสี่ยวรุยพูดออกมา
ที่เสี่ยวรุยถามออกมาอย่างนี้นั้นเป็นเพราะเขาเองเป็นกังวลแทนซูจิ้ง ถึงแม้ว่าเปลวไฟนี้กับคนธรรมดาแล้วอาจจะดับไม่ได้ก็จริง

แต่กับผู้เชี่ยวชาญหรือแม้แต่นักวิทยาศาสตร์เองนั้น นี่ก็ถือได้ว่าเป็นอีกระดับหนึ่งเลยทีเดียว นั่นก็เพราะทั้งสองสายอาชีพนี้สมควรที่จะรู้จักเรื่องราวเกี่ยวกับไฟได้ดียิ่งกว่าใคร
และเขาเองก็อดจะหวั่นใจไม่ด่าคนเหล่านี้จะหาวิธีดับไฟนี้จนได้และจะทำให้ซูจิ้งต้องขายหน้าขึ้นมา
“ก็ว่าจะปีนึงอ่ะนะ” ซูจิ้งตอบมาทันทีด้วยรอยยิ้ม
“ห้ะ หนึ่งปีเหรอ” เสี่ยวรุยนั้นตอบรับท่าทีของซูจิ้งออกมาอย่างอึ้งๆ กับคนอื่นอย่างชิเล่ย หลินฮ่าว หวังหยาน เฉียนหยินหนิง และคนอื่นๆที่อยู่ในห้อง เมื่อได้ยินคำตอบของซูจิ้งนั้น ก็อดที่จะหันควับมองกันเป็นตาเดียวไม่ได้ พลางนึกสงสัยว่าเมื่อกี้ซูจิ้งพูดออกมาว่าหนึ่งปีจริงๆเหรอ
นี่เขารีบพูดออกมาจนลิ้นพันกันหรือว่าเขามั่นใจในตะเกียงนี้มากไปรีเปล่า