GGS:บทที่ 1091 ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

หลังจากได้เห็นชายตัวสูงเทน้ำจากขวดน้ำแร่ลงไปบนเปลวเทียนอย่างชัดๆกับตา ผู้คนที่เห็นต่างก็อดที่จะถอดถอนหายใจตัวเองออกมาไม่ได้

นั่นก็เพราะน้ำที่ชายหนุ่มตัวสูงเทลงไปนั้นโดนไส้ตะเกียงโดยตรงบอกนี้ไม่ว่ายังไงก็ต้องดับอย่างแน่นอน คนที่อยู่ในแถวตอนนี้ก็ถอดใจและหันหลังเตรียมที่จะเดินออกจากแถวไปแล้ว

แต่เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงน้ำแร่ที่พยายามจะดับไฟของตะเกียงตามที่มุ่งหวังไว้จนมีเสียงดังชี่ขึ้นมาอยู่นานและต่อเนื่อง จนในที่สุดผ่านไปกว่าสามวินาที แต่ไส้ตะเกียงก็เพียงหดตัวเล็กลงเท่านั้น ไม่ได้ดับลงแต่อย่างใด

 

“ห้ะ” ทุกคนที่เห็นต่างก็งุนงงในทันที ชายหนุ่มตัวสูงที่เห็นเองก็ไม่ยอมแพ้แต่อย่างใด ถึงแม้เขาจะดูเหมือนหวั่นไหวไปเล็กน้อยแต่ก็ยังคงบีบกระหน่ำน้ำในขวดให้ไหลออกมามากกว่าเดิมและเร็วกว่าเดิมจนขวดน้ำแตกและล่วงหล่นลงไปบนไส้ตะเกียงอย่างไม่ได้ตั้งใจ

อย่างไรก็ตาม เปลวไฟในตะเกียงก็ยังคงลุกไหม้แต่ไป ทั้งๆที่ในตอนนี้ภายในพื้นที่ตั้งนี้มีทั้งน้ำที่เหมือนจะท่วมสูงขึ้นมาจากจากร่องกว่าครึ่งเซนติเมตร พร้อมทั้งขวดที่หลุดออกจากมือเข้าไปอยู่ด้วย แต่นั่นก็ไม่ได้ส่งผลอะไรแต่เปลวไฟในตะเกียงแม้แต่น้อย

 

“นี่มันอะไรกัน” ในตอนนี้ทุกคนที่เห็นต่างก็ทำได้เพียงยืนมองอย่างงๆ คนที่คิดว่าชายตัวสูงนั้นสามารถคว้าเงินล้านได้แล้วเมื่อเห็นฉากนี้ได้รีบวิ่งกลับเข้ามาในแถวอย่างรวดเร็ว

แม้แต่คนที่ลองรอบแรกแล้วพลาดจนออกไปแล้วก็ยังวิ่งกลับเข้ามาต่อท้ายแถวในทันที

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมน้ำถึงดับมันไม่ได้ล่ะ”

“….นี่ทำให้ฉันนึกถึงไฟโอลิมปิกเลยนะ ไม่รู้ว่าไฟโอลิมปิกโดนแบบนี้ไปจะดับรึเปล่า”

“ที่นายพูดออกมาแบบนี้แสดงว่ายังไม่รู้จักไฟโอลิมปิดดีพอนะ ไฟโอลิมปิกนั่นเป็นไฟที่ใช้เทคนิคพิเศษนิดหน่อยน่ะ

ยกตัวอย่างเช่นตอนงานกีฬาโอลิมปิกที่ปักกิ่งนั่น พวกเขาใช้โคมไฟชนิดพิเศษที่เรียกว่าโคมไฟสองชั้นนะ โคมไฟนั่นใช้แก๊สเข้ามีส่วนด้วย

หากว่าวงไฟรอบนอกที่เป็นน้ำมันได้ดับลงไปก็ยังมีส่วนที่ใช้แก๊สยังคงติดอยู่ แล้วก็จะค่อยๆลามกลับไปยังส่วนที่เป็นน้ำมันอีกครั้งจึงทำให้โคมไฟโอลิมปิกดับได้ยากยิ่ง

 

ยังไงก็ตามมันยังมีข้อจำกัดอยู่อย่างการที่ต้องเจอลมที่ความเร็ว65กิโลเมตรต่อชั่วโมงพัดผ่าน หรือไม่ก็เจอฝนที่ตกหนักเกินระดับ 50 มิลลิเมตรต่อชั่วโมงก็ยังต้องดับลง

แต่เมื่อกี้นี้น้ำที่ร่วงใส่ไส้ตะเกียงนั่นฉันว่ามันน่าจะเกินระดับ 50 มิลลิเมตรต่อชั่วโมงไปแล้วนะ หากน้ำในขวดน้ำนี่หล่นใส่คบเพลิงโอลิมปิกฉันว่ายังไงก็ต้องดับ”

“…..แต่ไอ้ไฟในตะเกียงนั่นเจอไปขนาดนั้นยังติดอยู่เลยไม่ใช่เหรอ นี่ไม่ใช่ว่าไฟตะเกียงนี่จะล้ำกว่าคบไฟสองชั้นนั่นอีกนี่นา ไม่ว่ามองยังไงก็ไม่น่าจะล้ำได้ขนาดนั้นเลยนะ นี่มันดูไม่เป็นวิทยาศาสตร์เลยสักนิด”

“ก็ถ้ามันดับได้ง่ายๆแล้วจะกลายเป็นงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ได้ยังไงล่ะ”

“พวกเรานั้นด่วนดูถูกตะเกียงนี่ไปจริงๆ ตะเกียงนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ล่าสุดที่มาจากงานวิจัยของกลุ่มทุนห้วงเวลาจริงๆด้วย ช่างเป็นเปลวไฟที่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ”

 

เหล่าผู้คนที่เห็น ในตอนนี้ก็อดที่จะแสดงท่าทีตื่นเต้นไม่ได้กันอย่างทั่วหน้า หลังจากได้เห็นความยากในการดับไฟนี้แล้วทำให้พวกเขายิ่งมั่นใจอย่างมากว่าเงินรางวัลที่กลุ่มทุนห้วงเวลาได้เสนอมานั้นต้องเป็นของจริงอย่างแน่นอน และนี่ไม่ช่างการยั่วผู้คนให้ทำเรื่องงี่เง่าอีกต่อไป

“โว่วววว ไม่ดับแหะ” บนชั้นสอง เพื่อนร่วมรุ่นของซูจิ้งต่างก็แสดงท่าทางประหลาดใจออกมาเมื่อเห็นว่าไฟของตะเกียงไม่ได้ดับไปอย่างที่คิด

“…เป็น…ไปได้…ยังไง” ชายหนุ่มที่ทำงานในวงการเทียนและตะเกียงได้แสดงสีหน้าตกตะลึงออกมา นั่นก็เพราะว่าการผลิตไส้ของตะเกียงที่ไม่ให้ได้ได้ง่ายนั้นไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้

แต่ไม่ว่าพวกมันนั้นจะยากที่จะดับได้ขนาดไหนก็ตาม แต่หากว่าจะตั้งใจดับจริงๆยังไงก็ดับได้อยู่ดี แต่ไส้ตะเกียงที่เขาเห็นนี้ต่างออกไป แต่ให้ไม่นับลมที่ตอนนี้ถูกปิดกั้นเอาไว้ แต่ด้วยระดับน้ำที่ดูยังไงก็ท่วมไส้เทียนไปแล้วแบบนี้แต่ยังติดอยู่ได้นี่ช่างท้าทายความสมเหตุสมผลอย่างมาก

นั่นก็เพราะว่าด้วยความเร็วของน้ำที่ราดลงไปบนไส้ตะเกียงแบบนี้ไม่ว่ายังไงไฟดวงน้อยๆก็ไม่มีทางเปลี่ยนน้ำให้กลายเป็นก๊าซไฮโดรเจนและอ๊อกซิเจนได้ทัน และโดยปกตินั้นต้องดับลงไปแล้ว

 

แต่ฉากที่อยู่ต่อหน้าของเขาในตอนนี้มันราวกับว่าเปลวไฟนี้ไม่ได้มีตัวตนแต่อย่างใด เหมือนมันเป็นไฟที่ไม่ได้อยู่ในกฎทางเคมีและฟิสิกข์แม้แต้น้อย

“น้ำเมื่อได้สัมผัสกับอุณหภูมิสูงก็จะแตกตัวไปเป็นไฮโดรเจนและออกซิเจนได้โดยตรง…. ไส้ตะเกียงนี่ไม่ว่ามองยังไงก็ไม่น่ามีตัวต้านทานความร้อนเลยสักนิด

เต็มที่ก็เป็นวัสดุที่ใช้ทำไส้ตะเกียงที่เป็นตัวต้านทาน แต่นี่มันตัวต้านทานอะไรกันแน่ ยังไม่รวมถึงอุณหภูมิของไฟนั่นอีกที่ดูยังไงก็ไม่สูงจนมากพอที่จะโดนน้ำแล้วเปลี่ยนน้ำให้เป็นก๊าซทั้งสองได้ทันที ตะเกียงน้ำมันนี่มันอะไรกันแน่เนี่ย” เจียงหวางที่เงียบไปนานเมื่อเห็นฉากนี้ก็อดไม่ได้ที่จะพูดความเห็นของตัวเองออกมา

 

“ถึงแม้ว่านายจะพูดออกมาราวกับว่าเปลวไฟนี่เป็นสิ่งที่หลุดมาจากนิยายวิทยาศาสตร์ก็เถอะนะ แต่ในเมื่อน้ำนี่ดับไปไม่ได้ด้วยน้ำล่ะก็ มาลองเจอเครื่องดับเพลิงกันก่อนก็แล้วกัน”

เพื่อนร่วมรุ่นของซูจิ้งในตอนนี้ต่างก็พูดคุยเกี่ยวกับตะเกียงน้ำมันนี้อย่างสนุกสนานจนทำให้บรรยากาศในงานมีชีวิตชีวาอย่างต่อเนื่องจนทำให้แม้แต่เสียงเพลงในงานก็ยังไม่ได้สำคัญอีกต่อไป แม้แต่อาหารอร่อยที่อยู่ตรงหน้าก็ยังหมดความหมายต่อความสนใจของพวกเขาในทันที

 

ณ ลานกิจกรรมของโรงแรม ชายหนุ่มตัวสูงที่รู้สึกหดหู่จากการชวดเงินล้านไปต่อหน้าต่อตาด้วยมือตัวเอง ในตอนนี้เขานั้นมีท่าทีที่ยังไม่ยอมแพ้แล้วหันซ้ายหันขวาเพื่อหาอะไรมาลองดูต่อ

ตอนนั้นเองพิธีกรสาวก็ได้พูดออกมาว่า “หนึ่งคนลองได้หนึ่งครั้งนะคะ หากว่าคุณอยากจะเปลี่ยนวิธีลองดับก็ได้ แต่ขอเป็นการกลับไปเข้าแถวจากได้หลังใหม่อีกครั้งนะคะ ให้โอกาสคนอื่นได้ร่วมสนุกบ้างค่ะ”

ชายหนุ่มตัวสูงที่ได้ยินก็ไม่มีทางอื่นนอกจากเดินกลับไปต่อหลังในทันที คนถัดมานี้เป็นผู้หญิงวัยกลางคนที่ราวกับพึ่งกลับมาจากการจ่ายตลาดก็ไม่ปาน เพราะว่ามือของเธอนั้นเต็มไปด้วยสินค้าจากที่นั่น ไม่ว่าจะเป็นปลา ผัก ถึงแป้ง และเนื้อวัว

เมื่อเธอเดินเข้าไปถึง สิ่งแรกที่เธอทำก็คือเธอเปิดปากถุงแป้งแล้วโยนแป้งเข้าไปในตะเกียง ทุกคนที่เห็นต่างก็รู้ในทันทีว่าเธอนั้นคิดจะทำอะไรกันแน่ แต่คำถามคือทำแบบนี้จะดีจริงๆหรือ

ทุกคนต่างก็หันไปยังพิธีการสาวเป็นนับว่าขอความเห็น และอยากให้ช่วยหยุดหญิงสาวผู้นี้ อย่างไรก็ตาม พิธีกรเองก็เหมือนจะรู้ว่าทุกคนต้องการอะไรแต่เธอก็ได้พูดออกมาว่า “ทำอย่างนี้ไม่ผิดกฎค่ะ พวกคุณสามารถลองใช้แป้งดับไฟได้”

 

“โถ่… จบแล้วสินะเนี่ย ยังไงตะเกียงนี้ก็ต้องดับแน่ๆ”

“ก็ยังไม่แน่นะ ตะเกียงนี่อาจจะเจ๋งกว่าที่คิดนะ”

“ต่อให้เจ๋งยังไงแต่ในเมื่อใส่แป้งลงไปแบบนั้นไม่ว่าจะเจ๋งมาจากไหนยังไงก็ต้องดับล่ะน่า”

ผู้คนที่เห็นฉากนี้ต่างเป็นกังวลว่าในครั้งนี้ไฟในตะเกียงยังไงก็ต้องดับด้วยมือของหญิงสาวคนนี้เป็นแน่ พวกเขาต้องหมดโอกาสอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม พวกเขานั้นต้องยืนมองกันนิ่งๆอีกครั้ง นั่นก็เพราะว่าไม่ว่าหญิงวัยกลางคนผู้นี้จะใส่แป้งไปในรูปแบบไหน มากเท่าไหร่ ทำแม้แต่กลางกีดกลางถึงแล้วโยนลงไปยังไส้ตะเกียงตรงๆจนถุงแป้งแตกกระจายฟุ้งไปทั่วด้วยซ้ำ

“ฮ่าฮ่าฮ่า จบสักที หนึ่งล้านหยวนเป็นของฉันแล้ว” หญิงวัยกลางคนพูดออกมาด้วยความยินดีจนกระโดดโลกเต้นไปทั่ว

“ไอ๊หยา…” คนอื่นๆที่เห็นต่างก็คิดว่ายังไงพวกเขาก็ชวดจนอดที่จะอุทานออกมาอย่างเสียดายไม่ได้เช่นเดียวกัน พลางคิดไปว่า ผู้หญิงคนนี้เหลือเกินเลยจริงๆ เล่นใส่ชุดใหญ่ตั้งแต่ต้นไม่คิดจะให้โอกาสคนอื่นเขาเลย หญิงพวกเขาเห็นหญิงสาวคนนี้ดีใจมากเท่าไหร่ พวกเขาก็มีท่าทีเสียดายมากขึ้นเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม อยู่ๆพิธีกรสาวก็ได้พูดออกมาว่า “เอ่ออออฉันว่าคุณควรจะดูให้ดีๆก่อนนะคะว่าไฟดับไปแล้วจริงๆรึเปล่า”

ในตอนนั้นเอง ทุกคนก็ได้หันไปดูที่ตะเกียง แต่ในตอนนี้เปลวไฟและไส้ตะเกียงเองก็ถูกกลบไปด้วยผงแป้งจนมิดไปแล้ว มิดขนาดนี้ถ้าไม่เรียกว่าดับไปแล้วพวกเขาก็ไม่รู้แล้วเหมือนกันว่าพิธีกรต้องการสื่ออะไรกันแน่

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ทุกคนกำลังจ้องมองไปยังกองแป้งที่กลบไส้ตะเกียงจนมิดนั้น ไม่นานนัก ก็ได้บังเกิดฉากที่ต้องทำให้ทุกคนทำหน้าโง่งมกันไปหมด

ฉากนั้นก็คือแป้งจุดหนึ่งนั้นค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีดำ และค่อยๆลามไปจนทั่วจนค่อยๆยุบตัวลง และตรงกลางจุดดำนั่นเองก็ได้มีเปลวไฟดวงน้อยๆที่ลุกโชนอยู่