GGS:บทที่ 1090 รางวัลล้านหยวน
“อาจิ้ง ตะเกียงน้ำมันนั่นเป็นนวัตกรรม(งานวิจัย)ล่าสุดของนายงั้นเหรอ” หลินฮ่าวอดไม่ได้ที่จะถามออกมา
“ไม่ว่าตะเกียงน้ำมันนั่นจะดียังไงแต่ฉันว่ามันก็ล้าสมัยไปแล้วนะ สมัยนี้ใครบ้างที่ยังจะใช้ตะเกียงน้ำมันอยู่” ฉือเล่ยถามออกมา
“ฉันว่าความจริงแล้วไอ้งานชิ้นนี้เอาจริงๆไม่ได้เกี่ยวกับตัวตะเกียงนั่นหรอกใช่รึเปล่า ฉันว่ามันน่าจะเป็นตัวน้ำมันตะเกียงมากกว่า….พลังงานตัวใหม่เหรอ” เฉียนหยินหนิงพูดออกด้วยสายตะอันเฉียบคม พลางหันไปดูหวังหยานที่ตอนนี้กำลังจ้องมองตะเกียงโดยที่คิ้วของเธอขยับไปมาอยู่ไม่สุข
ซูจิ้งเองที่ได้ยินได้หันไปมองเฉียนหยินหนิงด้วยท่าทียอมรับนับถือ เพียงแค่เธอมองก็สามารถรู้ได้ในทันทีแบบนี้ถือว่าเธอไม่เลวเลยจริงๆ
แต่เขาก็เชื่อว่าที่เธอคิดเอาไว้นั้นน่าจะเป็นเรื่องพลังงานสะอาดหรือไม่ก็ประสิทธิภาพของพลังงานที่ให้เท่านั้น ซึ่งนั่นยังห่างจากความเป็นจริงไปไกลมาก
“อาจิ้ง งานวิจัยของนายคือไส้ตะเกียงงั้นเหรอ” หนุ่มหล่อคนหนึ่งที่ตัวเต้นได้ถามออกมา เพื่อนร่วมรุ่นของซูจิ้งที่ได้ยินก็ไม่ได้ประหลาดใจมากมายนักเพราะชายคนนี้ทำงานในวงการเกี่ยวกับไส้เทียนและตะเกียงพวกนั้น
ชายคนนี้ถึงแม้จะไม่ได้ดูหรูหราอะไรก็ตาม แถมตอนที่เรียนเขาเองก็เป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น แต่งานของเขาที่ทำนั้นกลับเงินเดือนสูงทีเดียว
“ไม่ใช่หรอก” ซูจิ้งพูดพลางส่ายหน้าไปมาก่อนที่เขาจะพูดด้วยรอยยิ้มออกมาว่า “เดี๋ยวนายก็จะรู้ในไม่ช้านี้แหล่ะ หากบอกไปก่อนหรือฉันหลุดปากไปมันก็ไม่น่าสนใจกันพอดี”
นะกลางลานกิจกรรม ในตอนนี้เต็มไปได้วยเสียงการคาดเดาต่างๆนาๆ คราวนี้ หญิงสาวในชุดกระโปรงสั่งตัดที่ถือไมค์อยู่ได้ทำการอธิบายผลงานออกมาว่า “ทุกท่านคะ ฉันขอบอกไว้ก่อนว่าทุกท่านนั้นอย่าเพิ่งรีบตีค่าตะเกียงน้ำมันนี้ต่ำเกินไปจะดีกว่าค่ะ แน่นอนว่าตะเกียงน้ำมันนี้ถึงแม้มันจะดูธรรมดา แต่มันเองก็คือผลงานวิจัยชิ้นล่าสุดของพวกเรากลุ่มทุนห้วงเวลาและอวกาศ”
“คิดว่าพวกเรานั้นโดนหลอกกันได้ง่ายๆรึไงกัน”
“สาวน้อย อย่าคิดว่าแค่การแต่งตัวดีๆและใช้คำพูดเก๋ๆก็จะมาหลอกพวกเราได้นะ”
“เธอนั้นยังละอ่อนเกินกว่าที่จะใช้รูปร่างและคำพูดในการหลอกลวงพวกเรานะ ตะเกียงน้ำมันนี่ยังไงก็คงไม่ทำให้คนลอยได้เมื่อใช้หรอกน่า”
“นี่เธอใช่คนของกลุ่มทุนห้วงเวลาฯจริงๆรึเปล่าเนี่ย”
หญิงสาวในชุดกระโปรงเองที่ได้ยินคำพูดของคนในงานก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเซ็งๆไปเล็กน้อย ก่อนที่จะรีบพูดออกมาว่า “แน่นอนว่าฉันนั้นและตะเกียงนี้มาจากกลุ่มทุนห้วงเวลาฯจริงๆไม่ได้หรอกทุกคนค่ะ
แล้วก็ฉันนั้นไม่ได้พูดเวอร์วังเกินจริงแต่อย่างใดเช่นเดียวกัน หน้าที่ของฉันในวันนี้นอกจากทำหน้าที่เป็นพิธีการแล้ว ตัวฉันยังมีหน้าที่ในการควบคุมกิจกรรมในวันนี้ที่มีเงินรางวัลหนึ่งล้านบาทให้ทุกท่านได้ลองเล่นกันดู”
หลังจากเธอพูดจบลงก็ได้เงียบไปชั่วครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็มีชายหนุ่มสวมแว่นตาดำที่มีท่าทางแข็งแรงอีกสองคนเดินเข้ามาพร้อมกับกระเป๋าใบหนึ่ง
ทั้งสองได้เปิดกระเป๋าต่อหน้าทุกคนให้ดู ภายในนั้นเต็มไปด้วยแบ็งค์ 100 หยวนจำนวนมาก ผู้คนในงานที่ได้เห็นเงินขนาดนั้นตรงหน้าก็อดไม่ได้ที่จะสะดุ้งเฮือกออกมา
พิธีกรสาวได้พูดออกมาต่อว่า “เงื่อนไขของเกมนี้ก็คือใครก็ตามที่ดับไฟของตะเกียงนี้ได้โดยไม่ใช้มือสัมผัสตะเกียงและเปลวไฟโดยตรง ไม่นำที่บังลมออก และต้องไม่ทำลายตะเกียงน้ำมันนี้ หากใครทำได้ คนๆนั้นจะได้รับเงินหนึ่งล้านหยวนนี้ไปครอบครอง แน่นอนว่าที่ฉันพูดนั้นเป็นความจริงทุกอย่างค่ะ”
ทุกคนที่ได้ยินคำพูดนี้ต่างก็นิ่งอึ้งไปในทันที หลังจากนั้นก็เริ่มพูดคุยกันเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว ต้องรู้กันก่อนว่าของบังลมนี้สูงเพียงเมตรเดียวเท่านั้น ซึ่งนี่ถือว่าเตี้ยมากๆ หากมีใครสักคนที่มีปอดใหญ่พอล่ะก็ แค่เป่าลมแรงๆลงไปคนๆนั้นก็ได้รับเงินล้านไปอย่างง่ายดาย
แถมพิธีการสาวคนนี้ยังพูดอีกว่า ตราบใดที่ตัวตะเกียงไม่พัง และไม่แตะตะเกียงโดยตรง หากหาของไม่ใส่น้ำสาดเอาก็ถือว่าใช้ได้เหมือนกัน
“สาวน้อย หากดูตามเงิ่อนไขที่เธอพูดมานี้ หากว่าใช้น้ำสาดแทนก็ได้อย่างนั้นเหรอ เธอแน่ใจนะว่าเธอจะไม่ไปจุดไฟขึ้นมาทีหลัง หลังจากฉันเอาน้ำสาดไปแล้วน่ะ” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งพูดออกมาด้วยท่าทีติดตลก
“ฉันจะไม่เล่นแง่ในคำพูดของฉันอย่างแน่นอนค่ะ คำพูดที่ฉันพูดออกมานี้เป็นคำพูดของหัวหน้าใหญ่ของพวกเราแบบเหมือนเป๊ะๆ และสิ่งที่คุณพูดนั้นก็ถือว่าใช้ได้เช่นเดียวกัน นั่นก็คือคุณสามารถลองใช้น้ำดับดูก่อนได้ค่ะ” พิธีการสาวพูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ห้ะ เอาจริงดิ”
“ใช้ได้แม้แต่ถังดับเพลิงเหรอ?”
“ใช้ได้ค่ะถ้าคุณหามาได้”
“นี่มันจะง่ายไปแล้ว มามาขอฉันลองก่อนเลยแล้วกัน”
“ทำไมนายได้เป็นคนแรกล่ะ ฉันก่อนสิ”
“ไม่ต้องแย่งกันค่า โปรดเข้าแถวกันด้วยนะคะ” พิธีกรสาวในตอนนี้พยายามควบคุมสถานการณ์เต็มที่แต่ดูเหมือนว่าผู้คนจะแก่งแย่งกันเพราะกลัวที่จะชวดเงินล้านที่อยู่ตรงหน้า
ตอนนั้นเอง เหล่าบอดี้การ์ดที่อยู่รายรอบตะเกียงทั้งแปดคนก็ได้ตั้งแถวและกั้นฝูงชนที่ออกันเข้ามาไม่ให้ข้ามเขตเข้าไปแม้สักคนเดียวด้วยท่าทีอันมั่นคงราวกับเล่นกับเด็กน้อย
ฉากนี้เองก็ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวทั้งแปดในทันที นั่นก็เพราะคนเพียงแปดคนสามารถกั้นฝูงชนหลายสิบได้ นี่แสดงว่าทั้งแปดคนนี้ตั้งแข็งแรงกว่าคนทั่วไปอย่างมาก
เมื่อรู้สึกได้ถึงความทรงพลังของชายแปดคนนี้ทำให้ฝูงชนหยุดความโกลาหลของพวกเขาไปโดยปริยาย ก่อนที่จะเริ่มเข้าแถวกันอย่างเป็นระเบียบ แต่ก็ยังมีบางคนที่พยายามแซงแถวเหมือนกัน บางคนแซงแถวผู้หญิง เด็ก และคนชราได้อย่างหน้าตาเฉย
อย่างไรก็ตาม ชายทั้งแปดคนนี้ไม่ได้พูดอะไรออกมา หนึ่งในพวกเขานั้นทำเพียงแค่ถอดแว่นออกมาพร้อมกับจ้องมองไปยังคนเหล่านั้นด้วยสายตาอันเย็นชา ก่อนที่ชายคนนั้นจะได้ไปยกคนเหล่านั้นออกมาจากแถวแล้วชี้นิ้วไปยังท้ายแถวโดยไม่มีใครกล้าขัดขืนเลยสักคน
แม้แต่ชายหนุ่มที่ร่างสูงกว่า 1.8 เมตรคนหนึ่ง ก็โดยยกขึ้นด้วยมือเพียงมือเดียวโดยไม่มีท่าทางที่แลดูหนักแม้แต่น้อยราวกับไก่ที่โดนคว้าคอไว้
ฉากนี้ยิ่งทำให้ฝูงชนตกอยู่ใต้การควบคุมของคนทั้งแปดในทันที และไม่มีใครกล้าทำเรื่องไม่ดีอีกต่อไป
แต่ด้วยการที่คนที่จะเล่นเกมนี้มีมากจึงต้องตั้งแถวกว่าหกแถว โดยการจัดลำดับนั้นจะเริ่มจากคนแรกแถวที่หนึ่ง ตามด้วยคนแรกแถวที่สอง สาม สี่ ห้า หก แล้วจึงกลับไปเริ่มแถวที่หนึ่งใหม่อีกครั้งหนึ่ง
คนแรกที่เริ่มลองดู เขานั้นเป็นชายร่างผอมสูงที่ดูประหม่าเล็กน้อย เขาเองก็เปพียงพนักงานบริษัทคนหนึ่งที่ได้เงินเดือนเพียงสี่พันห้าร้อยหยวนเท่านั้น ด้วยโอกาสที่จะได้เงินก้อนใหญ่ตรงหน้าแบบงงๆแบบนี้ จึงไม่แปลกที่เขาจะมีท่าทีประหม่า
ในคราวนี้ ชายทั้งแปดคนก็ได้เปิดทางให้ชายคนแรกนี้ เขาได้นำขวดน้ำแร่ออกมาจากกระเป๋าของตัวเอง เขาค่อยๆเดินเข้าด้วยสายตาที่จับจ้องไปยังตะเกียงน้ำมันที่อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะสาดน้ำเข้าไปใส่ตะเกียงน้ำมัน
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องง่ายๆก็ตาม แต่ด้วยการที่เขานั้นประหม่าเกินไปทำให้สาดน้ำไม่โดนไส้ตะเกียงสักเท่าไหร่ คราวนี้เขาจึงตัดสินใจสาดน้ำที่ร่ายส่ายไปมาเพียงที่จะให้แน่ใจว่าโดนแน่ๆ
ฉากนี้มันดูเชื่องช้ามากับคนที่อยู่ข้างหลัง และด้วยความกลัวที่จะชวดเงินรางวัลเขาจึงได้พูดออกไปอย่างไม่ใส่ใจความรู้สึกของคนข้างหน้าว่า
“รีบๆหน่อยไม่ได้รึไง คนข้างหลังรออยู่นะ”
“เขาสาดน้ำไม่ค่อยจะโดนตะเกียงเลยนะ นี่เขาเป็นหน้าม้ารึเปล่าเนี่ย”
“ฉันว่าไม่ใช่นะ”
“ต้องเป็นเพราะว่าน้ำไม่ค่อยโดนตะเกียงนั่นแน่ๆ ไม่อย่างนั้นมันก็คงจะดับไปแล้ว….นี่ถ้าฉันทำพลาดเองก็คงจะโดนคนข้างหลังหัวเราะชอบใจแบบนี้สินะ….”
เหตุผลที่คนข้างหลังนี้ดูรีบร้อนนั้นไม่ใช่เพราะว่าพวกเขานั้นกลัวว่าตัวเองจะไม่ได้รางวัลแต่อย่างใด แต่พวกเขานั้นค่อนข้องจะไม่สบอารมณ์ที่ชายตัวผอมสูงที่แทรกแถวจนต้องโดนไล่ไปอยู่ข้างหลังก่อนหน้านี้นั้น ด้วยการที่แถวยาวมากจนต้องจัดแถวแล้วกลายเป็นว่าคนๆนี้มาอยู่ข้างหน้าแล้วคอยพูดถากถางผู้คนอย่างสนุกปากทำให้พวกเขานั้นเริ่มหวั่นไหวขึ้นมา เพราะชายคนนี้นั้นด้วยสรีระแล้วแค่เขาโน้มตัวและยื่นมือเข้าไปก็สามารถเทน้ำมันลงตะเกียงได้โดยตรงอย่างง่ายดาย
นี่ทำให้หลายๆคนเองก็เริ่มคิดแล้วว่าชายคนนี้เองเป็นหน้าม้าและยังไงก็หน้าจะดับได้แน่ๆ ทำให้หลายๆคนเองเริ่มถอดใจและเตรียมที่จะออกไปจากแถวตั้งแต่ถึงตาชายคนนี้แล้ว ด้วยความรู้สึกที่ว่าโดนหลอกให้มาเป็นตัวตลกให้คนอื่นดู
“…เงินในกระเป๋านั่นเป็นเงินจริงรึเปล่า” ในห้องงานเลี้ยงชั้นสองของโรงแรม หลินฮ่าว เสี่ยวรุย ฉือเล่ย และคนอื่นๆที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็ตกตะลึงและอดไม่ได้ที่จะต้องถามออกมา
“อาจิ้ง นายแน่ใจนะว่าใช้น้ำได้น่ะ” ชายเพื่อนร่วมรุ่นของซูจิ้งคนหนึ่งได้ถามออกมาด้วยความตื่นเต้น
ตอนนี้เพื่อนร่วมรุ่นคนอื่นของซูจิ้งเองที่พึ่งจะตื่นจากภวังค์จากคำถามเมื่อคู่ก็อดที่จะสะดุ้งออกมากันไม่ได้ ถึงแม้พวกเขานั้นจะมีบางคนที่เงินเดือนสูงบ้าง ต่ำบ้าง แต่โดยเฉลี่ยแล้วเดือนๆหนึ่งพวกเขาได้เงินเต็มที่แค่ สองสามหมื่นหยวนเท่านั้น เมื่อเทียบกับเงินล้านนี้บอกได้เลยว่าช่างเล็กน้อยซะเหลือเกิน
และเมื่อได้มาเห็นว่ากับอีแค่ดับไฟในตะเกียงนี่แล้วได้เงินล้านง่ยๆแบบนี้ใครจะอดใจที่จะลองได้ไหวกัน โอกาสดีๆแบบนี้ไม่ดีบ่อยๆอย่างแน่นอน ตอนนี้พวกเขารู้ฝึกอย่างจะลองดับไฟในตะเกียงนี้มากกว่าเล่นเกมในงานเลี้ยงรุ่นของเขานี้เสียอีก
“ใช้ได้จริง แล้วก็เป็นไปตามที่สาวน้อยคนนั้นพูด นายสามารถใช้ได้ไม่ว่าจะเป็นลม เตรื่องดับเพลิง หรือแม้แต่น้ำก็ตาม ตราบใดที่นายดับมันโดยอยู่ในเงื่อนไขได้ นายก็รับไปได้เลยหนึ่งล้าน ไม่ว่าจะเป็นลูกเด็กเล็กแดงหรือคนแก่เฒ่าฉันก็ไม่เกี่ยง” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“โถ่ ที่นายไม่บอกพวกเราก่อนหน้านี้เป็นเพราะพวกเราจะเตรียมตัวได้พร้อมก่อนที่จะได้เข้าไปลองใช่ไหมล่ะ นายกลัวล่ะสิว่าพวกเราจะดับไฟนั่นได้” ทุกคนในห้องตอนนี้ก็ได้จับจ้องไปที่แถวที่ตอนนี้ถึงจะดูไม่ยาวมากแล้วแต่ก็สมควรจะช้าเกินกว่าที่จะได้ลองแล้วอย่างแน่นอน
นั่นก็เพราะตอนนี้ถึงคราวชายหนุ่มตัวสูงแล้ว เขานั้นไม่ได้มีท่าทีประหม่าแต่อย่างใด เขาได้รินน้ำจากขวดน้ำแร่ที่ถือเอาไว้ให้ลงไปโดนไส้ตะเกียงได้ตรงๆ
ฉากนี้ทำให้ผู้คนโดยรอบแทบจะไม่มีเลือดไปเลี้ยงหัวใจของพวกเขาแล้ว นั่นก็เพราะความเสียดายอย่างแสนสาหัสที่ต้องเห็นเงินล้านหลุดลอยไปอยู่ในมือคนอื่นๆแบบง่ายๆแบบนี้