GGS:บทที่ 1089 คนเก็บขยะ

ภายใต้การรายล้อมของฮัวหยุนชู ฟูฮงซิ่ว และหยวนหยินหนิง นั้น ซูจิ้งและฉือชิงได้เดินเข้าให้งานเลี้ยงไปโดยไม่สนใจคนรอบข้าง แม้แต่เพื่อนร่วมรุ่นหลายๆคนที่เห็นกลุ่มซูจิ้งเดินผ่านไปก็ไม่กล้าแม้แต่จะกล่าวทักทายเพราะพวกเขานั้นสู้หน้าซูจิ้งไม่ติดเลยจริงๆ
เจียงหวางและโอฉิงสงในตอนนี้นั้นได้ลบล้างความรู้สึกที่จะคิดเดียดฉันท์ซูจิ้งให้หายไปในทันที และไม่มีแม้แต่ท่าทางจะเป็นปฏิปักษ์ด้วยเลยแม้แต่น้อย
ถึงแม้ว่าเขานั้นจะเป็นคนเชิญฮัวหยุนชูมาพร้อมความคาดหวังที่คิดจะให้ฮัวหยุนชูออกหน้าให้เจียงหวางในการจัดการซูจิ้งพร้อมทั้งเป็นการสร้างความประทับใจให้ฮัวหยุนชู
เขานั้นที่ทำแบบนี้ก็เพราะต้องการที่จะอยู่เหนือซูจิ้งให้ได้และในครั้งนี้เขาได้ทุ่มทุกสิ่งที่อย่างที่มีหรือจะให้เรียกว่าเดิมพันครั้งใหญ่ในชีวิตเลยก็ว่าได้
แต่หลังจากเขาได้พบว่าฮัวหยุนชูที่เขาอุตส่าห์เชิญมาเพื่อการนี้ยังต้องกลายเป็นลูกกระจ๊อกให้ซูจิ้ง แล้วจะให้เขานั้นเก็บความรู้สึกเดียดฉันท์นั้นไว้ได้ยังไง

กับโอฉิงซงนั้นที่ก่อนหน้านี้นิ่งจนไม่รับรู้สิ่งใดไปแล้วนั้น เขาได้เหยียบความรู้สึกเดียดฉันท์นั้นให้ลงไปอยู่ลึกในจิตใจในทันที
ขนาดฮัวหยุนชูที่เขาคาดหวังไว้ว่าจะเป็นแนวหน้าสุดท้ายของในการจัดการซูจิ้งในความคิดต่อสู้ครั้งสุดท้ายของเขายังกลายเป็นไปได้ซะขนาดนี้ แล้วเขานั้นจะเอาอะไรไปสู้ได้กัน ถึงแม้ตอนนี้เขาจะหันหลังกลับไม่ได้แล้วและยังฝังใจอยู่ว่าหวังหยานยังคงมีซูจิ้งอยู่ในจิตใจก็ตาม แต่กับเหตุการณ์ในตอนนี้เขาต้องเลือกเอาชีวิตตัวเองไว้ดีกว่าต้องสู้กับซูจิ้งอย่างแน่นอน

“อาจิ้ง ไม่ได้เจอกันนานเลยสินะ” เฉียนหยินหนิงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าเธอในตอนนี้จะยังตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นก็ตาม แต่ตัวเธอนั้นก็ได้เรียกคืนความเยือกเย็จของเธอกลับมาได้ในที่สุด
“โอ้ สวัสดี ไม่คิดว่าเธอจะมาด้วยนะเนี่ย” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“เป็นไงล่ะ เป็นอย่างที่ฉันบอกไว้ใช่รึเปล่าว่าหากเพื่อนเก่าได้มาเห็นนายล่ะก็ไม่มีใครเชื่อหรอกว่านายจะมาได้ถึงขนาดนี้ ตอนแรกที่ได้ยินว่านายจะมางานเลี้ยงรุ่นนี่ฉันก็นึกไว้แล้วล่ะว่าพวกเขาต้องประหลาดใจ แต่ก็ไม่คิดว่านายจะทำให้ทุกคนประหลาดใจได้มากกว่าที่ฉันคิดไว้ซะอีกนะเนี่ย” เฉียนหยินหนิงพูดออกมาก่อนที่จะปลายตาไปยังฮัวหยุนชู ฟูฮงซิ่ว และหยวนหยินหนิง ถึงแม้จะยากที่จะเชื่อได้ต่อให้เห็นกับตาตัวเองอย่างนี้ว่าสามคนนี้กลายเป็นลูกไล่ของซูจิ้งไปแล้วก็ตาม

ทุกคนที่เห็นทั้งสองพูดคุยกันก็ได้เข้าใจสักทีว่าไม่แปลกใจเลยที่เฉียนหยินหนิงถึงได้มาที่นี่ เธอนั้นไม่แม้แต่จะสนใจเจียงหวางเลยแม้แต่น้อยต่อให้เขานั้นเป็นคนเชิญเธอมาก็ตาม
ดูเหมือนว่าการที่เธอมาที่นี้นั้นเพียงเพราะต้องการจะพบซูจิ้งเท่านั้น นี่มันทำให้นึกไปถึงเรื่องของฮัวหยุนชูได้เลยว่าที่คนแบบเขายอมลดตัวมาที่นี่นั้นไม่ใช่เพราะเจียงหวางแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะต้องการไว้หน้าลูกพี่ของเขาหรือก็คือซูจิ้งนั่นเอง

เจียงหวางเองในตอนนี้รู้แล้วว่าตัวเองตกอยู่ในจุดที่ทำอะไรไม่ได้แล้ว เขาในตอนนี้ไม่ได้ทำตัวจ้าวสังคมแบบก่อนหน้านี้อีกต่อไป เขานั้นปลีกตัวออกจากทุกคน แต่ต่อให้เขาไม่ทำแบบนั้นในตอนนี้ก็ไม่มีใครคิดจะเข้าไปคุยกับเขาอีกต่อไปอยู่ดี

ซูจิ้งได้แนะนำฉือชิงให้ทุกคนได้รู้จัก ทุกคนที่ได้เห็นด้วตาตัวเองก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองด้วยสายตาที่หยาดเยิ้ม นั่นก็เพราะฉือชิงในตอนนี้นั้นงดงามมากจนยากจะละสายตาได้เลย
ขนาดหวังหยานและเฉียนหยินหนิงที่ว่าสวยมากแล้วนั้น เมื่อได้เทียบกับฉือชิงแล้วเปรียบได้ดั่งสวยแต่รูปไปเลยยังไงอย่างนั้น
และด้วยการที่ฉือชิงได้อยู่ในชุดสีขาวนี้เองทำให้เธอนั้นงดงามราวกับนางฟ้าทั้งเก้าที่ได้เผลอไผลร่วงหล่นมาบนโลกมนุษย์ใบนี้ ราวกับว่าบนโลกนี้ไม่มีใครงามงดเท่าเธอได้แล้วเลยทีเดียว
แม้แต่หวังหยานและเฉียนหยินหนิงเองก็ยังอดไม่ได้ที่จะจับจ้องไปยังฉือชิงอย่างหลงใหล หวังหยานในตอนนี้ถึงกับถอดถอนหายใจอยู่ในความคิด
เธอพบว่าเพียงช่วงเวลาไม่นานนัก ฉือชิงได้งดงามขึ้นมากกว่าตอนที่ซูจิ้งวาดรูปของเธอไปแล้ว จึงไม่แปลกที่ในตอนนั้นผู้คนจะคิดว่าเธอนั้นเป็นนางฟ้าที่ร่วงหล่นมาบนโลกมนุษย์ นั่นก็เพราะแม้แต่ผู้หญิงอย่างเธอเองก็ยังแทบจะอดใจไม่ได้ที่จะเข้าไปจุมพิตเธอในตอนนี้เลยด้วยซ้ำ เทียบกับตัวเธอเองแล้วไม่ว่าเธอจะมองยังไงฉือชิงก็ชนะเธอแทบจะในทุกด้านอยู่ดี
“เฮ้เฮ้เฮ้ จะยืนคุยกันอย่างนี้ไปทำไมล่ะนั่น นั่งสินั่ง ไปนั่งคุยกันดีกว่าน่า” หลินฮ่าวได้พูดออกมาก่อนจะลากซูจิ้งไปนั่งคุยด้วย หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้พูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องราวของซูจิ้งกันเป็นส่วนใหญ่ จนทำให้บรรยากาศภายในงานนั้นดูมีสีสันขึ้นอย่างมาก
ให้พูดจากใจจริงก็คือซูจิ้งนั้นเปลี่ยนไปมากจริงๆ
ในตอนนี้เขานั้นมีสถานะในสังคมที่สูงส่ง มีคู่หมั้นที่งดงาม จนเรียกได้ว่าเพื่อนร่วมรุ่นของเขานั้นจำไม่ได้ด้วยซ้ำหากไม่เกิดเรื่องขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม หลังจากทุกคนได้ฟังสิ่งที่พูดคุยออกมานั้นพวกเขายืนยันได้ทันทีว่าซูจิ้งนั้นยังคงเป็นซูจิ้งที่พวกเขารู้จัก เรียกได้ว่านิสัยนั้นไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิดเดียว
ซูจิ้งได้นำข้าวสีน้ำเงิน บุหรี่ของเขาเกรดคัดพิเศษ และชาเขียวหกนิ้วมาให้ทุกคนได้ลิ้มรส หลังจากทุกคนได้ลิ้มรสไปแล้วกลับกลายเป็นว่าบรรยากาศภายในงานนั้นครึ้นเครงแบบสุดๆในทันที
และด้วยเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้นั้น ไม่ว่ามองยังไงแล้ว ซูจิ้งก็ยังคงเป็นจุดศูนย์กลางของเรื่องทั้งหมดอยู่ดี นี่ทำให้เจียงหวางนั้นไม่กล้าที่จะทำตัวโดดเด่นอีกต่อไป

ฮัวหยุนชูเองก็ได้เข้าไปคุยกับเจียงหวางในเรื่องที่เกิดขึ้นและผลที่จะตามมาแล้วจนทำให้เขานั้นไม่คิดที่จะอยู่ในงานด้วยซ้ำ เขานั้นอยากจะแทรกแผ่นดินหนีไปให้พ้นๆแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่นั่งนิ่งๆไม่ไหวติงราวกับไม่มีตัวตน
สำหรับโอฉิงซงนั้นยิ่งแล้วใหญ่ เขานั้นตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาหนีไปซุกอยู่ตรงมุมห้อง อยากออกก็ออกไปไม่ได้ จะอยู่ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ตรงไหนดี

ในตอนนี้นั้นไม่ใครคิดจะถามเรื่องราวระหว่างซูจิ้งกับสามสุดยอดนายน้อยที่ได้กลายเป็นลูกกระจ๊อกแม้แต่น้อย นั่นก็เพราะต่อให้สามคนนี้ยอมเป็นลูกกระจ๊อกของซูจิ้งยังไงก็ตาม แต่ยังไงซะทั้งสามก็ยังคงเป็นสุดยอดนายน้อยอยู่ดี ใครจะกล้าไปถามเรื่องชวนอารมณ์เสียแบบนี้ได้
“อาจิ้ง สองสามปีมานี้นายไปทำอะไรมาบ้างเนี่ย ทำไมอยู่ๆถึงได้ขึ้นมาอยู่ในระดับนี้ได้กัน” นักเรียนชายคนหนึ่งอดที่จะถามออกมาอย่างตรงไปตรงมาไม่ได้ คนอื่นเองที่ได้ยินคำถามนี้ก็อดที่จะหยุดคุยกันและคอยเงี่ยหูฟังในทันทีไม่ได้เลย
“ก็หลายอย่างล่ะนะ แต่หลักๆแล้วก็คงเป็นการเก็บของดีได้จากกองขยะล่ะนะ ยังไงซะฉันเองก็เป็นเพียงคนจัดการขยะคนหนึ่งเท่านั้นเอง” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
ด้วยคำพูดนี้ของซูจิ้งทำให้เพื่อนร่วมรุ่นของเขาหลายๆคนอดที่จะถลึงตามองไม่ได้ ทุกคนต่างก็คิดว่าซูจิ้งแค่พูดยั่วพวกเขาเล่นๆเท่านั้น
หากว่าซูจิ้งนั้นสามารถเก็บสมบัติออกมาจากกองขยะได้ตลอดเวลาแบบนี้ล่ะก็ ใครเชื่อก็บ้าเต็มทีแล้ว กองขยะแบบนั้นจะไปมีอยู่ในโลกได้ยังไงกัน
แต่ถึงจะคิดกันแบบนั้นแต่พวกเขาก็รับรู้ได้เช่นกันว่าซูจิ้งนั้นพูดความจริงออกมา แม้แต่ทุกวันนี้เขานั้นก็ยังคอยเก็บ จัดการ คัดแยก ขยะ(ห้วงเวลาฯ) เพื่อรักษาดุลยภาพของโลกใบนี้เอาไว้

หลังจากงานได้ดำเนินไปได้สักพักใหญ่ บริกรก็ได้เริ่มเสริฟอาหารมื้อเที่ยงของโรงแรม ในตอนนั้นเองบริเวณลานจัดงานของโรงแรมนั้นก็ได้เกิดเสียงหนึ่งดังขึ้นมาพร้อมทั้งมีผู้คนที่รายล้อมไปทั่ว
จากนอกหน้าต่างในชั้นสองตอนนี้พวกเขาสามารถเห็นป้ายสโลแกนของบริษัทๆหนึ่งที่เขียนไว้ว่า “เทคโนโลยีที่อยู่เหนือกาลเวลา”
“ห้ะ อาจิ้ง นั้นมันงานของกลุ่มทุนห้วงเวลาของนายไม่ใช่เหรอ” หลินฮ่าวถามออกมาอย่างงงๆ
“พี่สาม ตอนนี้พี่ยังไม่ได้มีแผนที่จะปล่อยผลิตภัณธ์ตัวใหม่ออกมาไม่ใช่เหรอ แล้วพี่จะจัดงานแถลงข่าวทำไมกัน” เสี่ยวรุยถามออกมาอย่างสงสัย
หวังหยาน เฉียนหยินหนิง ติงบิน เทียนยี่ เจียงหวางและคนอื่นๆเองที่ได้ยินก็ได้หันไปดูและก็เห็นแบบนั้นเช่นเดียวกัน จนตอนนี้พวกเขาต่างก็รู้สึกว่างานในครั้งนี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“เอาน่าเดี๋ยวก็ได้รู้เอง ก็คิดซะว่าพวกนายนั้นมีอะไรดีๆได้ดูตอนได้กินอาหารหรูๆก็แล้วกัน” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“แบบนี้ก็ดีน่ะสิ” ทุกๆคนในตอนนี้ต่างก็หัวเราะชอบใจกันในทันที เพื่อเขาเชื่อว่าของที่ซูจิ้งเตรียมเอาไว้นั้นย่อมดีกว่าได้ดูละครทีวีระหว่างกินข้าวอย่างไม่ต้องสงสัย

ในใจกลางของลานจัดกิจกรรมของโรงแรม ภายใต้ป้ายสโลแกนกลุ่มทุนห้วงเวลา ทุกคนนั้นจ้องมองไปยังบางสิ่งที่ได้รับการรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนาด้วยตะแกรงเหล็ก
ข้างในนั้นก็คือตะเกียงน้ำมัน ตะเกียงน้ำมันนี้มีของบังลมที่สูงกว่าครึ่งเมตรเห็นจะได้ มันดูราวกับตะเกียงของชายพายเรือที่นำพาคนตายข้ามฝั่งแม่น้ำ แน่นอนว่าในตอนนี้มันมีไฟถูกจุดเอาไว้แล้ว
และรอบๆกรงที่รักษาความปลอดภัยให้ตะเกียงนั้นก็ได้มีชายที่ดูสูงและแข็งแกร่งกว่าประคนที่อยู่ในชุดสูทและแว่นตาดำรายรอบเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง
ในตอนนั้นเองก็ได้มีหญิงสาวคนหนึ่งที่อยู่ในชุดสูทสั่งตัดถือไมค์เอาไว้เดินออกมาจากไหนก็ไม่รู้ เธอได้พูดขึ้นมาว่า “สวัสดีค่ะทุกท่าน ฉันรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ในวันนี้ได้มีโอกาสในการเปิดตัวผลงานวิจัยของกลุ่มทุนห้วงเวลาฯต่อหน้าสาธารณชนในวันนี้นะคะ

พวกเรานั้นเชื่อมั่นว่างานวิจัยของพวกเราที่เปิดตัวในวันนี้จะต้องสร้างความประหลาดใจให้กับทุกท่านอย่างแน่นอน
ในตอนนี้ทุกท่านคงจะเห็นของที่อยู่ในกรงตรงนั้นแล้วว่าข้างในมันคืออะไร อย่างที่ทุกท่านได้เห็น นั่นก็คือตะเกียงน้ำมันที่กำลังจุดไฟอยู่ และตะเกียงนี้เองก็คือสุดยอดงานวิจัยที่ทางเราได้ยินดีอย่างยิ่งที่จะนำเสนอให้ท่านต้องประหลาดใจกันในวันนี้…..”
ทันทีที่สิ้นคำพูด เพื่อนร่วมรุ่นของซูจิ้งต่างก็มองหน้ากันไปมา ส่วนคนที่อยู่จตุรัสนั้นต่างก็รู้สึกงงๆและพูดออกมาอย่างดูถูกว่า
“นรกห่าเหวอะไรกัน มันก็แค่ตะเกียงน้ำมันนี่นา ของแค่นี้เนี่ยนะที่จะคู่ควรกับการเป็นผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ได้”
“นี่กลุ่มทุนห้วงเวลาตกต่ำลงมาจนวิจัยกับแค่น้ำมันตะเกียงเนี่ยนะ”
“ไม่ว่าจะมาบอกอะไรก็ตามแต่ก็ไม่ทางพัฒนาของที่คิดค้นและหยุดพัฒนามาแล้วว่าสามพันปีได้หรอก”

“เท่าที่ดูแล้วนั้นอย่างมากตะเกียงนั่นก็สมควรจะเป็นตะเกียงที่ใช้กันทั่วไปตอนฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวเท่านั้น
ไม่ต้องไปพูดถึงความเก่าแก่ของตะเกียงเลย
ขนาดตะเกียงที่เก่าแก่ที่สุดที่อยู่มาตั้งแต่ยุคราชวงศ์ฮวงกว่าสี่ถึงห้าพันปียังมีสภาพเดียวกันเลย ตะเกียงนำมันนี่ก็ไม่น่าจะเกินไปกว่านั้นหรอกน่า” หลายๆคนอดที่จะพูดดูถูกพร้อมเสียงหัวเราะออกมาไม่ได้