GGS:บทที่ 1088 ตกตะลึง

ฉากที่ทุกคนได้เห็นในขณะนี้ก็คือฉากซูจิ้งได้ก้าวลงจากรถ โดยมีฮัวหยุนชู ฟูฮงซิ่ว และหยวนหยินหนิงวิ่งกุลีกุจอต้อนรับราวกับเป็นน้องเล็กของกลุ่มคนก็ไม่ปาน ฉากนี้ทำให้ทุกคนที่เห็นต่างก็งงกันเป็นไก่ตาแตก
“ห้ะ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ฉันตาฝาดไปเรอะ” หลินฮ่าวที่เห็นฉากที่เกิดขึ้นนี้อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาด้วยสายตามึนงง

“คุณชายสี่ทั้งสามคนได้เข้าไปเปิดประตู ถือร่มบังแดด และจุดบุหรี่ให้อาจิ้ง นายน่ะไม่ได้ตาฝาดหรอก ฉันว่าเรากำลังฝันไปมากกว่า” ฉือเล่ยพูดออกมาราวกับว่าตัวเองนั่นโง่งมราวกับแตงกวาก็ว่าได้
“ฉันก็รู้นะว่าพี่สามนั้นทรงพลังแต่ก็ไม่คิดว่าจะทรงพลังถึงขนาดนี้ เขานี่เทพอย่างไม่ต้องสงสัยอีกต่อไปแล้ว” เสี่ยวรุยได้พูดออกมาพร้อมสายตาที่จ้องมองอย่างไม่กระพริบ
“นี่มันเรื่องอะไรกัน” เจียงหวางในตอนนี้นั้นบอกได้เลยว่าสมองของเขาว่างเปล่าจนทำไม่ได้แม้แต่จะเบือนหน้าหนี ว่างเปล่าชนิดที่ว่าไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าฉากที่เห็นอยู่นี้เป็นของจริงรึเปล่า
“…ไม่…มี…ทาง…” โอฉิงซงที่เห็นนั้นสายตาของเขาในตอนนี้แทบจะดับวูบ เหตุผลเดียวที่เขามาที่นี่เป็นเพราะเจียงหวางนั้นต้องการเกาะขาฮัวหยุนชูในการต่อกรกับซูจิ้ง
แต่ในตอนนี้ ไม่เพียงฮัวหยุนชูเท่านั้น แม้แต่ฟูฮงซิ่วและหยวนหยินหนิงเองต่างก็ต้องยอมซูฮกให้กลับซูจิ้งราวกับลูกกระจ๊อกของกลุ่มแบบนี้

ในเมื่อเขากลายเป็นแบบนี้แล้วจะไปต่อกรอะไรได้กัน ฉากที่เกิดขึ้นต่อหน้าเขานี้อยู่เหนือสิ่งที่เขาได้คาดเอาไว้อย่างห่างไกลยิ่ง ห่างไกลชนิดที่ว่ามาแต่ได้เห็นตรงหน้าก็ยังอยากที่จะยอมรับได้
ติงบิน เทียนยี่ เฉียนหยินหนิง หวังหยานและเพื่อนร่วมรุ่นคนอื่นๆต่างก็จ้องมองฉากนี้อย่างโง่งม ฉากนี้ช่างทรงพลังเกินกว่าที่จะมีใครคาดคิดถึงได้

ฉากนี้ทำให้แม้แต่หวังหยานเองก็อดไม่ได้ที่จะฝ่าฝูงเพื่อนเก่าเข้ามาต้อนรับซูจิ้งด้วยอีกคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้เธอนั้นจะทิ้งซูจิ้งไปนั้นเป็นเพราะว่าซูจิ้งเป็นคนที่ไม่มีชาติตระกูลที่แข็งแกร่งอยู่เบื้องหลัง แต่ฉากที่เธอได้เห็นตรงหน้านี้เมื่อเทียบกับความคิดของเธอนั้นมันช่างทรงพลังเกินกว่าที่เธอจะคว้ามาไว้ในครอบครองได้
ไม่เพียงแต่เหล่าเพื่อนเก่าของซูจิ้งเท่านั้น แม้แต่ผู้คนของโรงแรมนานาชาติหลงเต็ง แขกที่มาพัก แม้แต่คนที่ผ่านไปมาก็อยากที่จะยอมรับฉากที่เห็นได้เช่นเดียวกัน
นั่นก็เพราะไม่มีใครไม่รู้จักฮัวหยุนชู ฟูฮงซิ่ว หรือแม้แต่หยวนหยินหนิง ทั้งสามคือคนใหญ่โตที่หากพวกเขาได้เดินสวนก็แทบจะต้องก้มลงกราบขอโทษเพราะไม่ยอมมอบคลานหลีกทางให้ทั้งสามไปก่อน แต่ฉากที่เห็นนี่มันช่าง….
บางคนในตอนนี้เริ่มเก็บความรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้อีกต่อไป ใครบางคนนั้นได้รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายภาพแล้วส่งต่อไปบนอินเตอร์เน็ตในทันที

“แม่…เอ๊ย เป็นไปได้ยังไงกัน มีใครตัดต่อภาพรึเปล่า” หลี่เชิงที่เห็นภาพก็อดไม่ได้ที่จะไม่เชื่อ นั่นก็เพราะภาพที่เขาเห็นนั้นคือภาพที่กลุ่มคนที่จับมือกันเพื่อช่วยเหลือซูจิ้งนั้นยอมซูฮกให้เขาแต่โดยดี
เขารู้จักคนทั้งสามนี้ดีว่าแต่ละคนนั้นต่างก็ถือดีในศักดิ์ศรีและเกียรติของตัวเองมากมายขนาดไหน ขนาดแค่จะก้มหัวให้กันเองเมื่อยามทักทายยังไม่มีเลยแม้แต่น้อย
แถมก่อนหน้านี้ยังรวมกลุ่มกันเพื่อต่อกรกลับซูจิ้งเสียอีก แล้วอยู่ๆทำไมซูจิ้งถึงกลายเป็นหัวหน้าแก๊งนี้ได้กันล่ะ

“…….อย่าบอกนะว่าไอ้พวกบ้านี่ลงมือแล้วพร้อมจนต้องยอมสวามิภักดิ์ต่อซูจิ้งน่ะ” หลี่เชิงได้คิดความเป็นไปได้นี้ขึ้นมาในทันทีจนอดไม่ได้ที่จะเกิดอาการหนังตากระตุกเกร็งจนจะเป็นตะคริว
ถึงแม้ว่าการที่คุณชายทั้งสามจะลงมือทำอะไรบางอย่างจะเป็นฝันร้ายของใครหลายๆคนก็ตาม แต่นี่มันก็สมควรจะเพิ่งเริ่มลงมือเองไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมในช่วงเวลาสั้นๆซูจิ้งถึงได้พบและทำให้ทั้งสามยอมสวามิภักดิ์ได้กัน นี่พวกมันไปทำอะไรมากันหน้าถึงต้องทำถึงขนาดนี้ซูจิ้งถึงยอมปล่อยให้อยู่รอดได้
ตอนนี้หลี่เชิงเริ่มคิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆนานาที่อาจจะเกิดขึ้นจนไปถึงเหตุผลที่ทั้งสามต้องทำได้เพียงสวามิภักดิ์ขนาดนี้เท่านั้นถึงจะอยู่รอดได้ ยิ่งเขาคิดความเป็นไปได้ออกมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งกลัวในตัวซูจิ้งมากขึ้นเท่านั้น

จนในที่สุดแล้วเขาก็อดที่จะรู้สึกโล่งใจไม่ได้ที่ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้เข้าร่วม ไม่อย่างนั้นแล้วเขาเองก็คงจะจบไม่สวยเหมือนสามคนนี้อย่างแน่นอน
“….ซูจิ้งคนนี้ ฉันคิดว่าเขาน่าจะทรงพลังอย่างน่าสะพรึงกลัวจนเกินกว่าที่พวกเราจะจินตนาการออกได้เป็นแน่… ต่อแต่นี้ฉันต้องให้คนของฉันจดจำไว้ให้ดีว่าห้ามไปก่อเรื่องกับหมอนี่โดยเด็ดขาดไม่ว่าจะเป็นหนทางไหนก็ตาม” หลี่เชิงได้พึมพำออกมาราวกับจะทำให้ตัวเองนั้นได้จดจำฝังจำเกี่ยวกับข้อระวังข้อนี้ให้มั่น

ณ สำนักงานใหญ่ของกลุ่มทุนห้วงเวลา หวังจ้าวและเฉิงหนานนี้กังวลอย่างมากจนได้ต่อพูดคุยกันถึงเรื่องความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นจากคุณชายสี่ทั้งสามคน พร้อมทั้งหาวิธีป้องกันเหตุที่อาจจะเกิดตามมาอย่างเคร่งเครียด
ทันใดนั้นเองเฉิงหนานก็ได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนที่จะพูดออกมาว่า “มีเรื่องเกิดขึ้นที่โรงแรมนานาชาติหลงเต็งแล้ว” เธอพูดออกมาก่อนที่จะเปิดรูปที่ได้ให้คนที่ติดตามเรื่องนี้อย่างกระชั้นชิดส่งมาให้เธอดู แต่เพียงเธอได้เห็นเท่านั่นเธอถึงกับนิ่งอึ้งไปในทันที

“เกิดอะไรขึ้น” หวังจ้าวที่เห็นหน้าของเฉิงหนานในตอนนี้ก็ต้องรู้สึกประหลาดใจ เขานึกสงสัยจนต้องลุกขึ้นมาจากเก้าอี้เพื่อเข้าไปดูโทรศัพท์ของเฉิงหนานใกล้ๆเพราะต้องการรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เพียงตอนที่เขาได้เห็นภาพที่ส่งมานี้อย่างมันไม่ชัดดี เขาต้องนิ่งอิ้งไปกว่าสามนาที ทันใดนั้นหนังตาของเขากระตุกไม่หยุดจนพูดออกมาด้วยความตื่นเต้นว่า “เกิดห่าอะไรขึ้นกันวะนั่น”
“เห้ออออ ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่นกันแน่” เฉิงหนานพูดพลางถอดถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกพร้อมทั้งความหน่ายจิต

“….ไม่ใช่ว่าไอ้เรื่องที่ตระกูลสามตระกูลนั่นหยิบยื่นข้อเสนอดีๆให้เราแล้วซูจิ้งบอกให้เธอเชื่อๆเซ็นๆให้พวกมันไปนั่นเป็นเพราะแบบนี้สินะ” หวังจ้าวนั้นได้เข้าใจในทันทีว่าทำไมสามตระกูลนั่นถึงยอมมอบข้อเสนอที่เสียเปรียบให้ซะขนาดนั้นราวกับจะมอบทุกอย่างให้เป็นเพราะสามคนนี้สวามิภักดิ์ให้ซูจิ้งแล้วนี่เอง แต่ตอนนี้ที่เขาอยากรู้มากที่สุดก็คือที่มาที่ไปของเรื่องนี้คืออะไรกันแน่
“นั่นสิ อาจิ้งของพวกเราไปทำอะไรมากันแน่เนี่ย” เฉิงหนานเองก็นึกถึงเรื่องสัญญาขึ้นมาเช่นเดียวกัน แม้ว่าเธอเองจะไม่ค่อยรู้ว่าซูจิ้งนั้นมีความคิดอ่านยังไงก็ตาม
แต่ที่เธอรู้แน่ๆก็คือซูจิ้งนั้นน่ากลัวแบบสุด แม้ว่าเธอจะพบเจอเรื่องที่แสดงถึงความทรงพลังของซูจิ้งมามากมายจนเริ่มชาชินแล้วก็ตาม แต่ในครั้งนี้นั้นมันเกินกว่าที่เธอจะชินชาได้จริงๆ นั่นก็เพราะว่าเรื่องนี้มันใหญ่เกินกว่าเรื่องที่เคยพบเจอมานับร้อยเท่าพันเท่าเลยก็ว่าได้

“ผู้จัดการหนิงคะ มีบางอย่างเกิดขึ้นที่โรงแรมนานาชาติหลงเต็งตอนที่ซูจิ้งไปถึงค่ะ” ณ บริษัทซิหลัน ผู้ช่วยของเธอได้พุ่งเข้ามาในออฟฟิศแล้วพูดออกมาติดกันราวกับลืมหายใจ
“หืม ซูจิ้งทำอะไรกัน” หนิงหยิงติงถามไปยังผู้ช่วยของเธอด้วยสายตาที่เปล่งประกาย ที่นั้นอยากรู้จริงๆว่าซูจิ้งจะทำหน้ายังไงเมื่อพบเจอว่านายน้อยสามคนได้รวมตัวกันอยู่ที่นั่น เธออยากรู้จริงๆว่าซูจิ้งจะทรงพลังพอที่จะจัดการเรื่องนี้ออกมาเป็นแบบไหน
“มัน….เอ่อ….ซูจิ้งนั้นแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลยค่ะ แต่ฮัวหยุนชู ฟูฮงซิ่ว และหยวนหยินหนิงนั้น…. ฉันว่าผู้จัดการควรจะดูเองดีกว่า” ผู้ช่วยสาวพูดออกมาด้วยท่าทีที่อยากจะอธิบายพร้อมกับส่งโทรศัพท์ให้หนิงหยิงติง

“………”หนิงหยิงติงที่เพียงเห็นภาพนี้แค่แวบแรกก็ราวกับว่าประสาทการรับรู้ทางสายตาของเธอนั้นถูกตัดขาด เธอนิ่งไปนานก่อนที่จะใช้มือขยี้ตาตัวเองแล้วกลับมาดูภาพที่เห็นขึ้นอีกที และผลก็คือเหมือนเดิมอย่างไม่ต้องสงสัย
ภาพที่เธอได้เห็นนี้ทำให้เธอต้องอ้าปากค้างจนไม่สามารถปิดได้ไปนานสองนานเลยทีเดียว

“ไอ้ฉิบ….” ทั้งฉิวจิง หวู่จู และคิมูระ และใครๆก็ตามที่เคยมีเรื่องกับซูจิ้งแทบจะอุทานออกมาเหมือนๆกันในทันที่เห็นภาพนี้ หลังจากแน่ใจแล้วว่านี่คือภาพจริงถึงคนก็ตกอยู่ในสภาพโง่งมจนทำอะไรไม่ถูก ก่อนที่จะพากันถอนหายใจแบบถอดใจออกมาในที่สุด
ทุกคนๆต่างก็นึกสงสัยขึ้นมาว่าต้องเป็นคนที่น่าสะพรึงกลัวขนาดกันถึงจะทรงพลังพอที่จะต่อกรกับซูจิ้งได้กัน ขนาดสามคนที่สุดยอดและรวมตัวกันเพื่อต่อกรกับซูจิ้งต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้ แล้วพวกเขาที่แทบจะไม่มีอะไรเลยแล้วไปหาเรื่องกับซูจิ้งนี่มัน….. การที่ซูจิ้งปล่อยให้พวกเขามีชีวิตรอดนี่ก็คือโชคอย่างที่สุดแล้วหรอกรึ

ทันทีที่ข่าวนี่แพร่กระจายออกไปนั้น เหล่าชาวเน็ตที่เห็นก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง แม้แต่แฟนคลับของซูจิ้งเองก็แทบจะไม่อยากเชื่อภาพที่เห็นต่อหน้านี้ได้เช่นกัน
“โอ้…คุณ….พระ….คุณ…เจ้า….นายน้อยทั้งสามยอมให้ซูฮกให้ซูจิ้งอย่างเป็นทางการแล้ว”
“ซูจิ้งในตอนนี้ไม่ใช่ว่าเขานั้นทรงพลังเทียมฟ้าไปแล้วเหรอเนี่ย แม้แต่นายน้อยทั้งสามคนนั่นยังต้องยอมซูฮก แล้วแบบนี้ใครจะทำอะไรเขาได้”
“ในฐานะแฟนคลับพี่จิ้งแล้วนั้นนนนน ตัวฉันเองก็อดไม่ได้ที่จะถามพี่จิ้งว่าถ้าพี่เทพซะขนาดนี้พี่ขึ้นไปอยู่บนสวรค์จะดีกว่าครับ ปล่อยให้คนเดินดินได้ลืมตาอ้าปากมั่งเต๊อะ”
“ในฐานะแฟนคลับอันภักดีของพี่จิ้งเช่นเดียวกัน ฉันก็ขอหยิบยกคำถามเดิมๆมาพูดแล้วกันนะว่า พวกเอ็งจะเชื่อกันได้รึยังว่าพี่เขานั้นเทพของจริง”
“ก่อนหน้านี้พวกของฉันนั้นยังคุยกันอยู่เลยว่าใครนั้นเจ๋งที่สุดในเหล่าสี่คุณชาย พวกเรายังคุยกันอีกว่าซูจิ้งนั้นดีแต่รวยแต่อย่างอื่นนั้นสำหรับเขาแล้วไม่คู่ควรกับคุณชายอีกสามคน มาตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าตาบอดไปจริงๆ พวกเรานั้นเห็นแต่เนินดินแต่ไม่รู้จักภูเขาเลยจริงๆ”
“เอาจริงๆเลยนะ ฉันเองก็ไม่ต่างกันเลยสักนิด เพราะมองซูจิ้งว่าเป็นเพียงแค่คนบ้านนอกที่เกาะคนใหญ่คนโตจนได้ดิบได้ดีเท่านั้นอย่าได้เอาเขาไปเทียบกับสุดยอดคนพวกนั้น
ไม่นึกเลยว่ายอดคนอย่างฮัวหยุนชู ฟูฮงซิ่ว และหยวนหยินหนิงก็ยังต้องยอมซูฮกให้ซูจิ้ง กว่าฉันจะรู้เรื่องนี้เขานั้นก็ไปไกลเกินกว่าที่จะมีใครหาเรื่องได้แล้ว”

ก่อนหน้านี้ผู้คนมากมายที่เรื่องที่เหล่าคุณชายไปรวมตัวกันที่โรงแรมนานาชาติหลงเต็งต่างก็คิดที่จะให้ทั้งสามสั่งสอนซูจิ้งให้รู้ว่าอะไรสูงอะไรต่ำเหมือนกัน พร้อมทั้งเตรียมแผนการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากกลุ่มทุนห้วงเวลาฯไว้แล้วในทันทีที่ซูจิ้งล้มลง
นั่นก็เพราะผลกำไรของที่นั่นนั้นสูงเสียดฟ้าจนอยากที่จะเห็นยอดของมันได้นั้นช่างน่าเย้ายวนจนน่าผสมโรงตามไปด้วย ราวกับว่าเป็นก้อนเค้กที่รอคนเปิดแล้วพวกเขานั้นจะได้ตามไปกินในทันที
แต่กับฉากที่เห็นนี้ทำให้ทุกๆคนที่มุ่งร้ายนั้นถึงกับต้องตกใจจนหลั่งเหงื่อออกมาในทันทีที่เห็นแล้วฝังกลับความคิดนี้ให้ลึกสุดหยังในทันที
เหตุผลว่าขนาดคุณชายทั้งสามที่ทรงอำนาจเมื่ออยู่ต่อหน้าซูจิ้งยังต้องกลายเป็นลูกกระจ๊อกของแก๊งไปแบบนี้ นับประสาอะไรกับพวกเขากัน
หากซูจิ้งรู้เรื่องที่พวกเขาคิดเอาไว้กลัวแต่ว่าพวกเขาจะไม่มีประโยชน์พอที่จะใช้งานได้จนโดนจับฆ่าทิ้งไปให้จบเรื่องจบราวเสียดีกว่า