ตอนที่ 751 ศึกข้างหน้าประตูเมือง

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ณ หน้าประตูเมือง ฉื่อซิ่งริเริ่มเปิดฉากและเข้าจู่โจมจูปี้อย่างไม่รีรอ

ความแข็งแกร่งของเขาอยู่ในขอบเขตราชาเซียนครึ่งก้าวซึ่งเหนือกว่าฉินอวี้โม่ในตอนที่มีพลังอำนาจสูงสุดเสียอีก

ทว่าเมื่อเห็นเช่นนั้น จูปี้ก็เพียงแค่นเสียงเย็นชาและตรงเข้าปะทะกับฉื่อซิ่งโดยไม่แสดงถึงความอ่อนแอใด ๆ พลังของเขาในตอนนี้ก็อยู่ในขอบเขตราชาเซียนครึ่งก้าวเช่นกันและเกือบจะอยู่ในระดับเดียวกับฉื่อซิ่ง ทั้งสองมีเรื่องขัดแย้งและบาดหมางกันมานานหลายปีโดยที่ไม่เคยตัดสินผลแพ้ชนะได้อย่างชัดเจนมาก่อน อย่างไรก็ตาม สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะพวกเขาทั้งสองฝ่ายกลัวว่าสถานการณ์จะเลยเถิดเกินไปจึงไม่ได้แสดงฝีมืออย่างสุดตัว

“ลูกพี่ ท่านหลบไปด้านข้างและรอชมผลงานเถอะ ข้าจะจัดการเจ้าหมูนั่นเอง !”

ฉื่อไท่หลางโบกมือให้กับฉินอวี้โม่โดยที่ไม่ต้องการให้เรื่องนี้ต้องถึงมือนาง จากนั้นเขาก็หันไปมองจูโหย่วจ้วงอย่างเหยียดหยามราวกับไม่เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย

ความแข็งแกร่งของคุณชายใหญ่ตระกูลจูเรียกได้ว่าอยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ทว่าด้วยรูปร่างที่อ้วนตุ๊ต๊ะจนเกินไป การเคลื่อนไหวของจูโหย่วจ้วงจึงช้ากว่ามากและไม่คล่องแคล่วเท่าใดนัก ทุกครั้งที่ประจันหน้ากับฉื่อไท่หลาง เขามักจะรับมือได้อย่างสูสีในตอนแรกทว่าหลังจากผ่านเวลาไประยะหนึ่ง เขาก็จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบและพ่ายแพ้ไปในที่สุด

“พวกเจ้าคุ้มกันความปลอดภัยให้กับแม่นางฉินไว้ ส่วนคนที่เหลือตามข้ามา !”

แม้พ่อบ้านตระกูลฉื่อจะมองว่าการทำสงครามกับตระกูลจูในเวลานี้จะไม่ใช่การตัดสินใจที่ชาญฉลาดนัก ทว่าเขาก็ออกคำสั่งอย่างรวดเร็วเพื่อให้ผู้ติดตามส่วนหนึ่งคุ้มกันความปลอดภัยให้กับฉินอวี้โม่และส่วนที่เหลือเหวี่ยงอาวุธในมือพลางเดินหน้าเข้าโจมตีฝ่ายตรงข้าม

เพียงไม่นาน การต่อสู้ขนาดใหญ่ก็ปะทุขึ้นหน้าประตูเมืองของอำเภอซ่างหยวนและเป็นบรรยากาศที่ดุเดือดพอสมควร

ผู้คนมากมายรวมตัวกันในบริเวณโดยรอบเพื่อชมการต่อสู้จากระยะที่ห่างออกไปและไม่กล้าเข้าไปร่วมวง การต่อสู้ระหว่างสองตระกูลใหญ่ของอำเภอซ่างหยวนเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งและคนนอกอย่างพวกเขาไม่ต้องการเสนอหน้าเข้าไปยุ่งเกี่ยว

ผลัวะ !

ฉื่อไท่หลางเหวี่ยงกำปั้นเข้าใส่ใบหน้าของจูโหย่วจ้วงอย่างแรงจนสันจมูกของอีกฝ่ายแทบบิดเบี้ยวผิดรูป

“ฉื่อไท่หลาง เจ้า…”

จูโหย่วจ้วงยกมือขึ้นจับจมูกของตนและหายใจฟึดฟัด ทว่าเมื่อกำลังจะกล่าวบางอย่างออกไป หมัดหนัก ๆ อีกหมัดก็พุ่งตรงเข้ามาที่ใบหน้าของตนอีกครา

พลั่ก !

แรงโจมตีดังกล่าวทำให้จูโหย่วจ้วงล้มกระแทกพื้นอย่างแรงและรอบดวงตาดำคล้ำเป็นหมีแพนด้าอย่างรวดเร็ว

“จูโหย่วจ้วง คนอย่างเจ้าริอาจดูหมิ่นลูกพี่ของข้างั้นรึ ? เจ้าไม่คู่ควรเลยสักนิด !”

ฉื่อไท่หลางมองคู่ต่อสู้ที่ล้มกองบนพื้นและกล่าวเย้ยหยันอย่างไม่ไว้หน้า

ถึงแม้จะรู้จักกันได้เพียงไม่นาน ทว่าสำหรับฉื่อไท่หลางนั้น ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่คู่ควรกับลูกพี่ของเขา นับประสาอะไรกับจูโหย่วจ้วงผู้นี้ แม้แต่หานโม่ฉือที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี เมื่อได้พบกันในภายภาคหน้า เขาก็จะพินิจพิจารณาอย่างละเอียดด้วยตัวเอง หากเห็นว่าไม่คู่ควรกับลูกพี่ของตน ฉื่อไท่หลางก็จะไม่ยอมปล่อยหานโม่ฉือไปง่าย ๆ เช่นกัน

“เจ้า…”

จูโหย่วจ้วงถึงกับพูดไม่ออกทันที ในตอนนี้รอบดวงตาของเขาปูดบวมอย่างเห็นได้ชัดแล้วและจมูกก็แทบบิดเบี้ยวจากกำปั้นหนัก ๆ นั่น ส่งผลให้ตัวเขาตอนนี้อยู่ในสภาพที่น่าสังเวชไม่น้อย

ด้วยพลังมายาในร่างกายที่สูญเสียไปมาก เขาจึงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบไปโดยปริยายในการประจันหน้ากับนายน้อยตระกูลฉื่อผู้นี้

“ฉื่อไท่หลาง เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้ !”

เมื่อจูปี้ผู้ซึ่งกำลังต่อสู้กับฉื่อซิ่งเห็นสภาพอันน่าเวทนาของบุตรชายตนเอง สีหน้าของเขาก็เหยเกด้วยความโกรธเกรี้ยวทันที

เขาตะโกนกร้าวและหมายจะตรงเข้าไปช่วยเหลือบุตรชายอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม​ ฉื่อซิ่งไม่ยอมให้เขาหลุดออกไปได้ง่าย ๆ และตรงเข้าไปขวางเพื่อมิให้คู่ต่อสู้เข้าไปช่วยจูโหย่วจ้วงได้สำเร็จ

แม้ความแข็งแกร่งของทั้งสองจะไล่เลี่ยกันจนตัดสินผู้ชนะไม่ได้ในเวลาสั้น ๆ ทว่าการขัดขวางมิให้อีกฝ่ายออกไปช่วยผู้อื่นก็เป็นสิ่งที่ง่ายดายอย่างยิ่ง

“ฉื่อซิ่ง ไสหัวออกไปซะ !”

ฝ่ามือวายุที่เปี่ยมไปด้วยพลังมายาเหวี่ยงออกไปโจมตีฉื่อซิ่งทันทีและแววตาของจูปี้ในตอนนี้คุกรุ่นไปด้วยโทสะ

“หึ ฝันไปเถอะ !”

ผู้นำตระกูลฉื่อแสยะยิ้มอย่างยั่วยุและกล่าวขึ้นมา “ข้าลั่นวาจาไว้แล้ว ถ้าอยากจะจบเรื่องวันนี้ก็ขอโทษแม่นางอวี้โม่ซะ มิฉะนั้น…วันนี้พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้กลับไป !”

น้ำเสียงของเขาหนักแน่นและแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่าจะไม่ปล่อยอีกฝ่ายไปง่าย ๆ

“อย่าให้มันล้ำเส้นเกินไป !”

ครานี้ต้องยอมรับว่าฝ่ายตระกูลจูพาคนมาน้อยกว่าฝ่ายตระกูลฉื่อพอสมควร เว้นเพียงแต่จูปี้ที่สามารถรับมือกับฉื่อซิ่งได้อย่างเท่าเทียม คนอื่นทั้งหมดก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบไปโดยปริยาย

ตระกูลฉื่อและตระกูลจูสั่งสมความบาดหมางต่อกันมาเนิ่นนานและครานี้ฝ่ายตระกูลฉื่อก็โจมตีอย่างไม่ยั้งมือส่งผลให้ฝ่ายตรงข้ามบาดเจ็บอย่างรวดเร็วและมีบาดแผลทั่วร่างกาย

“บัดซบ !”

จูปี้กัดฟันแน่นด้วยความไม่พอใจ หากมิใช่เพราะผู้อาวุโสใหญ่อยู่ในช่วงเก็บตัว ฝ่ายตระกูลฉื่อจะกดขี่ข่มเหงพวกเขาเช่นนี้ได้อย่างไร

ฉื่อซิ่งยกยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจ เขาทราบข่าวมาก่อนหน้านี้แล้วว่าผู้อาวุโสขอบเขตราชาเซียนของตระกูลจูกำลังเก็บตัวฝึกวิชา เขาจึงลั่นวาจาออกไปอย่างเปิดเผย อย่างไรก็ตาม ต่อให้คนผู้นั้นปรากฏตัวในวันนี้ เขาก็ไม่มีทางยอมแพ้อย่างแน่นอน ทว่าอาจสั่งห้ามมิให้ศิษย์ตระกูลฉื่อเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

เวลานี้ฉินอวี้โม่ก็ยืนอยู่ด้านข้างและไม่มีผู้ใดคิดจะก่อกวนหรือสร้างปัญหาให้กับนาง ศิษย์ของตระกูลฉื่อหลายคนยืนล้อมรอบเพื่อคุ้มกันความปลอดภัยของนางเพื่อมิให้คนของตระกูลจูมีโอกาสลอบโจมตีนางได้

เมื่อได้ยินวาจาหนักแน่นของฉื่อซิ่ง นางก็อดยิ้มเล็ก ๆ ไม่ได้และรู้สึกประทับใจในตระกูลฉื่ออยู่ไม่น้อย ฉื่อซิ่งและฉื่อไท่หลางเป็นคู่พ่อลูกที่คู่ควรแก่ความเคารพนับถือของสมาชิกตระกูลฉื่ออย่างแท้จริงและผู้คนในตระกูลก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอย่างมาก

“ท่านพ่อ ช่วยข้าด้วย !”

อีกฟากหนึ่งของการต่อสู้ แม้จูโหย่วจ้วงจะล้มลงกองกับพื้นไปแล้ว ทว่าฉื่อไท่หลางก็ไม่คิดจะปล่อยเขาไปและยังคงปล่อยการโจมตีอย่างต่อเนื่องจนร่างกายของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลและถึงกับต้องส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากบิดา

“ท่านผู้นำ ช่วยพวกเราด้วยขอรับ !”

สมาชิกคนอื่น ๆ ของตระกูลจูก็เริ่มส่งเสียงขอความช่วยเหลือซ้ำแล้วซ้ำเล่าซึ่งเป็นภาพที่ดูน่าเวทนายิ่งนัก

“หยุด ! พวกข้ายอมขอโทษ !”

ในฐานะผู้นำของหนึ่งในสองตระกูลใหญ่ของอำเภอซ่างหยวนแห่งมณฑลชิงโจว แน่นอนว่าจูปี้มิใช่คนโง่เขลาเบาปัญญา เมื่อเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เขาทราบดีว่ายากที่จะพลิกแพลงสถานการณ์ได้ในครานี้และตะโกนเสียงดังก่อนที่การเคลื่อนไหวของทุกคนจะหยุดชะงักลง

“จ้วงเอ๋อร์ ขอโทษแม่นางอวี้โม่ซะ !”

เขากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นชัดเจนซึ่งไม่เปิดโอกาสให้ต่อรองหรือโต้เถียงแม้แต่น้อย

ด้วยการประจันหน้ากันมาตลอดเวลานับร้อยปี เขาย่อมเข้าใจลักษณะนิสัยของฉื่อซิ่งเป็นอย่างดี หากฝ่ายของเขาไม่ยอมกล่าวขอโทษในวันนี้ เกรงว่าคนของตระกูลจูคงไม่มีทางที่จะเอาตัวรอดกลับไปได้แน่ ผู้อาวุโสใหญ่ผู้ทรงพลังของตระกูลจูก็ยังอยู่ในช่วงเก็บตัวและหากพวกเขาดึงดันสู้ต่อไป สถานการณ์คงจะลงเอยไม่ดีแน่ ทางที่ดีพวกเขาควรยอมก้มหัวให้ก่อนและรอจนกว่าผู้อาวุโสในขอบเขตราชาเซียนกลับออกมา เมื่อถึงตอนนั้นก็ยังไม่สายที่จะชำระความแค้นกับความอัปยศอดสูที่เกิดขึ้นในวันนี้

“แม่นางอวี้โม่ ขะ…ข้าขอโทษ”

แน่นอนว่าจูโหย่วจ้วงไม่เต็มใจเลยสักนิด ทว่าเขาก็จำต้องกล่าวออกไปด้วยเสียงที่เบาหวิวจนแทบไม่ได้ยินและสีหน้าแสดงให้เห็นถึงความกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

“เหอะ เพียงคำขอโทษแค่นี้รึ ?”

ฉื่อซิ่งแค่นเสียงเย็นชาและไม่คิดที่จะปล่อยคุณชายใหญ่ของตระกูลจูไปง่าย ๆ

“ฉื่อซิ่ง อย่าให้มันมากเกินไปนัก !”

สีหน้าของจูปี้ในตอนนี้แสดงความโกรธแค้นยิ่งกว่าเดิมและเขาแทบอดทนไม่ไหวที่จะเหวี่ยงฝ่ามือฟาดสั่งสอนฉื่อซิ่งผู้นี้ให้สาสม ทว่าน่าเสียดายที่เขาไม่เก่งกาจพอจะทำเช่นนั้นได้

“แม่นางอวี้โม่ ในเมื่อลูกชายของข้าขอโทษขอโพยแล้ว ข้าว่าเรื่องนี้ควรจะจบสิ้นเพียงเท่านี้ !”

เขาหันไปกล่าวกับฉินอวี้โม่ด้วยน้ำเสียงเจือคำข่มขู่และแววตาเคียดแค้นอย่างชัดเจน

“จิ๊จิ๊ ผู้นำจูกำลังข่มขู่ข้ารึ ?”

ฉินอวี้โม่เดินตรงเข้าไปอย่างช้า ๆ และกล่าวอย่างใจเย็นพร้อมด้วยรอยยิ้มบางที่ประดับบนใบหน้า

ด้วยพลังในขอบเขตราชาเซียนครึ่งก้าวเช่นนี้ นางไม่สนใจเท่าใดนัก ก่อนหน้านี้นางลังเลเพราะไม่ต้องการสร้างปัญหาให้กับตระกูลฉื่อโดยไม่จำเป็น ทว่าตอนนี้ในเมื่อฉื่อซิ่งแสดงจุดยืนของตระกูลอย่างชัดเจนแล้ว นางก็ไม่จำเป็นต้องลังเลอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้นางปล่อยจูโหย่วจ้วงไปง่าย ๆ ทว่าความบาดหมางระหว่างนางและตระกูลจูก็เกิดขึ้นแล้วและไม่อาจลบล้างไปได้ ด้วยลักษณะนิสัยของสองพ่อลูกตระกูลจู ในอนาคตข้างหน้าพวกเขาจะต้องหาทางก่อกวนและสร้างปัญหาให้กับนางอย่างแน่นอน

“เหอะ ฉินอวี้โม่ ตระกูลจูของเราเป็นหนึ่งในสองตระกูลใหญ่ของอำเภอซ่างหยวนและมีจอมยุทธ์ราชาเซียนผู้แกร่งกล้า แม้ว่าตอนนี้ตระกูลฉื่อจะปกป้องเจ้าได้ ทว่าไม่มีทางที่พวกเขาจะปกป้องเจ้าไปได้ตลอดหรอก”

จูปี้แค่นเสียงเย็นชาและกล่าววาจาเชิงข่มขู่อย่างไม่ปิดบัง

“น่ากลัวซะเหลือเกิน~”

ฉินอวี้โม่ผายมือทั้งสองข้างเป็นท่าทางไม่ทุกข์ร้อนและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าได้ยินคำขู่เช่นนี้มามากมายเหลือเกิน ทว่าน่าเสียดายที่บุคคลที่กล้าขู่ข้ามักจะลงเอยไม่ดีนัก เอาล่ะ วิธีสะสางเรื่องในวันนี้ก็เรียบง่ายมาก หากตระกูลจูของเจ้านำสิ่งของบางอย่างที่ข้าถูกใจออกมาได้ ข้าก็จะปล่อยตัวเจ้าหมูนี่ไป มิฉะนั้น…เจ้าหมูสกปรกตัวนี้จะไม่มีวันได้ใช้ชีวิตอย่างบุรุษทั่วไปอีก !”

ในฐานะหนึ่งในสองตระกูลใหญ่ของอำเภอซ่างหยวน กล่าวได้ว่าพื้นเพของตระกูลจูไม่ธรรมดาเลย หากนางปล่อยพวกเขาไปง่าย ๆ ก็คงจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเกินไป

“นังแพศยา นี่เจ้ากำลังพูดจาเหลวไหลอะไรกัน ?!”

จูโหย่วจ้วงได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่และรู้สึกโกรธแค้นขึ้นมาทันทีก่อนที่จะพุ่งตรงไปหมายจะสังหารนางให้ได้

“ปากคอเราะร้ายยิ่งนัก !”

ฉินอวี้โม่ชำเลืองมองจูโหย่วจ้วงอย่างเยือกเย็นก่อนเหวี่ยงฝ่ามือวายุเข้าที่ใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างจัง

ผลัวะ !

ด้วยเสียงดังสนั่นชัดเจน บนใบหน้าของจูโหย่วจ้วงก็มีรอยฝ่ามือสีแดงปรากฏขึ้นมาทันที

“ผู้นำจู อย่าคิดว่าข้าไม่กล้า แม้ว่าตระกูลจูจะมีจอมยุทธ์ในขอบเขตราชาเซียน ข้าก็ไม่หวั่นเกรงเลยสักนิด เชื่อหรือไม่ว่าต่อให้ไม่มีคนตระกูลฉื่อช่วยข้าไว้ในวันนี้ พวกเจ้าก็มิใช่คู่มือของข้า !”

ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยน้ำเสียงทะนงตนและไม่เห็นฝ่ายตรงข้ามอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย แม้ตัวนางจะยังติดอยู่ในขอบเขตนภาเซียนขั้นสูงสุด ทว่าเมื่อมีซิวอยู่ด้วย นางก็สามารถประจันหน้ากับจอมยุทธ์ขอบเขตราชาเซียนได้อย่างไม่เสียเปรียบ และหากผนึกที่ปิดกั้นคฤหาสน์เฟิงหัวสลายไป ต่อให้เผชิญหน้ากับผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูลจู นางก็อาจจะเอาชนะอีกฝ่ายได้

จูปี้ชะงักไปเล็กน้อยและกลิ่นอายที่แผ่มาจากฉินอวี้โม่ในตอนนี้ทำให้เขาหวั่นใจขึ้นมา แม้มีพลังที่น้อยกว่า ทว่ากลิ่นอายที่ไม่ธรรมดาบางอย่างของสตรีผู้นี้ก็เหนือกว่าจินตนาการของเขาไปมาก และจู่ ๆ ความสงสัยหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัวใจ หรือว่าสตรีผู้นี้จะมีภูมิหลังที่ทรงพลังและไม่ธรรมดา ?

“ท่านพ่อ…”

ในขณะเดียวกัน ความหวาดหวั่นก็ผุดขึ้นในหัวใจของจูโหย่วจ้วงและเขาเอ่ยเรียกบิดาด้วยน้ำเสียงวิงวอน ฉินอวี้โม่ผู้นี้น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก แม้แต่เขาก็ยังไม่สามารถตอบสนองต่อการโจมตีเมื่อครู่นี้ของนางได้และถูกฟาดเข้าที่ใบหน้าโดยตรง ยิ่งไปกว่านั้น ประกายจิตสังหารในแววตาของฉินอวี้โม่ก็ทำให้เขาหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คุณชายใหญ่ตระกูลจูเชื่อแล้วว่าหากไม่ทำตามคำสั่งของนางในวันนี้ ชะตากรรมของตนจะลงเอยอย่างน่าเวทนาเป็นแน่

“เหอะ ความแค้นในวันนี้…ข้าจะจดจำไม่มีวันลืม !”

จูปี้แค่นเสียงเย็นชาก่อนหยิบหินสีเข้มเงาซึ่งห่อหุ้มไปด้วยพลังมายาที่เหนียวแน่นออกมาและโยนให้กับฉินอวี้โม่

“นี่เป็นของดีทีเดียว”

ฉินอวี้โม่รับมันไว้ก่อนสำรวจดูและพยักศีรษะอย่างพึงพอใจ

ไม่คิดเลยว่าจูปี้ผู้นี้จะมีหินน้ำตาลร้อยปีไว้ในครอบครอง หินน้ำตาลร้อยปีเป็นแร่หายากที่มีคุณภาพสูงซึ่งสามารถพัฒนาคุณภาพของอุปกรณ์สิ่งหลอมได้เป็นอย่างมาก ก่อนหน้านี้ฉินอวี้โม่เคยพยายามเสาะหามันในดินแดนเทพมายาทว่าไม่เคยได้มาครอบครอง คิดไม่ถึงเลยว่าผู้นำตระกูลจูจะมีหินน้ำตาลขนาดเท่ากำปั้นอยู่กับตัว

เมื่อเห็นว่าฉินอวี้โม่สามารถขจัดพลังมายาจากหินน้ำตาลดังกล่าวได้ง่าย ๆ สีหน้าของจูปี้ก็เคร่งเครียดยิ่งขึ้น

“แม่นางอวี้โม่ เจ้าพอใจหรือไม่ ?”

ถึงแม้ฉื่อซิ่งจะไม่ทราบว่าหินประหลาดนั้นมีความสำคัญอย่างไร ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าของฉินอวี้โม่ เขาก็พอจะคาดเดาได้และเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม

“ไม่เลวเลยเจ้าค่ะ ปล่อยพวกเขาไปเถอะ”

ฉินอวี้โม่โยนหินน้ำตาลในมือลงในแหวนมิติก่อนพยักศีรษะให้กับฉื่อซิ่งเพื่อยืนยันให้เขาปล่อยคนตระกูลจูไป

“เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ตระกูลจูของเราจะจดจำไม่มีวันลืม ! ฉินอวี้โม่ ข้าไม่สนว่าเจ้าเป็นใครมาจากไหน ตราบใดที่เจ้ายังอยู่ในอำเภอซ่างหยวนแห่งนี้ จงระวังการล้างแค้นจากพวกข้าไว้ให้ดี !”

จูปี้กล่าวทิ้งท้ายก่อนนำคนตระกูลจูกลับไปพร้อมความพ่ายแพ้อย่างน่าเวทนา

“ท่านลุงฉื่อ หรือเราจะทำลายตระกูลจูเสียวันนี้เลยเจ้าคะ ?”

ฉินอวี้โม่แกล้งกล่าวเสียงดังเพื่อให้ได้ยินไปถึงหูจูปี้และเป็นวาจาที่ทำให้เขาแทบเดินโซเซ