ส่วนที่ 4 ภาคความปรารถนาจากบูรพา ตอนที่ 159 สารทพิฆาต

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ริมลำธารข้างวัดเก่าเมืองซีหนิง ท้องฟ้าพร่างดาวถูกบดบัง มีแต่ความมืดมิดเงียบงัน

ดวงจิตจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ยืนอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน ดวงดาวที่ปรากฏขึ้นเป็นระยะๆ เป็นเสมือนจุดบนเสื้อผ้านาง

นางเหลือบมองยังนักบวชที่ริมลำธาร สีหน้าเฉยชาประหนึ่งมองมดตัวหนึ่ง

ริมลำธารเงียบอย่างมาก เช่นเดียวกับหมอกที่ห้อมล้อมภูเขาโดดเดี่ยว ในตอนนี้แทบจะเป็นความเงียบงันราวความตาย

บนผิวน้ำแน่นิ่งมีเศษบัวโลหิตที่ลุกไหม้ บนร่างนักบวชก็มีเศษบัวโลหิตมากมาย ชุดนักบวชขาดวิ่น ผิวหนังมีรอยแตกและแสงศักดิ์สิทธิ์ก็พุ่งออกมา

พลังศักดิ์สิทธิ์ยากบรรยายร่วงลงจากสวรรค์ บดขยี้แสงศักดิ์สิทธิ์บนร่างนักบวชราวกับแสงหิ่งห้อย

ยิ่งแสงศักดิ์สิทธิ์หม่นลงเท่าไหร่ สีหน้านักบวชก็ยิ่งสงบมากขึ้นเท่านั้น

ดวงจิตจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ทำร้ายบาดเจ็บสาหัส จนร่างกายปกคลุมไปด้วยเลือด ใบหน้าเปื้อนเลือด แต่ดวงตาสงบนิ่งทั้งคู่ไร้ซึ่งอารมณ์ใดนอกจากเวทนา

เขาเวทนาผู้ใดกัน โลกที่เขาไม่ได้กลับมาเป็นเวลานาน หรือคนในตระกูลเขาที่อยู่ในดินแดนอันห่างไกล

ไม่ ในครั้งนี้เขามองไปที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ ดังนั้นความเวทนาในดวงตาจึงมีเพื่อนาง

……

……

ในเมืองลั่วหยาง นักพรตจี้ก็มองไปยังจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่เช่นกัน

หมอกเคลื่อนอยู่ในความมืดมิด ดูประหนึ่งทั้งแดนเซียนและดินแดนแห่งคนตาย ทว่าไม่มีวี่แววร่างนางให้เห็น

วิชาเต๋าขั้นสูงของนางอยู่ในหมอก บินผ่านอากาศไปในร่างหงส์

หมอกกรงเล็บหงส์ตกลงมาที่กระบี่ในมือเขา ปากจิกใบหน้าเขาราวกับสายฟ้าฟาด

ใบหน้าเต็มไปด้วยเส้นจำนวนนับไม่ถ้วน แต่ละเส้นคือกฎของโลกนี้

ครั้นจะงอยปากจิกลงมา เสียงน่ากลัวก็ดังก้องในท้องฟ้า

แสงกระจ่างใสสลายไป วิชาเต๋าแตกสลาย ลายเส้นบนใบหน้าบิดงอราวรอยเหี่ยวย่นหรือไม้เก่า เลือดปรากฏขึ้นจากที่ใดไม่ทราบสาดกระจายไปในความมืด

นักพรตจี้มองไปยังหงส์หมอกด้วยใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ ไม่มีความระวัง ไม่มีความเสียใจ มีแต่ความสงบ

ความสงบอย่างยิ่งเช่นนี้น่ากลัวมากเพราะเหมือนกับว่าเขามองไปยังซากศพ

……

……

ตอนใต้ของจิงตูนอกสุสานเทียนซูเป็นผืนน้ำกว้างใหญ่ ขยะและก้อนหินลอยอยู่เหนือน้ำโสโครก รวมถึงซากศพมากมาย

สังฆราชยืนอยู่ในน้ำ ปล่อยให้น้ำโสโครกท่วมเข่าและเปียกชุดคลุมเทพ ใบหน้าซีดขาวจนแทบโปร่งใส รอยย่นบนใบหน้าทำให้เขาดูเศร้าไม่น้อย

เขาคว้าใบไม้คราม สายตามองผ่านทะเลบัวที่ล้อมสุสานเทียนซูและไปหยุดอยู่ที่ร่างซึ่งยืนอยู่บนยอดเขา

ทะเลดวงดาวกว้างใหญ่ในดวงตาสังฆราชหม่นแสงลงอย่างรวดเร็ว จากความตกใจครั้นแล้วก็เปลี่ยนเป็นโศกเศร้า

……

……

ริมลำธารนอกวัดเก่าเมืองซีหนิง แสงดาวพลันสว่างขึ้นอยู่บ้าง น้ำในลำธารก็สว่างขึ้นและเริ่มไหล

กิ่งไม้ริมลำธารก็เริ่มสั่นไหวในสายลมเช่นกัน บัวโลหิตบนร่างนักบวชตกลงในลำธารและเผาไหม้ต่อไป ค่อยๆ เปลี่ยนสภาพกลายเป็นขี้เถ้า

ทั้งหมดล้วนเพิ่งเริ่มเคลื่อนไหวในตอนที่ดวงดาวเริ่มสว่างขึ้น

ในโลกไม่มีเสียงมากนัก สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนบริเวณภูเขาโดดเดี่ยว ล้วนหมอบลงกับพื้นตัวสั่นไม่กล้ามองไปที่ลำธาร จึงเป็นธรรมดาที่พวกมันไม่รู้ว่าเหตุใดแสงดาวจึงสว่างขึ้น

สาเหตุที่แสงดาวสว่างขึ้นเพราะร่างที่ทอดตัวจากท้องฟ้าสู่พื้นดินมีรอยแตกร้าวและเผยให้เห็นดวงดาวจำนวนหนึ่ง

รอยแตกนี้ใหญ่มาก มากพอที่จะบรรจุภูเขาจำนวนหนึ่ง มองขึ้นมาจากบนพื้นดิน ก็จะเห็นราวกับว่าท้องฟ้าราตรีได้ถูกฉีกจนเป็นรูใหญ่

แสงดาวซึมออกมาจากรูนั้น มองดูแล้วเหมือนกับโลหิต

……

……

ในเมืองลั่วหยาง

อารามนักพรตยังคงเป็นซากปรักหักพัง

นักพรตจี้ยืนท่ามกลางซากปรักหักพัง ลายเส้นจำนวนนับไม่ถ้วนบนใบหน้าบิดงอจนแทบจะพังทลาย ดูราวกับซากปรักหักพังเช่นกัน

ใบหน้ายังคงไร้ซึ่งอารมณ์ เขามองไปที่หงส์ในหมอกอย่างใจเย็น

ปีกทั้งสองข้างของหงส์หมอกกางออกอย่างเต็มที่ ทอดตัวไปสองถนน เมื่อปีกกระพือ หลังคาและหินก็ถูกพัดกระเด็นไปจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นนิ่งงัน

สายฟ้าในท้องฟ้าราตรีหายไป จะงอยปากละจากกระบี่ ดวงตาหงส์ดูเหมือนจะสลายไป

บางทีอาจเป็นเพราะมีรูขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นที่ใจกลางร่างหงส์หมอกใต้ปีกทั้งสอง

หมอกขาว หมอกร้อน หมอกเย็น ไหลออกมาจากรูนั้นช้าๆ ดูราวกับโลหิต

……

……

ยอดเขาสุสานเทียนซู

ใบไม้ครามลอยออกจากพื้นผิวแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ ค่อยๆ ถอยกลับเข้าสู่ความมืดราวกับนกอมตะได้รับบาดเจ็บสาหัสจนบินได้อย่างยากลำบาก

มีไม่กี่คนที่สามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่าใบไม้ครามได้รับความเสียหายอย่างมาก สองในสามส่วนถูกบดขยี้ เหลือเพียงเส้นใยบางๆ ของใบไม้ที่ดึงให้ทุกอย่างยังอยู่รวมกัน มันเสียหายอย่างยับเยิน

ไม่มีใครมองใบไม้ครามนี้ เพราะทุกคนล้วนจ้องมองอย่างตกใจไปยังจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ทอดสายมองเมืองซีหนิงที่ห่างไปหลายหมื่นลี้ มองไปยังลั่วหยาง ยังจิงตู ความรู้สึกสับสนอ่อนจางปรากฏขึ้นในดวงตาหงส์อันงดงาม จากนั้นก็เปลี่ยนไปเป็นประกายความเจ็บปวด

ปีกหงส์ดำกางออกและกระพือช้าๆ

ทะเลบัว ดอกบัว ไอปราณโบราณ ได้มาถึงตัวนางแล้ว และถูกปีกสีดำพัดกระจายไปนอกเก้าชั้นฟ้า

แม้ในยามนี้ที่นางใช้พลังอันแข็งแกร่งที่สุดรับการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของสามนักปราชญ์ นางก็ยังมีแผนสำรอง ไม่ปล่อยให้ศัตรูมีโอกาสแม้เพียงเล็กน้อยให้โจมตี

แต่นางไม่คาดคิดว่าเปี๋ยยั่งหงกับอู๋ฉยงปี้ คู่สมรสที่กำลังจะตายนั้น ไม่ใช่การโจมตีสุดท้ายจากศัตรูของนาง

หากบอกให้ชัดเจนกว่านี้ นางไม่คาดคิดว่าศัตรูคนสุดท้ายของนางคือใคร

ความสับสนและเจ็บปวดในดวงตานางหายไป เหลือไว้เพียงความเฉยชา

นางมองไปที่ร่างของตนเอง

ทวนพุ่งผ่านร่างนาง เกิดเป็นรูที่ท้องของนาง

ทวนนี้ดูธรรมดามาก ดำสนิท ไม่มีการสลักเสลาใดๆ

นี่ย่อมไม่ใช่ทวนธรรมดา ไม่เช่นนั้นมันจะทะลุร่างนางได้อย่างไร

เลือดพุ่งออกมาจากรอยแผล ดูราวกับหมอกและคล้ายแสงดาว

ทวนเริ่มลุกไหม้ ส่งสะเก็ดดาวงดงามนับไม่ถ้วนออกมา ในเวลาเดียวกันก็แผ่กลิ่นอายเย็นเยียบของฤดูใบไม้ร่วงที่สูงส่งอย่างยิ่งออกมา

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ก้มหน้ามองทวนนี้ที่พุ่งทะลุร่างของนาง “นี่คือสารทพิฆาต?”

นางไม่รอคำตอบ นางกล่าวต่ออย่างเปี่ยมด้วยอารมณ์ “ไม่ได้เห็นมานานหลายปีแล้ว”

……

……

ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่บนยอดเขาสุสานเทียนซูหรือทุกคนที่อยู่ใต้สุสาน ต่างก็รู้ว่าทวนนี้ก็คือทวนหิมาลัยเทวา อันดับหนึ่งในอันดับร้อนศาสตรา

สารทพิฆาตที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่พูดก็ย่อมไม่ใช่ชื่อทวนเล่มนี้

นี่คือวิชาทวนของทวนหิมาลัยเทวา วิชาศักดิ์สิทธิ์ที่จักรพรรดิไท่จงใช้ท่องไปทั่วโลก

หลังจากจักรพรรดิไท่จงกลับคืนสู่ทะเลดวงดาว ทวนหิมาลัยเทวาก็ตกอยู่ในวังหลวง ส่วนสารทพิฆาตนั้นไม่เคยปรากฏขึ้นในโลกมนุษย์อีกเลย

จนกระทั่งคืนนี้ มันก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งในมือของฮั่นชิง

กลายเป็นว่าทวนที่รวมชีวิตและความตายไว้ด้วยกันไม่ได้ไปยังส่วนลึกของทะเลบัว ไม่ได้เข้าไปในใบไม้คราม หรือไปยังอารามเก่าในเมืองหลวงโบราณ หรือวัดเก่าที่ห่างไปหลายหมื่นลี้

ทวนนี้พุ่งไปที่ยอดเขาสุสานเทียนซู

เพื่อสังหารเทียนไห่

……