เลือดไหลออกมาจากอุทรจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ ไหลมาตามทวนและหยดลงสู่พื้น ครั้นแล้วก็เปลี่ยนไปเป็นเพลิงสีทองในสายลม
กระนั้นก็ตาม ดวงพักตร์นางอันสว่างขึ้นในแสงไฟ ยังคงซีดขาวไร้สี เฉกเช่นดวงเนตรนางที่ไร้ซึ่งอารมณ์
สารทพิฆาตเป็นกระบวนท่าพิฆาตอย่างแท้จริง
“ข้าไม่คิดว่าจะเป็นเจ้า เพราะในสายตาข้า เจ้าเกิดมายิ่งใหญ่ไร้ด่างพร้อย แม้จะไม่ใช่มนุษย์ เจ้าก็ให้คุณค่ากับมิตรภาพมากกว่าสิ่งใด”
ยามนางพูด ในที่สุดก็เลิกใช้คำว่า “เรา” แทนตัวเอง บางทีอาจมีความหมายที่ล้ำลึก หรือเพราะนางกำลังเจ็บปวด หรืออาจเพราะความเคยชิน
นางมีนิสัยที่ปฏิบัติต่อคนหรือไม่ใช่คนผู้นี้ในระดับเดียวกันกับนาง
ทะเลบัวใต้ถนนเสินถูกลมพัดยุ่งเหยิง เสมือนรวงข้าวสุกปลั่งพร้อมเกี่ยวถูกพายุฝนโหมกระหน่ำ
ทวนยังคงแน่นิ่งในขณะที่ลมฤดูใบไม้ร่วงเริ่มพัด น้ำค้างแข็งร่วงลงสู่โลกและขอบของใบบัวก็มีประกายสีขาว ดอกบัวสีชมพูก็ดูเหมือนจะนิ่งค้างไป
ฮั่นชิงยืนอยู่ในทะเลบัว ร่างเขาดูเดียวดายอย่างยิ่ง ยากที่จะเชื่อมโยงคนผู้นี้กับคนที่เพิ่งใช้ทวนหิมาลัยเทวาแสดงกระบวนท่าสารทพิฆาตเปลี่ยนประวัติศาสตร์เมื่อครู่
ทุกคนรอบสุสานเทียนซูล้วนตกตะลึง มิมีผู้ใดสังเกตถึงข้อมูลสำคัญที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่เพิ่งเผยออกมาจากคำพูดนาง
เขามองไปที่ยอดเขาสุสานเทียนซู ใบหน้าชราสับสนอยู่บ้าง “มิตรภาพ?”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่พลันยิ้มด้วยใบหน้าซีดขาว
“ใช่ การที่รัชทายาทเผ่ามารอาศัยอยู่ท่ามกลางมนุษย์มาพันปี มิตรภาพของเขาจะอยู่ที่ใดนั้นนับเป็นปัญหาอย่างแท้จริง”
รอบสุสานเทียนซูเงียบงันราวความตาย ครั้นทุกคนได้ยินคำพูดนี้ ก็ยิ่งตกตะลึงกว่าเดิม สายตามากมายจับจ้องไปยังฮั่นชิง
ขุนพลเทพฮั่นชิงแท้จริงแล้วไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นเผ่ามาร และยังเป็นรัชทายาทเผ่ามารอีกด้วย
รัชทายาทเผ่ามารกลับเสี่ยงชีวิตสละเลือดเนื้อเพื่อต้าโจว! ในสงครามต่อต้านเผ่ามาร เขานำทัพหน้าอย่างกล้าหาญ สู้สุดกำลังกระทั่งเขาขึ้นเป็นขุนพลเทพอันดับหนึ่งของต้าลู่!
รัชทายาทเผ่ามารกลับยินยอมปกป้องสุสานเทียนซูเป็นเวลาหกร้อยปีจนถึงคืนนี้ ได้รับความเคารพรักและไว้ใจจากผู้คนอย่างล้ำลึก
ลึกเข้าไปในทะเลบัว เปี๋ยยั่งหงกับอู๋ฉยงปี้ไม่มีปฏิกิริยาใด
ในความมืดมิด สังฆราชไม่กล่าวอะไร
ชัดเจนว่ายอดฝีมือขั้นเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ล้วนรู้ความลับนี้อยู่แล้ว
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่กล่าวอย่างใจเย็น “เหตุใดเจ้าถึงต้องการสังหารเรา”
หลังจากนิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน ฮั่นชิงตอบ “ข้าเป็นรัชทายาทเผ่ามาร แต่ข้าเป็นขุนนางผู้ภักดีของต้าโจวยิ่งกว่า”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ตอบโต้ “หากเจ้าเป็นขุนนางผู้ภักดี เช่นนั้นเจ้าก็ควรภักดีต่อเรา”
“นี่เป็นคำสั่งสุดท้ายของฝ่าบาท ข้าต้องทำตาม” ฮั่นชิงกล่าวกับนาง
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่มองไปที่ทะเลบัวและกล่าวอย่างเกียจคร้าน “กลายเป็นว่าจนถึงวันนี้ ในต้าโจว จักรพรรดิไท่จงก็ยังเป็นฝ่าบาทเพียงองค์เดียวสำหรับเจ้า”
ฮั่นชิงตอบ “สำหรับข้า เหนียงเหนียงก็เป็นฝ่าบาทเช่นกัน”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่พลันถามขึ้น “ไท่จงปฏิบัติต่อเจ้าเช่นไร”
หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง ฮั่นชิงตอบ “ฝ่าบาททำเหมือนกับข้าเป็นมือเป็นเท้า”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่เย้ย “คนที่เจ้าเป็นมือเป็นเท้าให้ก็ตายไปแล้ว ตอนนี้แขวนอยู่ในหอหลิงเยียนโน่น”
ฮั่นชิงไม่ได้พูดอะไรเพราะเขาไม่รู้จะพูดอะไร
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่กล่าวต่อ “จักรพรรดิไท่จงใช้งานเจ้าแต่ก็ระแวงเจ้า ก่อนเขาจะตาย ก็ได้บีบให้เจ้าสาบานต่อท้องฟ้าพร่างดาวว่าเจ้าจะปกป้องสุสานเทียนซูไปชั่วชีวิต ไม่ก้าวเข้าสู่โลกอีก ไม่เช่นนั้นเมื่อหกร้อยปีก่อน เจ้าคงทะลวงผ่านเข้าสู่ขั้นเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว ในที่สุดก็เป็นเราที่พบวิธีถอนพันธะบนร่างของเจ้า เราปฏิบัติต่อเจ้าด้วยเมตตา”
ฮั่นชิงสูดสายใจเข้าลึกและกล่าว “เหนียงเหนียงปฏิบัติต่อข้าราวมิตรสหาย ในตอนนั้น ไม่ว่าผู้เฒ่าความลับสวรรค์หรือสังฆราชจะพูดอย่างไร เหนียงเหนียงก็ยังปฏิบัติต่อข้าด้วยความไว้ใจอย่างมาก ช่วยข้าในความขัดแย้งและอันตรายจากโลกอันห่างไกล ช่วยให้ข้าทำลายคำสาบานที่ให้ไว้ต่อท้องฟ้าพร่างดาว ความเมตตาของท่านนั้นลึกล้ำยิ่งกว่ามหาสมุทร”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่เสริม “เราถึงกับสัญญากับเจ้าว่าเจ้าจะได้เป็นผู้นำทัพบุกเมืองเสวี่ยเหล่าและได้สังหารราชามารด้วยตัวเอง”
ได้ยินเช่นนั้น สายตาที่จ้องมองไปยังร่างของฮั่นชิงก็เคร่งเครียดยิ่งขึ้น พวกเขาไม่รู้ว่ารัชทายาทเผ่ามารผู้ลึกลับนี้มีความแค้นอันใดกับราชามาร จนทำให้เขาต้องจากเมืองเสวี่ยเหล่ามาเมื่อพันปีก่อนและถึงกับต้องการสังหารราชามารด้วยตัวเอง
“เจ้าสำนักซางก็ให้คำสัญญาคล้ายคลึงกัน” ฮั่นชิงเงียบไปก่อนจะกล่าวต่อ “หากข้าสามารถทำคำสั่งสุดท้ายของฝ่าบาทได้สำเร็จ ราชามารจะตายในคืนนี้”
เมืองลั่วหยางยังคงเงียบสงัด
ทว่าคำพูดนี้ประดุจดังเสียงฟ้าร้อง
ใบหน้าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่เผยความผิดหวังเล็กน้อย “เช่นนั้นหรือ เขาเองก็ใกล้ตายเช่นกันสินะ”
ประโยคนี้มีคำว่า ‘ตาย’ และ ‘เช่นกัน’
ฮั่นชิงได้ยินแล้วชุดเกราะบนร่างก็หนักขึ้นไม่รู้กี่เท่าด้วยเหตุผลบางอย่าง และพบว่าหายใจลำบาก
“ความเมตตาของเหนียงเหนียงที่มีต่อข้านั้นหนักแน่นยิ่งกว่าภูผา ลึกล้ำยิ่งกว่าสมุทร…เหนือกว่าฝ่าบาทมากนัก”
“แต่ความเมตตาของฝ่าบาทย่อมมาก่อน หากมิใช่เพราะฝ่าบาท ข้าคงตายไปแล้วเมื่อพันปีก่อน”
“ข้าไม่กล้าลืมความเมตตาของอาหารหนึ่งมื้อเพราะ…มันคือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง”
เมื่อเขากล่าวเช่นนี้ น้ำเสียงก็สั่นเทาไม่มีความมั่นใจแม้แต่น้อย ประหนึ่งว่ากำลังพยายามเกลี้ยกล่อมบางคนหรือบางทีอาจเกลี้ยกล่อมตัวเขาเอง
เรื่องมาถึงขั้นนี้ ไม่มีความจำเป็นต้องพูดอะไรอีก
กล่าวมาถึงตอนนี้ ก็ถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่เองก็หมดความสนใจที่จะพูดกับเขา นางเคลื่อนสายตาจากทะเลบัวไปยังพื้นที่ห่างไกลของจิงตู
ไฟยังคงลุกไหม้อยู่ตามถนนหนทางพร้อมเสียงร้องตะโกนอยู่เป็นระยะ เมืองตกอยู่ในความโกลาหลแต่ก็มีที่แห่งหนึ่งที่ยังคงสงบอย่างมาก เป็นที่ซึ่งมืดมิด
“ถึงท่านจะตายไปนานหลายปี ท่านก็ยังไม่ยอมปล่อยข้าไปเช่นนั้นหรือ”
ชายผู้นั้นตายไปนานหลายร้อยปีแล้ว
นางเป็นหญิงที่ก้าวขึ้นสู่บัลลังก์ ขับไล่ทายาทเขาไปจากจิงตู สร้างความอัปยศแก่พวกเขาอย่างไร้ขีดจำกัด นางคิดว่านางได้ตอบแทนความลำบากที่นางเคยได้รับสำเร็จแล้ว เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุด ทว่าคืนนี้นางได้ตระหนักว่าต่อให้ผ่านไปหลายปี นางก็ยังต่อสู้กับชายผู้นั้นอยู่
ที่แห่งนั้นก็คือวังหลวงของต้าโจว สำนักฝึกหลวงและสวนร้อยหญ้า
หลายปีก่อนนางได้ใช้ชีวิตอยู่ในที่เหล่านั้น ต่อสู้ในที่เหล่านั้น พบกับผู้คนมากมาย หลากหลายเรื่องราว
แต่ตอนนี้เองที่นางเข้าใจในที่สุดว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนไปอย่างแท้จริง
……
……
“ตอนนี้ท่านคงตายได้แล้วกระมัง”
ตรงหน้าอารามนักพรตในลั่วหยาง นักพรตจี้มองไปที่หงส์ซึ่งกำลังหม่นมัวลงท่ามกลางหมอก เขาดูเหนื่อยล้าอยู่บ้าง
“โปรดจากไปด้วยดีเถิด”
ณ ริมลำธารข้างเมืองซีหนิง นักบวชมองไปที่ดวงจิตซึ่งกำลังหม่นมัวลง สีหน้าเศร้าสร้อยอยู่บ้าง
“ขอโทษ”
ในความมืดมิดของจิงตู สังฆราชมองไปที่นางบนยอดเขาสุสานเทียนซู ใบหน้าชราเปี่ยมไปด้วยความปวดร้าว
……
……
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่มองดูโลกและเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
นางรู้สึกเจ็บปวด
ทวนหิมาลัยเทวาได้แทงทะลุท้องนาง ในเวลาเดียวกันก็สร้างบาดแผลที่ไม่อาจรักษาบนร่างกาย ดวงจิตและเต๋าของนาง
นางสัมผัสได้ว่าเวลาที่ต้องจากไปมาถึงแล้ว เป็นเรื่องที่ไม่อาจปฏิเสธได้ เฉกเช่นโลหิตนางซึ่งมอดไหม้เป็นธุมา กลับคืนสู่ท้องฟ้า
เสียงหงส์ร้องอันโหดเหี้ยม ดุร้าย ทรงพลังและเกรี้ยวกราดดังก้องออกมาจากยอดเขาสุสานเทียนซูและกระจายไปทั่วโลก
เส้นผมดำปลิวสยายอย่างบ้าคลั่งอยู่ด้านหลังนางในยามที่ปีกหงส์กรีดกรายผ่านท้องฟ้าราตรี
นางคว้าทวนและดึงออกจากท้อง
แค่มองก็พอจะรู้ว่าเจ็บปวดเพียงไร ทว่านางก็ไม่แสดงออกทางสีหน้าแต่อย่างใด ไม่แม้แต่ขมวดคิ้ว