ตอนที่ 1985 ไม่มีอะไรน่าอาย

อัจฉริยะสมองเพชร

อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆

ตอนที่ 1985 ไม่มีอะไรน่าอาย

ศิษย์สายตรงฝ่ายในส่วนใหญ่ที่ทักท้วงคือผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วมการประลอง และมาทันแค่ฟังผลเท่านั้น

พูดกันตามตรง เป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะเชื่อว่าคนคนเดียวจะสามารถเอาชนะศิษย์สายตรงฝ่ายในถึง 5,000 คนได้ภายในระยะเวลาอันสั้นเพียงครึ่งชั่วโมง จะให้ยอมรับเรื่องเหลือเชื่อเพ้อฝันแบบนี้ได้อย่างไร?

จนกว่าจะมีการเปิดเผยรายละเอียดของการดวล จะไม่มีใครยอมรับผลการดวลครั้งนี้เด็ดขาด!

เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลสังเวียนประลองหันไปถามฝูงชนที่เหลือ “พวกคุณแน่ใจนะ? ผมจะแน่ใจได้ไหมว่าศิษย์สายตรงฝ่ายในคนอื่นๆ จะยอมรับได้?”

ตัวตนของใครก็ตามที่เข้าสู่หอนิรันดร์ล้วนแต่เป็นความลับ ซึ่งการเปิดเผยรายละเอียดของการดวลจะเป็นการเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของทุกคนด้วย

แน่นอนว่ามันไม่ได้ลงรายละเอียดลึกซึ้งอะไรมากมาย แต่เพียงแค่เปิดเผยชื่อแซ่ที่แท้จริงของผู้นั้น ก็ถือเป็นการก้าวล่วงความเป็นส่วนตัวแล้ว

“พวกเรารับได้!”

“พวกเราก็รับได้เหมือนกัน! เราอาจแพ้ แต่เราก็อยากรู้ว่าเขาเอาชนะใครไปบ้าง!”

“พวกเราอยากรู้ผลของการดวลครั้งนี้ เพื่อจะได้ยอมรับมัน ไม่อย่างนั้นก็จะค้างคาใจไม่รู้จบ”

มีเสียงเรียกร้องสนับสนุนมากมาย แต่อาจเป็นเพราะแรงกดดันจากคนรอบข้าง จึงไม่มีใครกล้าแย้ง

“ในเมื่อเห็นพ้องต้องกันแล้ว ผมก็จะทำตามคำขอของพวกคุณ” เจ้าหน้าที่พยักหน้า

เขาหันไปสั่งการกับเจ้าหน้าที่อีกคนที่อยู่ด้านหลัง อีกฝ่ายรีบหันหลังกลับแล้วจากไป ครู่หนึ่งก็กลับมาพร้อมตราหยกอันหนึ่งในมือ

“นี่คือรายชื่อของคู่ต่อสู้ที่ผมน่ะถ่อมตัวได้สังหารไปตลอดครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา เชิญตรวจสอบได้” ชายหนุ่มพูดขณะโยนตราหยกขึ้นไปกลางอากาศ

ฟึ่บ!

รายชื่อมากมายปรากฏต่อหน้าต่อตาทุกคน

“ดูนั่น! ศิษย์พี่หลิวลู่จี่เป็นชื่อแรก!” ใครคนหนึ่งในฝูงชนตะโกนออกมา

ทุกคนหันขวับไปมอง เห็นชื่อหนึ่งเรืองแสงอยู่ด้านบน : หลิวลู่จี่, 4 ครั้ง!

“นั่นหมายความว่าศิษย์พี่หลิวมาที่นี่แล้ว! เพียงแต่…ไอ้ 4 ครั้งนั่นหมายถึงอะไร?” อีกคนหนึ่งตั้งคำถาม

“4 ครั้งหมายถึงจำนวนครั้งที่เขาถูกสังหาร เป็นไปได้ว่าเขาไม่พอใจที่ถูกฆ่าตายไปแล้วครั้งหนึ่ง จึงกลับมาพร้อมกับตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลอันใหม่และตัวตนใหม่ เพียงเพื่อจะถูกสังหารอีกครั้ง ลงท้ายเขาก็ถูกสังหารไปทั้งหมด 4 ครั้ง” เจ้าหน้าที่อธิบายด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

“เขาถูกสังหารถึง 4 ครั้งติดต่อกัน? บ้าแล้ว! ไม่อายหรือไง?”

“ไม่มีอะไรน่าอายแล้วล่ะ ดูเหมือนเขาจะไม่หลงเหลือความอับอายแล้ว!”

“เดี๋ยวก่อน ศิษย์พี่หวังเจี้ยนตงก็ถูกสังหาร 4 ครั้งเหมือนกันหรือ?”

หลายคนในกลุ่มพากันหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย

พวกเขาเพิ่งพูดไปหยกๆว่าหลิวลู่จี่อาจยังไม่ได้เข้าร่วมการดวล แต่แล้วทุกอย่างก็ปรากฏชัดในครู่ต่อมาว่าพวกเขาคิดผิด เรื่องนี้ไม่ต่างอะไรกับการถูกตบหน้า

ด้วยข้อสันนิษฐานที่ว่าหลิวลู่จี่ซึ่งเป็นศิษย์สายตรงฝ่ายในหมายเลข 1 ไม่ได้อยู่ที่นี่ พวกเขาจึงยืนกรานว่าเป็นการไม่ยุติธรรมที่จะกล่าวอ้างว่าผมน่ะถ่อมตัวเอาชนะศิษย์สายตรงฝ่ายในได้หมดทุกคน ใครจะไปรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วอีกฝ่ายกลับมาซ้ำแล้วซ้ำอีกหลังจากถูกสังหาร?

ช่างเป็นพฤติกรรมที่น่าอับอายอะไรอย่างนี้?

“เอ๊ะ? ไป๋เหรินชิงคือใคร? ผมนึกไม่ออกว่าเคยเห็นชื่อของเธอในหมู่ศิษย์สายตรงฝ่ายในมาก่อน…แต่ดูเหมือนเธอจะถูกสังหารไปถึง 2 ครั้งนะ?” ใครคนหนึ่งตั้งข้อสังเกต

“ชื่อของเธอฟังคุ้นหูเหลือเกิน ใช่หลานสาวของผู้อาวุโสไป๋เย่หรือเปล่า? คุณรู้ไหมว่านั่นน่ะศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด!”

“เดี๋ยวก่อน คุณกำลังบอกผมว่ามีศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดคนหนึ่งแอบเข้ามาในหอนิรันดร์ของพวกเราเพื่อท้าทายผมน่ะถ่อมตัว จากนั้นก็ถูกสังหารถึง 2 ครั้งหรือ?”

เสียงอื้ออึงเซ็งแซ่ดังขึ้นอีกครั้ง

เมื่อครู่ก่อน พวกเขายังคิดว่าช่างน่าอายเหลือเกินที่หลิวลู่จี่ถูกสังหารถึง 4 ครั้งติดต่อกันในการดวล แต่ใครจะไปคิดว่าศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดคนหนึ่งก็แอบเข้ามาร่วมวงกับศิษย์สายตรงฝ่ายในด้วย แถมยังถูกสังหารไปถึง 2 ครั้ง!

“ยังมีอีกชื่อหนึ่งที่ไม่คุ้นหูนะ…ไป๋เฟิง ผมไม่คิดว่าเคยได้ยินชื่อนั้นมาก่อน…พวกคุณรู้จักเขาไหม?”

“ผมเคยได้ยินชื่อไป๋เฟิง! เขาเป็นคนรับใช้ของผู้อาวุโสไป๋เย่ แม้จะไม่ใช่ผู้อาวุโส แต่ในแง่ของพละกำลัง ก็แข็งแกร่งกว่าผู้อาวุโสขั้นสูงสุดส่วนใหญ่เสียอีก!”

“เขาแข็งแกร่งกว่าแม้แต่ผู้อาวุโสขั้นสูงสุดส่วนใหญ่ แต่ก็ถูกสังหารนี่นะ?”

ขณะที่บรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายในกำลังตรวจสอบรายชื่อ หลายคนก็ดูราวกับจะเสียสติ

พวกเขาพอเข้าใจที่หลิวลู่จี่กับหวังเจี้ยนตงถูกสังหารถึง 4 ครั้งติดต่อกัน เพราะถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็มีชื่อเสียงของศิษย์สายตรงฝ่ายในเป็นเดิมพัน จึงพอรับได้ที่ทั้งคู่จะทำตัวไร้ยางอายไปบ้างในช่วงเวลาแบบนี้

แต่การที่ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดคนหนึ่งถูกสังหารถึง 2 ครั้ง แถมผู้ทรงพลังระดับผู้อาวุโสขั้นสูงสุดก็ถูกสังหารไปครั้งหนึ่งด้วย มันออกจะเกินเลยไปไหม?

ดูเหมือนแม้แต่ผู้มีอำนาจบางคนก็เข้ามามีส่วนร่วมในหมู่พวกเขา!

ว่าแต่…เรื่องราวบานปลายใหญ่โตขนาดนี้ ทำไมถึงไม่มีผู้อาวุโสฝ่ายในสักคนเข้ามาแก้ไข?

“จริงด้วย ต่อให้เครือข่ายข้อมูลข่าวสารของเหล่าผู้อาวุโสจะเชื่องช้าแค่ไหน เวลาครึ่งชั่วโมงก็นานพอจะทำให้พวกเขารู้เรื่องแล้ว…”

ทุกคนต่างตั้งข้อสงสัยแบบเดียวกัน

ขนาดศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดมาเข้าร่วมการดวล แถมยังถูกสังหาร ทำไมบรรดาผู้อาวุโสฝ่ายในถึงไม่เข้าขัดขวางเหตุการณ์ใหญ่โตแบบนี้?

“เดี๋ยวก่อน ยังมีรายชื่ออยู่ด้านล่าง!” ใครคนหนึ่งตะโกนออกมา ทุกคนรีบมองตาม ที่ส่วนท้ายของรายชื่อ มีชื่ออีกมากมายค่อยๆปรากฏ

มู่ชวน หวงเหยา จางหลิงโป ลู่อวิ๋น…

“ถ้าผมจำไม่ผิด มู่ชวนคือชื่อเต็มของผู้อาวุโสมู่ใช่ไหม?”

“หวงเหยาคือชื่อของผู้อาวุโสที่ดูแลยอดเขา”

“จางหลิงโปคือผู้อาวุโสฝ่ายในที่สั่งสอนพวกเรา!”

ในตอนนั้น ทุกคนพากันหน้าดำคร่ำเครียดด้วยความตกใจ พวกเขารู้สึกเหมือนหัวใจจะระเบิดเพราะความคับข้องใจที่รู้สึกอยู่

“ผมก็ว่ามันแปลกที่ไม่มีผู้อาวุโสคนไหนเข้ามาจัดการ ไม่น่าเชื่อเลยว่าที่แท้พวกเขาปลอมตัวเป็นศิษย์สายตรงฝ่ายในเพื่อมาท้าทายผมน่ะถ่อมตัวเหมือนกัน แต่แล้วก็ลงเอยด้วยการถูกสังหาร!”

“พวกเขาคือผู้สั่งสอนศิลปะเพลงดาบให้พวกเรา แต่กลับพ่ายแพ้…”

“นี่มันนรกอะไร? ผมน่ะถ่อมตัวทรงพลังขนาดไหนกันแน่?”

ทุกคนใกล้เสียสติเต็มที

โดยเฉพาะบรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายในที่เรียกร้องให้เปิดเผยรายละเอียดของการดวล พวกเขารู้สึกอยากตบตัวเองให้ตาย

ทุกคนคิดว่าการเปิดเผยครั้งนี้จะเรียกคืนชื่อเสียงของตัวเองกลับมาได้ แต่กลายเป็นตรงกันข้าม

มันคือการดวลของศิษย์สายตรงฝ่ายใน แต่ลงท้าย ก็มีแม้กระทั่งศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดและเหล่าผู้อาวุโสที่สั่งสอนพวกเขาเข้ามาร่วมวงด้วย หากคนเหล่านั้นชนะก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่พวกเขาแพ้!

ก็เหมือนกับเด็กคนหนึ่งที่ท้าตีท้าต่อยกับเด็กคนอื่นๆในสถานรับเลี้ยง แต่แทนที่จะเข้ามาไกล่เกลี่ย บรรดาครูและผู้ใหญ่กลับร่วมมือกับเด็กคนอื่นๆเพื่อตอบโต้เด็กคนนั้น และลงท้ายก็ถูกเล่นงานเสียเอง…

น่าอับอายอะไรอย่างนี้ ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว!

พวกเขาไม่ควรขอดูรายละเอียดการดวลเลย ตอนนี้แต่ละคนรู้สึกอยากแทรกแผ่นดินหนีด้วยความอับอาย

ในเวลาเดียวกัน จางเซวียนก็ฟังบทสนทนาของฝูงชนพร้อมกับตรวจสอบรายชื่อไปด้วย

เขาแสนจะงงงันกับสิ่งที่เห็น

ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดกับผู้อาวุโสพวกนั้นมาสู้กับเขาหรือ?

ทำไมเขาไม่รู้เรื่องเลย?

พูดกันตามตรง ถ้าคนระดับนั้นสำแดงศิลปะการต่อสู้ออกมา เขาก็ต้องดูออก แต่ภายในเวลาครึ่งชั่วโมงของการต่อสู้ ทุกคนถูกฆ่าตายด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว เขาแทบไม่รู้สึกถึงการต่อต้านขัดขืนเลย!

แต่เอาเถอะ นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่ ตราบใดที่เราได้เงินมากพอ ทุกอย่างก็ไม่มีปัญหา*…*

เมื่อคิดได้ จางเซวียนก็ตัดสินใจโยนเรื่องเหล่านั้นทิ้งไป

เขาหันกลับไปมองบัตรนิรันดร์ของตัวเอง

ตลอดการดวล เขาสังหารผู้คนไปถึง 5,000 คน ภายใต้กฎของการดวล ทุกเหรียญสำนักดาบที่คนพวกนั้นมีจะต้องตกเป็นของเขา ซึ่งหากเป็นอย่างนั้น เขาก็คงได้เงินไม่น้อย

จางเซวียนใช้นิ้วสั่นเทาแตะลงไปบนบัตรนิรันดร์ ตัวเลขจำนวนหนึ่งปรากฏอย่างรวดเร็ว

283,764!

เราได้เงินกว่า 280,000 เหรียญสำนักดาบเลยหรือ*?* จางเซวียนอยากจะหัวเราะลั่นให้เหมือนคนบ้า

เพราะเขาสังหารศิษย์สายตรงฝ่ายในไปถึง 5,000 คน นั่นจึงหมายความว่าทำเงินได้ราว 50 เหรียญสำนักดาบต่อหัว หรือพูดอีกอย่างก็คือ ตอนนี้เขามีทรัพย์สินราวครึ่งหนึ่งของที่บรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายในทั้งหมดมีอยู่กับตัว!

ถ้าเขาใช้เงินจำนวนนี้ซื้อยา คงทำให้น้ำเต้าตงฉู่ยอมจำนนได้สบาย

“ลาก่อน!”

เห็นร่างของตัวเองหมดเรี่ยวแรงจนพร้อมจะเสื่อมสลายได้ทุกขณะ จางเซวียนรีบเดินไปที่ เคาน์เตอร์เพื่อซื้อยาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐานจำนวนหนึ่ง ก่อนจะออกจากหอนิรันดร์ไป

ในเมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องอ้อยอิ่งอยู่ที่นั่น

จางเซวียนกลับถึงห้อง จากนั้นก็นำยาเม็ดออกมาก่อนจะปล่อยน้ำเต้าตงฉู่

“นี่คือยาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐาน 10 เม็ด ยอมรับฉันเป็นเจ้านายของแกเสีย แล้วฉันจะให้แกทั้งหมด!” จางเซวียนเปิดจุกขวดหยก ปล่อยให้พลังจิตวิญญาณเข้มข้นโชยออกมา

สิ่งนี้ทำให้น้ำเต้าตงฉู่กระตือรือร้นสุดขีด

“ทำไม? แกจะคืนคำหรือ?” จางเซวียนมองน้ำเต้าตงฉู่ยิ้มๆ

“ฮิฮิ คำพูดของผมน่ะเชื่อถือได้เสมอ ไอ้การที่ผมจะยอมรับคุณเป็นเจ้านายน่ะไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่คุณจะต้องสัญญาว่าจะมอบทั้งยาเม็ดและทรัพย์สมบัติชั้นยอดให้ผม เพื่อที่ผมจะได้ฟื้นคืนพละกำลังอย่างสมบูรณ์” น้ำเต้าตงฉู่ตอบพร้อมกับส่ายก้น

“ตามนั้น” จางเซวียนตอบรับ

ของเหลวหยดหนึ่งกระเซ็นออกมาจากน้ำเต้าตงฉู่ก่อนจะลอยเข้าสู่หว่างคิ้วของจางเซวียน

จางเซวียนทำสัญญา ครู่ต่อมา จิตใต้สำนึกของเขาก็เชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกับน้ำเต้าตงฉู่ แม้ไม่ต้องเอ่ยปากพูด ก็สื่อสารกันได้ผ่านทางโทรจิต

“ตกลงแกเป็นใคร?”

แม้จะสื่อสารกันผ่านทางโทรจิตได้ แต่จางเซวียนก็ยังรู้สึกว่ามีปราการขวางกั้นระหว่างตัวเขากับน้ำเต้าตงฉู่

ยากที่จะอธิบายความรู้สึกนี้ แต่ถ้าต้องพูดออกมา ก็คงจะบอกว่าน้ำเต้าตงฉู่เหมือนไข่ใบหนึ่ง เขาบอกได้ว่าด้านนอกเป็นอย่างไร แต่ไม่อาจมองทะลุเปลือกไข่เพื่อเข้าไปดูสิ่งที่อยู่ข้างในได้

“ผมเคยบอกคุณแล้วไม่ใช่หรือ? ผมคืออสูรในตำนานที่ครั้งหนึ่งมีอำนาจทั่วทั้งดินแดน!” น้ำเต้าตงฉู่ตอบอย่างภาคภูมิใจ

“เลิกโม้เสียที เอาเถอะ นี่ยาของแก!”

เห็นน้ำเต้าตงฉู่ยังย้ำคำเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก จางเซวียนคร้านจะพูดต่อ เขาถอนหายใจอย่างจนปัญญาขณะโยนยาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐานให้อีกฝ่าย