ตอนที่ 1986 นี่มันกฎเกณฑ์บ้าบออะไร?

อัจฉริยะสมองเพชร

อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆

ตอนที่ 1986 นี่มันกฎเกณฑ์บ้าบออะไร?

น้ำเต้าตงฉู่อ้าปากและกลืนยาลงไปรวดเดียว จากนั้นก็หันมาส่งสายตาเว้าวอนให้จางเซวียนขณะคร่ำครวญ “ผมอยากได้อีก…ให้ผมอีก…ให้ผมอีกนะ…”

“ก็ได้ ก็ได้ ฉันให้แก!” จางเซวียนถอดใจ

เพราะเขามีเงินเยอะแยะ เรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องใหญ่ จางเซวียนกลับไปที่หอนิรันดร์และซื้อยาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐานอีก 90 เม็ด ซึ่งเขาให้น้ำเต้าตงฉู่กลืนลงไปทีเดียว เพื่อที่หมอนั่นจะได้ค่อยๆซึมซับและนำไปใช้ ระหว่างนั้น จางเซวียนก็ทรุดตัวลงนั่งข้างๆและเริ่มใคร่ครวญสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น

จะว่าไป เขาก็ได้กำไรมหาศาลจากการดวลกับศิษย์สายตรงฝ่ายในทั้งห้าพันคน

การดวลครั้งนี้ทำให้เขาได้รื้อฟื้นความเข้าใจในศิลปะเพลงดาบ ทั้งยังได้ขัดเกลาการควบคุมพละกำลังของตัวเองให้เฉียบคมยิ่งขึ้น

จางเซวียนลองขับเคลื่อนพลังปราณเล็กน้อย และพบว่าด่านคอขวดที่เคยจำกัดวรยุทธของเขาไว้ได้หายไปแล้ว เขาพร้อมที่จะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นเสมือนอมตะได้ทุกเมื่อ

ไม่น่าเชื่อเลยว่าการใช้ศิลปะเพลงดาบในหอนิรันดร์จะเป็นประโยชน์ต่อวรยุทธของเราด้วย จางเซวียนคิดอย่างตื่นเต้น

ตามปกติ ในเมื่อเขาเพิ่งฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติโลกจารึกได้เมื่อ 2-3 ชั่วโมงก่อน ก็น่าจะต้องใช้เวลาอีกหลายวันกว่าจะขัดเกลาวรยุทธได้สำเร็จแม้จะใช้เคล็ดวิชาเทียบฟ้า แต่ด้วยการดวลที่เกิดขึ้นก่อนหน้า พลังปราณของเขาจึงเข้มข้นขึ้นจนถึงขั้นสุด ทำให้เขาควบคุมมันได้ดังใจ

ดังนั้น วรยุทธขั้นเสมือนอมตะที่ดูเหมือนจะห่างออกไปอีกไกลก็กลับอยู่ใกล้แค่เอื้อม!

ขอแค่เขาได้พบเทคนิควรยุทธที่เหมาะสม ก็จะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นเสมือนอมตะได้ทันที

เมื่อฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนั้นได้แล้วเท่านั้นถึงจะมีโอกาสได้เป็นศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด

เทคนิควรยุทธที่อยู่ในหอสมุดของศิษย์สายตรงฝ่ายในอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าวรยุทธขั้นเสมือนอมตะทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้ ถ้าศิษย์สายตรงฝ่ายในสักคนอยากฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นเสมือนอมตะ ก็จะต้องขอคำปรึกษาจากผู้อาวุโสสักคนเพื่อค้นหาหนังสือที่เหมาะสมกับเขา

ตอนนี้ตั้นเฉี่ยวเทียนเป็นแค่นักปราชญ์โบราณขั้น 1 โลกจารึก ยังห่างไกลนักกว่าจะสำเร็จวรยุทธขั้นเสมือนอมตะ

เพราะเป็นคนนอบน้อมและถ่อมเนื้อถ่อมตัว จางเซวียนจึงไม่อยากเปิดเผยตัวตนและวรยุทธที่แท้จริงของเขา เขาตั้งใจจะฝากความรับผิดชอบอันหนักอึ้งในการเป็นศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดไว้กับศิษย์สายตรงคนที่สิบของตัวเอง

แต่ต่อให้ตั้นเฉี่ยวเทียนฝึกฝนเคล็ดวิชาเทียบฟ้าฉบับเรียบง่ายและมีทรัพยากรให้ใช้มากมาย ก็ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 เดือนกว่าจะพร้อมสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นเสมือนอมตะ

เพราะหากพัฒนาเร็วเกินไป วรยุทธของตั้นเฉี่ยวเทียนก็อาจถูกบั่นทอน ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อการพัฒนาวรยุทธในอนาคต เขาไม่อาจปล่อยให้ลูกศิษย์ต้องเผชิญกับสภาพแบบนั้นเพียงเพราะความต้องการของตัวเอง

แต่นอกเหนือจากการเข้าหาผู้อาวุโสสักคนเพื่อให้ได้เทคนิควรยุทธที่เหมาะสม ก็ยังมีอีกทางหนึ่งที่จะได้เป็นศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด ซึ่งนั่นก็คือหุบเขาฝนโปรย! บรรดาศิษย์สายตรงที่กำลังเสาะแสวงหาการฝ่าด่านวรยุทธจะมุ่งหน้าไปที่นั่น เพราะมีภูมิปัญญาที่นำไปสู่การเป็นนักรบขั้นเสมือนอมตะอยู่มากมาย

ในเมื่อจางเซวียนไม่อาจพึ่งพาศิษย์สายตรงของเขาได้ ก็จำเป็นต้องพึ่งตัวเอง เขาหวนนึกถึงหนังสือเล่มหนึ่งที่เคยได้เห็นในหอสมุดของศิษย์สายตรงฝ่ายใน ทำให้ตาโตขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น

ถึงจางเซวียนจะเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติโลกจารึกแล้ว แต่ก็ยังยากที่จะบอกได้ว่าเขาจะสามารถรวบรวมหนังสือของวรยุทธขั้นเสมือนอมตะได้มากพอที่จะประมวลเคล็ดวิชาเทียบฟ้าฉบับสมบูรณ์หรือไม่

แต่หุบเขาฝนโปรยคือสถานที่โด่งดังสำหรับบรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายในที่ต้องการฝ่าด่านวรยุทธ ผู้ที่ประสบความสำเร็จในการฝ่าด่านวรยุทธที่นั่นจะจารึกประสบการณ์และภูมิปัญญาที่ตัวเองได้รับเอาไว้ ที่นั่นจึงกลายเป็นขุมทรัพย์ของภูมิปัญญาอันยิ่งใหญ่

แม้ภูมิปัญญาและประสบการณ์เหล่านั้นจะไม่ใช่เทคนิควรยุทธ แต่หากเขาประมวลมันได้มากพอ ก็น่าจะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นเสมือนอมตะได้

โชคดีที่ตอนนี้ระดับวรยุทธของเขาใกล้เคียงกับศิษย์สายตรงฝ่ายในโดยทั่วไป ทำให้ไปไหนมาไหนได้อย่างกลมกลืน ไม่ทำให้ใครเกิดความสงสัย

เราควรมุ่งหน้าไปยังหุบเขาฝนโปรย!

เมื่อคิดได้ จางเซวียนก้าวออกจากห้อง

“นายน้อย!”

ในตอนนั้น เฉาเฉิงลี่เพิ่งเสร็จภารกิจของเขากับแม่สาวที่มีน้ำหนัก 300 จิงคนนั้นและกลับถึงที่พัก

การโรมรันพันตูอันดุเดือดที่เฉาเฉิงลี่เพิ่งผ่านมาทำให้เขาดูอ่อนระโหยไปเล็กน้อย เท่าที่เห็น แม่สาวคนนั้นไม่ได้อ่อนด้อยเลย แม้เฉาเฉิงลี่จะมีทักษะและประสบการณ์ช่ำชองตลอดหลายปีที่ผ่านมา ประกอบกับพลังชีวิตอันล้นเหลือ แต่การใช้เรี่ยวแรงนั้นก็ทำให้เขาอ่อนแรงไปมาก

ดูทรงแล้วน่าจะต้องพักฟื้นสักระยะหนึ่งกว่าจะกลับสู่สภาพเดิม

จางเซวียนมองไปรอบๆที่พัก แต่ไม่พบศิษย์สายตรงของเขา จึงหันไปถามเฉาเฉิงลี่ “ตั้นเฉี่ยวเทียนอยู่ไหน?”

เฉาเฉิงลี่รีบโค้งคำนับก่อนจะตอบคำถามของจางเซวียน “บรรดาศิษย์สายตรงไปรวมตัวกันเพื่อการประชุมด่วน นายน้อยก็ไปที่นั่น!”

(300 จิง = 150 กิโลกรัม)

“พวกเขามีประชุมด่วน?” จางเซวียนทวนคำ

“ดูเหมือนจะมีไอ้งั่งคนหนึ่งท้าทายศิษย์สายตรงฝ่ายในทุกคนพร้อมๆกัน ทำให้เหล่าผู้อาวุโสหงุดหงิดมาก พวกเขากำลังเร่งให้บรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายในสืบสวนและจับตัวการให้ได้” เฉาเฉิงลี่ตอบ

ตอนที่เขาอยู่กับแม่สาวหนัก 300 จิงคนนั้น คนรับใช้คนหนึ่งของเธอได้เข้ามารายงานสิ่งที่เกิดขึ้น เขาจึงพอรู้เรื่องอยู่บ้าง

“ไอ้งั่ง?” จางเซวียนเลิกคิ้ว

แกต่างหากที่เป็นไอ้งั่ง*!งั่งกันทั้งตระกูล!*

มันเป็นแค่เดิมพัน…พวกคุณต้องเล่นใหญ่ถึงขนาดเปิดประชุมด่วนเพื่อตามล่าตัวผมเลยหรือ?

โชคดีที่เราเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามไว้แล้ว ไม่อย่างนั้น ถ้าพวกนั้นจับเราได้ล่ะก็ จะต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่

ด้วยความเข้าใจในศิลปะเพลงดาบของเขา คงไม่เป็นการพูดเกินจริงหากจะบอกว่าเขาคือผู้ไร้เทียมทานในบรรดานักรบที่มีวรยุทธระดับเดียวกัน แต่ก็โชคไม่ดีที่วรยุทธของเขายังอ่อนด้อยไปหน่อย

ก่อนหน้านี้ ตอนที่จางเซวียนได้รู้จากศิษย์สายตรงฝ่ายในคนหนึ่งว่ามีวิธีการที่จะหาเงินได้ง่ายๆ ความโลภก็เข้าครอบงำเขาชั่วขณะ จนเขาลงเอยด้วยการเปิดฉากต่อสู้ ถ้าพวกนั้นรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาล่ะก็ คงจะนำมาซึ่งทั้งอันตรายและปัญหาใหญ่

ตอนนี้จางเซวียนยังไม่มั่นใจนักว่าจะปกป้องตัวเองจากนักรบอมตะตัวจริงหรือแม้แต่นักรบอมตะขั้นสูงได้ จึงไม่อาจปล่อยให้ตัวตนที่แท้จริงของตัวเองต้องถูกเปิดเผย

“แล้วคุณรู้อะไรมาอีก? มีข่าวคราวบ้างไหมว่าเจ้าคนที่ท้าทายบรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายในพำนักอยู่ที่ไหน หรือว่าเขาเป็นใคร?” จางเซวียนถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“สำหรับตอนนี้ เรื่องเดียวที่ผมรู้ก็คือหมอนั่นมีสมญานามว่าผมน่ะถ่อมตัว เอาจริงๆนะ เป็นชื่อที่พิลึกพิลั่นอะไรอย่างนั้น เขาเรียกตัวเองว่าถ่อมตัว ทั้งๆที่ในโลกนี้ไม่มีใครจะโอ้อวดตัวยิ่งไปกว่าเขาอีกแล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าเขาเป็นใครและอยู่ที่ไหนนั้น ตอนนี้ยังไม่มีรายงาน” เฉาเฉิงลี่ตอบพร้อมกับส่ายหน้า

เมื่อเห็นว่าตัวตนที่แท้จริงของเขายังไม่ถูกเปิดเผย จางเซวียนแอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาก้มหน้าลงครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะตั้งคำถามอีก “แล้วคุณรู้หรือเปล่าว่าการประชุมด่วนจัดขึ้นที่ไหน?”

“ที่สนามประลอง บริเวณยอดเขา” เฉาเฉิงลี่ตอบ

“เข้าใจละ…” จางเซวียนพยักหน้าขณะย่างสามขุมเข้าหาเฉาเฉิงลี่

พลั่ก!

เฉาเฉิงลี่กุมท้ายทอยขณะถามด้วยความตกใจ “นายน้อย คุณทุบผมทำไม?”

การโจมตีนั้นหนักหน่วงเสียจนฟันของเขาแทบร่วง

ผมก็ตอบทุกคำถามที่คุณถามผมโดยไม่ปิดบังแถมข้อมูลของผมก็ทันเหตุการณ์ด้วย!แล้วผมทำอะไรผิดถึงต้องถูกทำร้าย*?*

“คุณก้าวเข้ามาในบ้านพักหลังนี้โดยใช้เท้าซ้ายแทนที่จะเป็นเท้าขวา ผมไม่ชอบ!” จางเซวียนพูดใส่หน้าเฉาเฉิงลี่ก่อนจะเดินจากไป

“เขาทุบเราเพียงเพราะเราก้าวเข้าบ้านพักด้วยเท้าซ้าย?” เฉาเฉิงลี่ตาโตด้วยความงงงัน

นี่มันกฎเกณฑ์บ้าบออะไร?

นายน้อยไปเจออะไรมาถึงตั้งกฎเกณฑ์เหลวไหลแบบนี้?

“จดไว้…จดไว้ เราต้องจำมันให้ขึ้นใจ…” เฉาเฉิงลี่พึมพำกับตัวเองขณะลูบอกให้หายอกสั่นขวัญแขวน

เมื่อออกจากบ้านพัก จางเซวียนไม่ได้มุ่งหน้าไปที่หุบเขาฝนโปรย แต่ไปที่ยอดเขาบริเวณที่ตั้งของสนามประลอง

เขาต้องรู้ให้ได้ว่าทำไมเหล่าผู้อาวุโสถึงตั้งใจจะตามหาตัวเขา และพวกนั้นมีข้อมูลอะไรแล้วบ้าง เพื่อจะได้เตรียมมาตรการตอบโต้ ไม่อย่างนั้น คงอันตรายมากหากเขาไม่รู้แม้กระทั่งว่าอีกฝ่ายจะเข้าถึงตัวเขาเมื่อไหร่

“การถ่อมเนื้อถ่อมตัวคือสิ่งสำคัญที่สุดในโลก ต่อไปเราจะต้องไม่ทำแบบนี้อีก” จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความเสียใจ

มันเป็นเรื่องเกินเลยไปมากที่เขาเอาชนะผู้คนมากมายได้พร้อมกันในคราวเดียว และผลที่ตามมาก็แสนจะยุ่งเหยิง ถ้าพวกนั้นสาวถึงตัวเขาได้ เขาคงจบเห่แน่!

ทั้งๆที่ทำตัวดีมาทั้งชีวิตทำไมคราวนี้เขาถึงหุนหันพลันแล่นนัก?

…..

ที่นั่งอยู่บริเวณใจกลางสภาผู้อาวุโสคือผู้อาวุโสที่ 1, เหอเทียน มีผู้อาวุโสคนอื่นๆนั่งอยู่ด้านข้าง ทุกคนต่างแผ่แรงกดดันหนักหน่วงเข้าใส่ผู้ที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา

ที่ปลายสุดของที่ประชุมคือผู้อาวุโสมู่, ผู้ดูแลบรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายใน

ผู้อาวุโสมู่ไม่ได้อ่อนแอ แต่ก็อ่อนด้อยกว่าหากจะเปรียบเทียบกับเหล่าผู้อาวุโสที่นั่งอยู่เป็นคนแรกๆ แม้จะอยู่ไกล แต่เขาก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันหนักหน่วงที่ถาโถมเข้าใส่ ทำให้เหงื่อหยดเป็นทางจากหน้าผาก

ถึงตอนนี้ ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งเดินเข้ามาในที่ประชุมและหาที่นั่ง จากนั้นก็ตั้งคำถาม “ผู้อาวุโสเหอ ไม่ทราบว่ามีเหตุผลอะไรที่คุณเรียกพวกเรามารวมตัวกันอย่างเร่งด่วนแบบนี้?”

“ดูเหมือนทุกคนมาพร้อมหน้ากันแล้ว ผู้อาวุโสมู่…ผมขอรบกวนให้คุณทบทวนสิ่งที่คุณบอกสภาผู้อาวุโสเมื่อครู่นี้ด้วย!” ผู้อาวุโสเหอเทียนมองผู้อาวุโสมู่และพยักหน้า

“ได้” ผู้อาวุโสมู่รีบลุกขึ้นยืน “เรียนท่านสมาชิก ผมคือผู้อาวุโสมู่ชวนของแผนกศิษย์สายตรงฝ่ายใน จากการประชุมสภาผู้อาวุโสครั้งก่อน ผู้อาวุโสเหอได้มอบหมายให้พวกเราตามหาตัวอัจฉริยะผู้สามารถทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จ ซึ่งไม่นานหลังจากการประชุมวันนั้น ก็มีนักดาบผู้เก่งกาจไร้เทียมทานคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในหมู่ศิษย์สายตรงฝ่ายใน พวกเราสงสัยว่านักดาบผู้นั้นอาจเป็นอัจฉริยะที่ผู้อาวุโสเหอพูดถึง!”

“อ้อ? มีหลักฐานอะไรที่ทำให้คุณคาดเดาแบบนั้น?” ผู้อาวุโสคนหนึ่งตั้งคำถามพร้อมกับขมวดคิ้ว